เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในต่างโลก! วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา
แฟนตาซี,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,มิตรภาพ,พลังพิเศษ,สงคราม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในต่างโลก! วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา
"เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในดินแดนต่างโลก!
วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา
เมื่อสงครามระหว่างยักษ์และเอลฟ์ปะทุ วาลองซ์จะใช้ความรู้จากโลกเก่าและพลังใหม่อย่างไร เพื่อยุติความขัดแย้งและพัฒนาดินแดนนี้?
ร่วมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่ผสานวัฒนธรรมไทยกับจินตนาการไร้ขีดจำกัด พบเรื่องราวแห่งมิตรภาพและการเติบโตที่จะทำให้คุณหัวเราะและลุ้นระทึก
'เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!' – การเดินทางของวิศวกรข้ามภพที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งออร์กและตัวเขาเอง... ตลอดกาล"
จากวิศวกรสู่ออร์กผู้พิทักษ์การผจญภัยข้ามภพที่จะเปลี่ยนโลกและหัวใจ
ขณะที่เดินทางไปตามเส้นทางในป่าลึก แสงสลัวของยามเย็นเริ่มปกคลุมไปทั่ว คาริสาหยุดเดินและหันมามองวาลองซ์กับไอวี่
"ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว...เราควรหาที่พักแรมสำหรับคืนนี้แล้วล่ะ" คาริสากล่าว "เราไม่ค่อยชอบป่าตอนกลางคืนซะด้วยสิ"
วาลองซ์พยักหน้าเห็นด้วย แต่ไอวี่ดูไม่ค่อยพอใจนัก
"เราไม่จำเป็นต้องหยุดพักหรอก" ไอวี่บ่น "เราเป็นไดรแอท เราคุ้นเคยกับป่านี้ดี"
คาริสายิ้มแห้ง "ใช่ แต่พวกเราไม่ใช่ไดรแอททุกคนนะ แถมวาลองซ์ยังต้องการเวลาพักผ่อน"
วาลองซ์รู้สึกขอบคุณคาริสาที่คิดถึงเขา แต่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้การเดินทางล่าช้า
"ผมขอโทษนะครับ" เขาพูด "ผมยังไม่ชินกับร่างกายใหม่นี้"
ไอวี่ถอนหายใจ แต่ก็พยักหน้ายอมรับ "ก็ได้ งั้นเราช่วยกันหาที่พักที่ปลอดภัยกัน"
ขณะที่ทั้งสามกำลังสำรวจบริเวณโดยรอบ ทันใดนั้น เสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้นจากพุ่มไม้ใกล้ๆ ทั้งสามหันไปมองทางต้นเสียง วาลองซ์ และไอวี่เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจจะโผล่ออกมา
จากพุ่มไม้ ผู้หญิงก้าวออกมาอย่างอ่อนแรง ผมสีทองยาว ดวงตากลมโตสีน้าตาล ผิวสีน้ำผึ้ง ตาสีน้ำตาลทอง รูปร่างสูงโปร่ง คล้ายมนุษย์แต่มีสิ่งที่ต่างออกไปคือ มีเขากวางบนศีรษะ หูยาวและเรียวแหลม มีท่าทีระมัดระวังสูง
"นั่นมัน...มนุษย์เหรอ" ไอวี่อุทานด้วยความประหลาดใจ
"เผ่ามนุษย์สัตว์น่ะ” คาริสาพูดต่อ “แต่ปกติอาศัยที่ป่าศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ทางตะวันออก ทำไมถึงมาพบแถวนี้ได้”
“ดูท่าทางเหมือนเธอจะอ่อนแรงนะ" วาลองซ์พูดแทรกขึ้นมา “"เราควรจะช่วยหาอาหารให้กับเธอนะ"
อาจจะเพราะเผ่ามนุษย์สัตว์มีประสาทสัมผัสที่ไวกว่ามนุษย์ทั่วไป จึงมีความสามารถในการรับรู้อันตรายได้ เมื่อรับรู้ได้ว่าพวกของวาลองซ์ไม่มีทีท่าทำร้ายตน จึงค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ แล้วค่อยๆ ฟุบตัวลงไป คาริสาคุกเข่าทำการอธิษฐานแสงสีทองห้อมล้อมตัวมนุษย์สัตว์ ในขณะที่ไอวี่และวาลองซ์หาอาหารสำหรับทุกคน
“ฉันมีนามว่า ‘ออเรีย’ เป็นนักเดินทาง’” หลังจากที่ได้สติและได้ทานอาหารจนมีเรี่ยวแรงกลับมา นั่นคือชุดคำเดียวที่ออกมาจากนาง หญิงสาวผู้สงวนท่าทีทำวาลองซ์ประหลาดใจในบุคลิก ส่วนไอวี่ความอึดอัดแสดงออกทางสีหน้าชัดเจน
"ดูเหมือนว่าพวกเราจะได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มอีกคนแล้วนะ... ออเรีย พวกเรากำลังจะไปเกาะลูน่า เดินทางไปกับพวกเรานะ" คาริสากล่าว
วาลองซ์มองออเรียด้วยความเป็นมิตร "เดินทางในป่าคนเดียวมันอันตราย...ไปด้วยกันกับพวกผมเถอะครับ"
ไอวี่ค่อยๆ เดินเข้าไปหาออเรีย ยื่นมือออกไปอย่างช้าๆ "สวัสดี ออเรีย อยากมาเป็นเพื่อนกับพวกเราไหม?"
แม้ออเรียมองไอวี่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ภายในดวงตาฉายแววที่เป็นประกายเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือของเธอเบาๆ พร้อมพยักหน้าเล็กน้อย
วาลองซ์ยิ้มกว้าง "ดูเหมือนว่าเราจะได้เพื่อนใหม่แล้วนะ" ส่วนคาริสาพยักหน้าอย่างพอใจ
ทั้งสี่ช่วยกันสำรวจบริเวณโดยรอบ ระหว่างสำรวจออเรียดูมีคล่องแคล่วว่องไวมากที่สุดในกลุ่ม และในที่สุดก่อนฟ้าจะมืดก็พบโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ดูเหมาะสมซึ่งก็มาจากฝีมือของออเรีย
"ที่นี่น่าจะใช้ได้" คาริสากล่าว "วาลองซ์ นายลองใช้พลังของนายสร้างที่พักให้พวกเราสิ"
วาลองซ์พยักหน้า แล้วเริ่มใช้พลังควบคุมพืช เขาทำให้รากและกิ่งก้านของต้นไม้ขยายออก สร้างเป็นห้องพักขนาดพอเหมาะสำหรับทั้งสี่
ไอวี่มองดูด้วยความประทับใจ "เยี่ยมมาก วาลองซ์ใช้พลังได้ดีขึ้นแล้วนะ" ส่วนออเรียจ้องมองอย่างเงียบๆ แต่แฝงด้วยความสนอกสนใจ
วาลองซ์ยิ้มอย่างภูมิใจ ขณะที่คาริสาพยักหน้าด้วยความพอใจ
"ดีมาก ทีนี้เราก็พักผ่อนกันเถอะ" คาริสากล่าว "พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า"
ทั้งสี่เข้าไปในที่พักที่วาลองซ์สร้างขึ้น คาริสาใช้เวทมนตร์สร้างแสงสว่างอ่อนๆ ขึ้นมา ส่วนไอวี่ใช้พลังของเธอทำให้พื้นนุ่มและสบายขึ้น ส่วนออเรียนั่งพักเงียบๆ ในที่ของตน พลางคอบสอดส่องโดยรอบคล้ายเฝ้ายาม
ขณะที่นั่งพักผ่อน วาลองซ์ก็อดสงสัยไม่ได้ "คาริสาครับ ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้วภารกิจที่คุณพูดถึงคืออะไรกันแน่?"
คาริสามองวาลองซ์ด้วยสายตาลึกลับ "เรื่องราวทั้งหมดซับซ้อนกว่าที่นายคิดนะ วาลองซ์ แต่เราสัญญาว่าจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเมื่อถึงเวลา ตอนนี้นายแค่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนพลังของนายให้ดีก่อน"
วาลองซ์พยักหน้ารับ แม้จะยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เขาหันไปมองไอวี่ที่กำลังจัดเตรียมที่นอน
"แล้วคุณล่ะ ไอวี่" เขาถาม "ทำไมคุณถึงตัดสินใจมากับพวกเรา?"
ไอวี่หยุดมือ แล้วมองวาลองซ์ด้วยสายตาครุ่นคิด "เรา...เราแค่รู้สึกว่ามันถึงเวลาที่ต้องออกไปเห็นโลกกว้างแล้วน่ะ" เธอตอบเบาๆ "แล้วก็...เราอยากพิสูจน์ตนเองว่าตัวเองมีคุณค่าแค่นั้นแหละ"
คาริสายิ้มอย่างเข้าใจ "บางทีการที่เราอยู่ที่นี่ด้วยกัน อาจจะช่วยให้พวกเราได้ค้นพบคำตอบบางอย่าง"
ทั้งสี่นั่งคุยกันต่อไปอีกสักพัก แบ่งปันเรื่องราวและความหวังของแต่ละคน เว้นเสียแต่ออเรียที่ยังคงเป็นผู้ฟังที่ดี ก่อนที่ความง่วงจะเริ่มครอบงำ
"เอาล่ะ พักผ่อนกันเถอะ เราง่วงแล้วน่ะ" คาริสากล่าว "เดี๋ยวเราต้องผลัดกันเฝ้ายามอีก ส่วนคืนนี้ออเรียไม่ต้องเฝ้ายามนะ เพราะเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ"
วาลองซ์และไอวี่พยักหน้ารับ ส่วนออเรียแดสงสีหน้าไม่สบายใจ และพยายามเสนอตัวแต่ไม่อาจต้านอาสาสมัครอย่างวาลองซ์และไอวี่ได้ จึงเตรียมตัวเข้านอนแต่โดยดี ขณะที่แสงสุดท้ายของวันหายไป พร้อมกับความตื่นเต้นและความหวังสำหรับการผจญภัยที่รออยู่ข้างหน้า
แสงจันทร์สาดส่องผ่านใบไม้ลงมายังที่พักชั่วคราวของกลุ่มนักเดินทาง วาลองซ์นั่งเฝ้ายามอยู่หน้าทางเข้า สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เสียงแผ่วเบาของสัตว์ป่ายามค่ำคืนดังแว่วมาเป็นระยะ
ขณะที่กำลังเพ่งมองความมืด วาลองซ์สังเกตเห็นคาริสาลุกขึ้นอย่างเงียบๆ เธอเดินออกจากที่พักโดยไม่ส่งเสียง วาลองซ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามไป ด้วยความอยากรู้ว่าเธอกำลังทำอะไร และเป็นห่วงเธอ
เขาตามคาริสาไปจนถึงลานเล็กๆ กลางป่า ที่นั่น เขาเห็นภาพที่ทำให้ตกตะลึง ออเรียยืนอยู่กลางวงแสงสีทองอ่อน รอบตัวเธอดอกไม้ผลิบานและเรืองแสงเมื่อต้องแสงจากพื้นดิน เธอเคลื่อนไหวร่างกายอย่างนุ่มนวล คล้ายกำลังเต้นรำกับธรรมชาติ
วาลองซ์ยืนดูอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเผลอเหยียบกิ่งไม้แห้ง เสียงดังกร๊อบทำให้คาริสาหยุดชะงัก เธอหันมามองเขาด้วยสายตาตกใจ
"ผม... ผมขอโทษครับ" วาลองซ์พูดอย่างประหม่า "ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบดู...ผมเห็นคุณเดินมาคนเดียว เลยเป็นห่วงจึงตามมา"
คาริสามองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ "ไม่เป็นไร ยังไงก็เสร็จแล้วล่ะ... สงสัยใช่ไหมล่ะว่าฉันกำลังทำอะไร"
วาลองซ์พยักหน้า "ครับ มันดู... วิเศษมาก"
คาริสายิ้มเจื่อนๆ "เราอยากได้รับความรู้จากดวงดาวน่ะ... จริง ๆ มันมีวิธีที่ง่ายกว่านี้ แต่เมื่อก่อนเราไม่ตั้งใจเรียน อาศัยรับความรู้จากการสังเกตจักรวาลเอา เราเรียกมันว่า 'การเต้นรำกับดวงดาว' มันช่วยให้เราเชื่อมโยงกับความรู้ได้"
ว้าว เทพธิดาแห่งปัญญาที่ไม่ตั้งใจเรียนสินะ หลังได้สติกลับมา วาลองซ์จึงเดินเข้าไปใกล้ขึ้น สังเกตเห็นว่าดอกไม้เรืองแสงเหล่านั้นค่อยๆ หุบลงเมื่อเขาเข้าใกล้ "ก่อนหน้านี้เห็นคุณบอกว่าง่วง แต่ทำไมคุณถึงกลับมาทำพิธีนี้ตอนกลางดึกล่ะครับ?"
คาริสาหันไปมองท้องฟ้า หลับตานึก แล้วจึงค่อยเอ่ย "จับความรู้สึกได้ว่าดวงดาวกลุ่มนี้น่าสนใจ เลยลองออกมาเต้นหาค่าความสัมพันธ์ดูว่าใช้ได้กับกลุ่มดวงดาวที่มีอยู่ไหม แต่สุดท้ายก็ต่ำกว่าค่าที่กำหนดไว้"
วาลองซ์แสร้งพยักหน้าอย่างเข้าใจ และรึบเปลี่ยนเรื่อง "แล้ว... คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? เกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้น่ะ"
คาริสาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ "แอบกังวลอยู่เหมือนกัน... แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นนะ ฉันไม่เคยออกมาไกลขนาดนี้มาก่อน และไม่เคย... ต้องทำอะไรแบบนี้มาก่อน"
"หมายถึงอะไรเหรอครับ?" วาลองซ์ถามอย่างสงสัย
คาริสาพยักหน้ารับ "คงเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง"
วาลองซ์นิ่งคิด นึกถึงตัวเองที่ถูกส่งมายังโลกแปลกใหม่นี้ "รู้สึก... เหมือนกับว่าเรากำลังถูกชักนำไปสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เลยนะครับ"
คาริสาหันมามองเขา ดวงตาฉายแววประหลาดใจ "นี่นายฟังที่เราพูดรู้เรื่องด้วยเหรอ?"
วาลองซ์ส่ายหน้า "ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจครับ รับรู้ได้เพียงแค่ความรู้สึกของคุณ"
ทั้งสองยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คาริสาจะพูดขึ้น "เราควรกลับไปที่พักกันเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล"
วาลองซ์เห็นด้วย ทั้งสองเดินกลับไปยังที่พัก โดยมีความรู้สึกเข้าใจกันและกันมากขึ้น
หลังจากเปลี่ยนผลัดให้ไอวี่เฝ้ายาม ขณะที่นอนลง วาลองซ์คิดถึงสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในคืนนี้ เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ซ่อนความลับไว้มากมาย และการเดินทางของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ด้วยความตื่นเต้นและความกังวลปะปนกัน เขาค่อยๆ หลับไป โดยมีภาพของดอกไม้เรืองแสงและเรื่องราวลึกลับของคาริสาติดตาตรึงใจ
แสงอรุณเริ่มสาดส่องผ่านใบไม้ เข้ามาในที่พักชั่วคราวของทั้งสี่ วาลองซ์ลืมตาตื่นเป็นคนแรก เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงงชั่วขณะ ก่อนจะนึกได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
เขายังคงต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝัน เขาได้มาอยู่ในโลกใหม่จริงๆ และตอนนี้เขาก็มีร่างเป็นออร์ก
"อรุณสวัสดิ์" เสียงทุ้มต่ำของคาริสาดังขึ้น เทพธิดากำลังนั่งอยู่ตรงปากทางเข้า มองออกไปยังป่าด้านนอก
"อรุณสวัสดิ์ครับ” วาลองซ์ยิ้มให้คาริสา มองออกไปยังป่าที่กำลังตื่นตัว นกเริ่มส่งเสียงร้อง และแสงแดดอ่อนๆ ทำให้หยดน้ำค้างบนใบไม้เป็นประกาย
ไม่ไกลจากเขา ไอวี่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ดูเหมือนเธอจะตื่นมาก่อนแล้ว "ตื่นสักทีนะ ออร์กขี้เซา" ไอวี่ทักทายด้วยน้ำเสียงกวนๆ "เรานึกว่านายจะนอนยันเที่ยงซะแล้ว"
วาลองซ์ลุกขึ้น ยืดเส้นยืดสายอย่างขี้เกียจ "ขอโทษครับ ผมยังไม่ชินกับการนอนกลางป่าน่ะ"
ไอวี่หัวเราะเบาๆ "นายต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยล่ะ ออร์กหนุ่ม ในป่านี่แหละคือบ้านที่ดีที่สุด"
วาลองซ์มองไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าไอวี่กำลังทำอะไรบางอย่างกับพืชพรรณรอบตัว "คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?"
"เรากำลังเก็บสมุนไพรน่ะ" ไอวี่ตอบพลางชี้ไปที่กองใบไม้และดอกไม้ข้างๆ ตัว "พวกนี้มีสรรพคุณทางยามากมาย ถ้าเรารู้จักใช้ให้ถูกวิธีล่ะก็"
วาลองซ์เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสนใจ "ยอดไปเลยนะครับ คุณรู้จักพืชพวกนี้ดีจังนะ"
ไอวี่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "แน่นอนสิ เราเป็นไดรแอทนะ การรู้จักพืชพรรณก็เหมือนกับการรู้จักตัวเองยังไงล่ะ"
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าออเรียไม่อยู่ในที่พัก ทั้งสามมองหน้ากันด้วยความกังวล
"ออเรียหายไปไหนแล้ว?" ไอวี่ถามอย่างตื่นตระหนก
คาริสาลุกขึ้นยืน มองออกไปนอกที่พัก "เธออาจจะออกไปสำรวจรอบๆ ก็ได้ เรามาออกไปตามหากัน"
ทั้งสามออกจากที่พัก และเริ่มเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากที่ไกลๆ
"ฟังนะ" วาลองซ์พูด "มีเสียงน้ำ ออเรียอาจจะไปที่นั่น"
พวกเขาเดินตามเสียงน้ำไป และไม่นานก็พบลำธารเล็กๆ ไหลผ่านป่า ที่ริมน้ำ พวกเขาเห็นออเรียนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ กำลังจ้องมองผิวน้ำนิ่งๆ
"ออเรีย!" ไอวี่ร้องเรียก "เธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
ออเรียหันมามองพวกเขา สีหน้าเธอยังคงเรียบเฉยเช่นเคย "ฉันตื่นแต่เช้า อยากออกมาหาน้ำดื่ม"
คาริสาเดินเข้าไปหาออเรีย "เธอควรบอกพวกเราก่อนนะ เราเป็นห่วงกัน"
ออเรียพยักหน้าเบาๆ "ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าจะทำให้พวกคุณเป็นห่วง"
วาลองซ์มองไปรอบๆ ลำธาร สังเกตเห็นผลไม้ป่าบางชนิดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน "นี่น่าจะเป็นโอกาสดีที่เราจะหาอาหารเช้ากินกันนะ"
ไอวี่เห็นด้วย "ใช่ เราควรเก็บผลไม้และหาปลาในลำธารด้วย"
ทั้งสี่แยกย้ายกันทำหน้าที่ วาลองซ์ใช้พลังควบคุมพืชของเขาช่วยเก็บผลไม้จากต้นสูงๆ ไอวี่ใช้ความรู้เรื่องพืชพรรณของเธอเลือกผลไม้ที่กินได้ ออเรียใช้ความว่องไวของเธอจับปลาในลำธาร ส่วนคาริสาช่วยจัดเตรียมที่นั่งและใช้เวทมนตร์ทำให้อาหารสุก
ขณะที่พวกเขานั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น แม้แต่ออเรียที่ปกติเงียบขรึมก็ดูเปิดเผยขึ้นเล็กน้อย
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสี่ก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ วาลองซ์ใช้พลังของเขาเก็บกวาดและทำให้ที่พักกลับคืนสู่สภาพเดิม
"ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม?" คาริสาถาม "เรามีเส้นทางยาวไกลรออยู่ข้างหน้า"
ทั้งสามพยักหน้า พร้อมที่จะเผชิญกับการผจญภัยที่รออยู่ พวกเขาเริ่มออกเดินทาง โดย พวกเขาต้องฝ่าป่าทึบที่นับวันยิ่งหนาแน่นขึ้น วาลองซ์ใช้พลังควบคุมพืชของเขาแหวกทางให้ทุกคนเดินผ่าน ไอวี่ช่วยระบุต้นไม้และพืชที่อาจเป็นอันตราย ส่วนออเรียเดินนำหน้า ใช้ประสาทสัมผัสอันแหลมคมของเธอคอยระวังภัย
ขณะที่เดินทาง คาริสาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเกาะลูน่าให้ทุกคนฟัง "เกาะนี้เคยเป็นดินแดนแห่งสันติสุข แต่เมื่อไม่นานมานี้ ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวขึ้น "
"ทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหรอครับ?" วาลองซ์ถาม
คาริสาถอนหายใจ "มีหลายสาเหตุ... ทั้งการแย่งชิงทรัพยากร ความเข้าใจผิด และอคติ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ มีบางคนที่พยายามใช้ความขัดแย้งนี้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง"
ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆ ออเรียก็ชูมือขึ้นให้ทุกคนหยุด เธอขมวดคิ้ว จมูกสูดดมอากาศ
"มีอะไรหรือเปล่า?" ไอวี่ถามเบาๆ
ออเรียส่ายหน้า "ไม่แน่ใจ แต่ฉันได้กลิ่นแปลกๆ ... เหมือนกลิ่นไหม้"
ทันใดนั้น เสียงตูมดังสนั่นมาจากทางด้านหน้า ตามด้วยเสียงกรีดร้องของสัตว์ป่า ควันสีดำลอยขึ้นมาจากทิศทางนั้น
"ไฟป่า!" คาริสาร้องขึ้น "เร็ว พวกเราต้องรีบหนี!"
ทั้งสี่วิ่งกลับไปทางที่มา แต่ไฟลุกลามเร็วเกินคาด ไม่นานพวกเขาก็พบว่าตัวเองถูกล้อมด้วยกองเพลิง
"ทำยังไงดี?!" ไอวี่ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
วาลองซ์มองไปรอบๆ สมองทำงานอย่างรวดเร็ว "ผม... ผมคิดว่าผมทำอะไรได้สักอย่าง!" เขาตะโกน ก่อนจะยกมือขึ้น พยายามใช้พลังควบคุมพืชของเขา
ทันใดนั้น ต้นไม้และพืชรอบตัวพวกเขาก็เริ่มขยับ กิ่งก้านและใบไม้ประสานกันเป็นโดมขนาดใหญ่ ห่อหุ้มพวกเขาไว้
"เยี่ยมมาก วาลองซ์!" คาริสาร้องชม "แต่มันจะทนไฟได้นานแค่ไหน?"
"ผม... ผมไม่แน่ใจ" วาลองซ์ตอบ เหงื่อเริ่มผุดซึมที่หน้าผากจากความพยายาม
ออเรียมองไปรอบๆ ก่อนจะชี้ไปทางหนึ่ง "ทางนั้น! ฉันได้ยินเสียงน้ำ!"
ไอวี่พยักหน้า "ฉันจะลองทำอะไรสักอย่าง" เธอยกไม้เท้าขึ้น แล้วเริ่มร่ายคาถา ทันใดนั้น น้ำก็พุ่งออกมาจากปลายไม้เท้าของเธอ ดับไฟที่กำลังลุกไหม้รอบๆ โดมของวาลองซ์
"เร็ว! ไปทางนั้น!" คาริสาตะโกน
ทั้งสี่วิ่งฝ่าควันและเปลวไฟ โดยมีวาลองซ์คอยใช้พลังป้องกัน และไอวี่ช่วยดับไฟ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลำธารเล็กๆ ทุกคนกระโดดลงน้ำทันที
เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว พวกเขาจึงขึ้นมานั่งพักที่ริมฝั่ง ต่างคนต่างหายใจแรง ด้วยความเหนื่อยล้า
"ทุกคน... ปลอดภัยดีใช่ไหม?" วาลองซ์ถาม มองไปรอบๆ
ทุกคนพยักหน้า แม้จะยังหายใจหอบอยู่
คาริสามองวาลองซ์และไอวี่ด้วยความภูมิใจ "พวกนายทำได้ดีมาก ถ้าไม่มีพวกนาย เราคงไม่รอด"
ไอวี่ยิ้มเขิน "ฉันแค่ทำในสิ่งที่ฉันทำได้เท่านั้นเอง"
ออเรียมองทั้งสองด้วยสายตาชื่นชม แม้จะไม่พูดอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอเริ่มไว้ใจพวกเขามากขึ้น
"แต่..." วาลองซ์พูดขึ้น "ไฟป่านั่น... มันเกิดขึ้นเองได้ยังไง?"
คาริสาขมวดคิ้ว "เราก็สงสัยเหมือนกัน นี่อาจไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา..."
ทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความกังวล ตระหนักว่าการเดินทางของพวกเขาอาจจะอันตรายกว่าที่คิด แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันแน่นแฟ้นขึ้นจากการเผชิญภัยร่วมกัน
ขณะที่นั่งพักฟื้นกำลัง เสียงนกร้องและเสียงสัตว์ป่าดังแว่วมา สร้างบรรยากาศที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าหวาดหวั่นไปพร้อมๆ กัน การเดินทางของพวกเขายังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับความหวังและความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจของแต่ละคน พวกเขาเริ่มวางแผนสำหรับการเดินทางต่อไป โดยไม่รู้เลยว่ายังมีอะไรรออยู่เบื้องหน้า...