เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในต่างโลก! วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา

เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก! - บทที่ 3 กองทัพราตรี ตอนที่ 3 โดย JK.Smith @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,มิตรภาพ,พลังพิเศษ,สงคราม,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,เกิดใหม่ ,มิตรภาพ,พลังพิเศษ,สงคราม

รายละเอียด

เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในต่างโลก! วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา

ผู้แต่ง

JK.Smith

เรื่องย่อ

"เมื่อวิศวกรหนุ่มจากชลบุรีเกิดใหม่เป็นออร์กในดินแดนต่างโลก!

วาลองซ์ (นรินทร์) ต้องปรับตัวกับร่างใหม่ พลังวิเศษ และภารกิจไม่คาดฝัน พร้อมมิตรภาพจากเทพธิดาแสนงาม ไดรแอทผู้ทรงพลัง และมนุษย์สัตว์ปริศนา

เมื่อสงครามระหว่างยักษ์และเอลฟ์ปะทุ วาลองซ์จะใช้ความรู้จากโลกเก่าและพลังใหม่อย่างไร เพื่อยุติความขัดแย้งและพัฒนาดินแดนนี้?

ร่วมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่ผสานวัฒนธรรมไทยกับจินตนาการไร้ขีดจำกัด พบเรื่องราวแห่งมิตรภาพและการเติบโตที่จะทำให้คุณหัวเราะและลุ้นระทึก

'เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!' – การเดินทางของวิศวกรข้ามภพที่จะเปลี่ยนแปลงดินแดนแห่งออร์กและตัวเขาเอง... ตลอดกาล"

จากวิศวกรสู่ออร์กผู้พิทักษ์การผจญภัยข้ามภพที่จะเปลี่ยนโลกและหัวใจ

สารบัญ

เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 1 การเกิดใหม่ในดินแดนแห่งออร์ก ตอนที่ 1,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 2 มิตรภาพในป่าศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 2,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 3 กองทัพราตรี ตอนที่ 3,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 4 สร้อยคอแห่งเอลเดนกรอฟ ตอนที่ 4,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 5 เมืองลูน่า ตอนที่ 5,เกิดใหม่กลายเป็นออร์ก!-บทที่ 6 ภารกิจแรกบนเกาะลูน่า ตอนที่ 6

เนื้อหา

บทที่ 3 กองทัพราตรี ตอนที่ 3

 

หลังจากพักฟื้นกำลังที่ริมลำธาร ทั้งสี่ตัดสินใจเดินทางต่อ แม้ร่างกายจะยังอ่อนล้า แต่พวกเขารู้ดีว่าไม่ควรอยู่ที่เดิมนานเกินไป โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ไฟป่าที่น่าสงสัย

 

ขณะที่กำลังเก็บของ วาลองซ์ก็สังเกตเห็นว่าไอวี่กำลังจัดการกับดอกไม้ดอกหนึ่งอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

"นั่นดอกอะไรเหรอ? " เขาถามด้วยความสงสัย

 

ไอวี่ชูดอกไม้ขึ้นให้ดู มันเป็นดอกไม้สีแดงสดที่มีกลีบบางเฉียบราวกับแก้ว "นี่คือดอกระเบิดไฟน่ะ มันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำระเบิดเวทมนตร์ของเรา"

 

วาลองซ์ขมวดคิ้วด้วยความกังวล "คุณยังจะทำระเบิดอีกเหรอ?หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานน่ะ"

 

ไอวี่ทำหน้างอนเล็กน้อย "ก็นั่นแหละที่เราต้องฝึกฝนไงล่ะ ถ้าเราควบคุมมันได้ดีขึ้น มันก็จะเป็นประโยชน์มากเวลาเราเจออันตราย"

 

วาลองซ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง "ก็จริงของคุณนะ แต่ขอร้องล่ะ ระวังๆ หน่อยนะ"

 

ไอวี่ยิ้มกว้าง "ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เราระวังตัวเป็น... โอ๊ย!"

 

ทันใดนั้น ดอกระเบิดไฟในมือของไอวี่ก็สั่นไหวและปล่อยประกายไฟเล็กๆ ออกมา ทำให้เธอต้องปล่อยมันทิ้งลงพื้นอย่างรวดเร็ว

 

วาลองซ์รีบวิ่งเข้าไปดูอย่างตกใจ "คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? "

 

ไอวี่ส่ายหน้า มองมือตัวเองที่มีรอยไหม้เล็กน้อย "ไม่เป็นไรมาก แค่แผลนิดหน่อย"

วาลองซ์มองแผลของไอวี่ด้วยความเป็นห่วง เขานึกถึงความรู้ด้านการปฐมพยาบาลที่เคยเรียนมา "เดี๋ยวผมช่วยรักษาให้นะ"

 

เขามองไปรอบๆ และสังเกตเห็นต้นว่านหางจระเข้อยู่ไม่ไกล เขาใช้พลังควบคุมพืชของตนดึงใบว่านหางจระเข้มา แล้วบีบเอาเจลออกมาทาบนแผลของไอวี่

 

"โอ้โห" ไอวี่อุทานด้วยความประหลาดใจ "เย็นดีจัง แล้วก็รู้สึกดีขึ้นด้วย วาลองซ์รู้จักใช้สมุนไพรด้วยเหรอ? "

 

วาลองซ์ยิ้ม "ก็พอรู้บ้างน่ะ ตอนเป็นมนุษย์ ผมเคยเรียนวิศวกรรมการเกษตรมา ก็เลยพอรู้เรื่องพืชพรรณนิดหน่อย"

 

ไอวี่มองวาลองซ์ด้วยความสนใจ "วิศวกรรมการเกษตร?นั่นมันอะไรกัน? "

 

วาลองซ์อธิบายให้ไอวี่ฟังถึงการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาการเกษตร การชลประทาน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ไอวี่ฟังด้วยความตื่นเต้น ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับโลกของวาลองซ์

 

"น่าสนใจจัง!" ไอวี่อุทาน "ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีวิธีจัดการกับพืชพรรณแบบนั้นมาก่อนเลย นายคิดว่าเราจะใช้ความรู้พวกนี้ช่วยพัฒนาป่าที่นี่ได้ไหม? "

 

วาลองซ์ยิ้มกว้าง ดีใจที่ไอวี่สนใจในสิ่งที่เขาเล่า "ผมคิดว่าได้นะ เราอาจจะประยุกต์ใช้หลักการบางอย่างได้ แต่คงต้องเก็บข้อมูลเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ก่อนนะ"

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอย่างออกรส คาริสาก็ส่งเสียงกระแอมขึ้นมาเบาๆ ทำให้ทั้งคู่หันไปมอง

 

"ใช่แล้ว เราต้องรีบเดินทางสินะ" วาลองซ์พูดขึ้น "มัวแต่คุยเพลิน ลืมไปเลยว่าเรายังมีทางอีกไกล" ทางด้านไอวี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

 

 

ทั้งสี่เริ่มออกเดินทาง โดยมีไอวี่นำหน้า วาลองซ์และคาริสาเดินตามมา ส่วนออเรียเดินปิดท้าย ระหว่างทาง ไอวี่ก็เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับป่าให้วาลองซ์ฟัง ทั้งเรื่องพืชพรรณแปลกๆ สัตว์หายาก และตำนานเก่าแก่

 

"ว่าแต่" วาลองซ์ถามขึ้นมาระหว่างทาง "คุณเคยเข้าไปในเกาะลูน่าบ้างไหม? "

 

ไอวี่ส่ายหน้า "ไม่เคยหรอก เราแค่เคยได้ยินเรื่องเล่าจากไดรแอทคนอื่นๆ เท่านั้น พวกเขาบอกว่ามันเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่งมาก แต่ก็อันตรายสำหรับพวกเราที่เป็นสิ่งมีชีวิตจากป่า"

 

วาลองซ์ขมวดคิ้วด้วยความกังวล "อันตรายยังไงเหรอ? "

 

"ก็นะ" ไอวี่อธิบาย "ออร์กบางตนไม่ค่อยชอบพวกเราเท่าไหร่ พวกเขามองว่าเราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตลึกลับและต่ำต้อย บางครั้งก็จับพวกเราไปเป็นทาสหรือของเล่น"

 

วาลองซ์รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ได้ยิน "งั้นเราต้องระวังตัวให้มากเลยสินะ"

 

ไอวี่พยักหน้า "ใช่ แต่วาลองซ์ไม่ต้องกังวลมากหรอก ตอนนี้นายก็เป็นออร์กแล้วนี่ พวกเขาคงไม่ทำอะไรนายหรอก"

 

วาลองซ์นิ่งคิดครู่หนึ่ง "ถ้างั้น... เราอาจจะใช้สถานะออร์กของผมให้เป็นประโยชน์ได้นะ ผมอาจจะแกล้งทำเป็นว่าทุกคนเป็น... เอ่อ... บริวารของผม? "

 

คาริสาหัวเราะแทรกขึ้นมาเบาๆ "ไอเดียไม่เลวนี่ ออร์กหนุ่ม แต่นายต้องแสดงให้เนียนหน่อยนะ อย่าให้ใครจับได้ล่ะว่านายเพิ่งมาอยู่ที่นี่"

 

ทั้งสามคุยกันถึงแผนการต่างๆ ที่อาจจะใช้ได้เมื่อเข้าไปในเมือง โดยมีออเรียคอยฟังอย่างตั้งใจ

 

ระหว่างทางเดิน พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำที่ต้องข้าม หรือหน้าผาสูงชันที่ต้องปีนข้าม แต่ด้วยความร่วมมือกัน พวกเขาก็สามารถผ่านมันไปได้

 

ขณะที่เดินลัดเลาะไปตามริมลำธาร วาลองซ์สังเกตเห็นว่าสภาพป่ารอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ต้นไม้มีขนาดใหญ่ขึ้นและดูเก่าแก่กว่าเดิม เถาวัลย์สีเขียวเข้มพันรอบลำต้น และมอสสีเขียวอ่อนปกคลุมพื้นดิน

 

"ที่นี่ดูแปลกตาจังครับ" วาลองซ์พูดขึ้น "เหมือนเราเข้ามาในป่าอีกแบบหนึ่งเลย"

 

ไอวี่พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ เรารู้สึกได้ถึงพลังงานที่แตกต่างออกไป... เหมือนกับว่าป่านี้มีชีวิตชีวามากขึ้น"

 

คาริสาหยุดเดิน มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด "จากความรู้ที่เรามี นี่น่าจะเป็นขอบเขตของป่าเอลเดนกรอฟแล้ว"

 

"ป่าเอลเดนกรอฟ? " วาลองซ์ถามอย่างสงสัย

 

"ใช่" คาริสาตอบ "มันเป็นป่าโบราณที่มีพลังวิเศษ เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่ไม่มีที่ไหนในโลก รวมถึง..." เธอหยุดพูดกลางคัน

 

ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆ ก็มีเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นไม่ไกล ทั้งสี่หันไปมองทางต้นเสียงทันที ออเรียยกมือขึ้นให้ทุกคนเงียบ เธอเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ หันไปมองออเรีย

 

ออเรียพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงแนบตัวลงนอนราบขนานพื้น เพื่อเงี่ยหูฟัง

 

"มีอะไรกำลังเคลื่อนไหวอยู่..." เธอกระซิบ "จำนวนมาก... กำลังมุ่งมาทางเรา"

 

วาลองซ์รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น เขาเตรียมพร้อมใช้พลังของตัวเอง ไอวี่จับไม้เท้าแน่น ส่วนคาริสายืนนิ่ง ดวงตาจับจ้องไปยังพุ่มไม้ตรงหน้า

 

 

ทันใดนั้น ร่างสูงใหญ่หลายร่างก็กระโจนออกมาจากพุ่มไม้ พวกมันมีร่างกายคล้ายมนุษย์ แต่ปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคล้ายหมาป่า ดวงตาสีเหลืองจ้องมองมาที่กลุ่มของพวกเขาอย่างดุดัน

 

"มนุษย์หมาป่า!" คาริสาร้องออกมา "ระวัง!"

 

วาลองซ์ยืนนิ่ง พยายามคิดหาทางออก "เราจะทำยังไงดี?สู้หรือหนี? "

 

ไอวี่กระชับไม้เท้าในมือ "การหนีคงไม่ได้ผล มันวิ่งเร็วกว่าเราแน่ๆ เราต้องสู้!"

 

มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งคำรามออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่กลุ่มของพวกเขา การต่อสู้เริ่มขึ้นทันที ออเรียที่อยู่แนวหน้าใช้ความว่องไวของเธอหลบหลีกและโจมตีกลับ วาลองซ์ใช้พลังควบคุมพืชของตน สั่งให้เถาวัลย์งอกขึ้นมาจากพื้นดินพันขาของเสือ ทำให้มันชะงักไปชั่วขณะ

 

พฤกษาฉวยโอกาสนั้นเหวี่ยงไม้เท้า ปล่อยพลังระเบิดออกไป แต่ด้วยความตื่นเต้นเกินไป เธอก็ควบคุมพลังไม่อยู่ ทำให้ระเบิดพลาดเป้าไปโดนโขดหินข้างๆ แทน

 

"ระวัง!" วาลองซ์ตะโกน ขณะที่เศษหินกระเด็นมาทางพวกเขา เขารีบดึงไอวี่หลบ ส่วนออเรียก็กระโดดหลบอย่างว่องไว

 

มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งฉวยโอกาสนั้นกัดขาดเถาวัลย์ที่พันขาของมัน แล้วพุ่งเข้าใส่วาลองซ์และไอวี่อีกครั้ง

 

คาริสายืนนิ่งอยู่กลางวง เธอหลับตา แล้วเริ่มร่ายคาถาบางอย่าง ทันใดนั้น แสงสีทองก็แผ่ออกมาจากร่างของเธอ มนุษย์หมาป่าที่กำลังบุกเข้ามาต่างชะงักงัน ดวงตาของพวกมันฉายแววสับสน

 

"หยุด!" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังของฝูงมนุษย์หมาป่า

 

เสียงตะโกนนั้นดังกังวานไปทั่วป่า ราวกับมีพลังพิเศษแฝงอยู่ เหล่าฝูงมนุษย์หมาป่าชะงักกึก ทุกอย่างหยุดนิ่งลงทันที มนุษย์หมาป่าร่างใหญ่ก้าวออกมา ดวงตาสีทองของมันจ้องมองมาที่กลุ่มของวาลองซ์

 

"ข้าคือ เกรย์เฟง ผู้นำของฝูง" มันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "พวกเจ้าเป็นใคร?และมาทำอะไรในเขตแดนของพวกเรา? "

 

คาริสาก้าวออกมาข้างหน้า "เราคือคาริสา เทพธิดาแห่งปัญญาและการเปลี่ยนแปลง พวกเราเป็นนักเดินทาง ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร"

 

เกรย์เฟงมองคาริสาอย่างพินิจพิเคราะห์ "เทพธิดา?เจ้าพูดความจริงหรือ? "

 

"เราขอสาบานด้วยพลังแห่งดวงดาว" คาริสาตอบ แสงสีทองรอบตัวเธอสว่างวาบขึ้นชั่วขณะ

 

เกรย์เฟงพยักหน้า ท่าทางของมันผ่อนคลายลงเล็กน้อย "ข้าเชื่อเจ้า แต่นี่เป็นช่วงเวลาที่อันตราย ไม่มีใครสามารถไว้ใจใครได้ง่ายๆ "

 

"เกิดอะไรขึ้นหรือ? " วาลองซ์ถาม ยังคงระแวดระวังอยู่

 

เกรย์เฟงหันมามองวาลองซ์ "มีผู้บุกรุกเข้ามาในป่าของเรา พวกมันทำลายล้างทุกอย่าง และ... จับพวกเราไป"

 

ทั้งสี่มองหน้ากันด้วยความตกใจ คาริสาก้าวเข้าไปใกล้เกรย์เฟงอีกนิด "พวกเราอาจจะช่วยได้ บอกเราเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่"

 

เกรย์เฟงมองคาริสาอย่างลังเล ก่อนจะถอนหายใจ "ได้ ตามข้ามา พวกเราจะพาเจ้าไปยังหมู่บ้านของเรา ที่นั่นเราจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง"

 

ทั้งห้าเดินตามฝูงมนุษย์หมาป่าเข้าไปในป่าลึก โดยไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังก้าวเข้าสู่เรื่องราวที่ซับซ้อนและอันตรายยิ่งกว่าที่คิด

 

 

ขณะที่เดินตามเกรย์เฟงและฝูงมนุษย์หมาป่าเข้าไปในป่าลึก วาลองซ์รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ต้นไม้ใหญ่ทอดเงายาวลงบนพื้น สร้างความรู้สึกลึกลับและน่าหวาดหวั่น เสียงสัตว์ป่าดังแว่วมาเป็นระยะ ทำให้ทุกคนต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา

 

"ป่าเอลเดนกรอฟนี่น่ากลัวจังเลยนะ" ไอวี่กระซิบกับวาลองซ์ "ฉันรู้สึกได้ถึงพลังงานแปลกๆ ในอากาศ"

 

วาลองซ์พยักหน้าเห็นด้วย "ผมก็รู้สึกเหมือนกัน เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจับตาดูเราอยู่"

 

ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆ เกรย์เฟงก็ชูมือขึ้นให้ทุกคนหยุด เขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพูดเสียงต่ำ "ระวัง พวกเจ้า มีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด"

 

ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจจะโผล่ออกมา วาลองซ์รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น เขาพยายามใช้พลังควบคุมพืชของตนให้เถาวัลย์งอกขึ้นมารอบๆ กลุ่ม สร้างกำแพงป้องกัน

 

ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นจากเบื้องบน ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดบินลงมาจากยอดไม้ มันมีลักษณะคล้ายค้างคาวยักษ์ แต่มีใบหน้าคล้ายมนุษย์ ดวงตาสีแดงฉานจ้องมองมาที่พวกเขาอย่างหิวกระหาย

 

"ฮาร์ป!" เกรย์เฟงตะโกน "ระวัง พวกมันอันตรายมาก!"

 

ฝูงฮาร์ปพุ่งเข้าโจมตีกลุ่มของพวกเขาทันที วาลองซ์พยายามใช้พลังควบคุมพืชของตนให้กิ่งไม้และเถาวัลย์พุ่งขึ้นไปรัดร่างของฮาร์ปี้ แต่พวกมันบินว่องไวเกินไป ทำให้เขาทำได้เพียงป้องกันตัวเองและเพื่อนๆ เท่านั้น

 

ไอวี่ใช้ไม้เท้าของเธอปล่อยพลังระเบิดใส่ฮาร์ปที่บินเข้ามาใกล้ แต่ด้วยความที่ยังควบคุมพลังไม่ได้ดีนัก ทำให้บางครั้งก็พลาดเป้า สร้างความเสียหายให้กับต้นไม้รอบข้างแทน

 

คาริสายืนนิ่งอยู่กลางวง เธอหลับตาและเริ่มร่ายคาถา แสงสีทองแผ่ออกจากร่าง ทำให้เหล่าพวกพ้องลดความเหนื่อยล้าลง

เกรย์เฟงและฝูงมนุษย์หมาป่าต่อสู้อย่างดุเดือด พวกเขากระโดดขึ้นไปกัดและข่วนฮาร์ปที่บินต่ำลงมา แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะจำนวนอันมากมายของฝูงฮาร์ปได้

 

ท่ามกลางความวุ่นวาย วาลองซ์สังเกตเห็นว่าออเรียยืนนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ดวงตาของเธอเรืองแสงสีฟ้าอ่อน ปากขมุบขมิบราวกับกำลังร่ายคาถาบางอย่าง

 

ทันใดนั้น เสียงเพลงไพเราะก็ดังขึ้นจากปากของออเรีย เสียงนั้นแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้ฮาร์ปที่กำลังโจมตีอยู่ชะงักงัน พวกมันดูสับสนและเริ่มบินวนไปมาอย่างไร้ทิศทาง เสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ฮาร์ปทั้งฝูงก็บินหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ทุกคนยืนงงอยู่กับที่

 

เมื่อภัยผ่านพ้นไป ออเรียหยุดร้องเพลงและทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ดูเหมือนเธอจะใช้พลังงานไปมาก

 

วาลองซ์รีบเข้าไปประคองออเรีย "คุณไม่เป็นไรนะครับ?ขอบคุณมากนะที่ช่วยพวกเรา"

 

ออเรียยิ้มอ่อนๆ "ฉันไม่เป็นไร แค่เหนื่อยนิดหน่อย"

 

เกรย์เฟงเดินเข้ามาหาทุกคน สีหน้าของเขาดูจริงจัง "พวกเจ้าช่างเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ทั้งเทพธิดา ออร์ก ไดรแอด และมนุษย์สัตว์ เหตุใดพวกเจ้าถึงมารวมตัวกัน? "

 

คาริสามองหน้าเพื่อนร่วมทางของเธอ ก่อนจะตอบ "พวกเรากำลังเดินทางไปยังเมืองหลวงของเกาะลูน่า เรามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ"

 

เกรย์เฟงพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว แต่พวกเจ้าต้องระวังให้มาก ป่าเอลเดนกรอฟนี้เต็มไปด้วยอันตราย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีผู้บุกรุกเข้ามา"

 

"ผู้บุกรุกที่ท่านพูดถึง พวกเขาเป็นใครกันแน่? " วาลองซ์ถาม

 

 

เกรย์เฟงถอนหายใจ "พวกเขาเรียกตัวเองว่า 'กองทัพแห่งราตรี' พวกมันมาจากที่ไหนสักแห่งนอกเกาะ บุกเข้ามาทำลายล้างและจับสิ่งมีชีวิตในป่าไป เราไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไร แต่มันอันตรายมาก"

 

ทุกคนมองหน้ากันด้วยความกังวล คาริสาพูดขึ้น "เราอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง เกรย์เฟง? "

 

เกรย์เฟงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ "ถ้าพวกเจ้าจะช่วยจริงๆ ข้าอยากให้พวกเจ้าช่วยสืบหาว่ากองทัพแห่งราตรีซ่อนตัวอยู่ที่ไหนในป่านี้ และถ้าเป็นไปได้ ช่วยปลดปล่อยเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกจับไป"

 

วาลองซ์มองเพื่อนร่วมทางของเขา ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย "พวกเราจะช่วยเต็มที่ครับ"

 

เกรย์เฟงยิ้ม "ขอบคุณ เอาล่ะ ตามข้ามา เราจะพาพวกเจ้าไปยังหมู่บ้านของเรา ที่นั่นพวกเจ้าจะได้พักผ่อนและวางแผนก่อนออกเดินทาง"

 

ขณะที่เดินตามเกรย์เฟงไป วาลองซ์รู้สึกถึงทั้งความตื่นเต้นและความกังวล เขารู้ว่าภารกิจนี้จะไม่ง่าย แต่เขาก็รู้สึกว่านี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่น ในโลกใหม่ที่เขาเพิ่งมาอยู่

 

เมื่อมาถึงหมู่บ้านของมนุษย์หมาป่า วาลองซ์และเพื่อนๆ ต่างตะลึงกับสิ่งที่เห็น บ้านเรือนถูกสร้างขึ้นจากไม้และหินบนต้นไม้ขนาดมหึมา เชื่อมต่อกันด้วยสะพานเชือกและแพลตฟอร์มไม้ ทำให้ทั้งหมู่บ้านดูเหมือนลอยอยู่ในอากาศ

 

"นี่มัน...น่าทึ่งมาก" วาลองซ์พูดอย่างประหลาดใจ

 

ไอวี่พยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย"

 

เกรย์เฟงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "นี่คือวิธีที่เราปกป้องตัวเองจากอันตรายบนพื้นดิน แต่ตอนนี้...แม้แต่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป"

 

ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน มนุษย์หมาป่าคนอื่นๆ ต่างมองมาด้วยความสงสัยและระแวง วาลองซ์รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองพวกเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

 

เกรย์เฟงพาพวกเขาไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่กลางหมู่บ้าน "นี่คือสภาผู้อาวุโส ที่นี่เราจะได้พูดคุยกันอย่างละเอียด"

 

เมื่อเข้าไปด้านใน พวกเขาพบกับมนุษย์หมาป่าสูงวัยหลายตน นั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟกลางห้อง เกรย์เฟงโค้งคำนับ ก่อนจะแนะนำวาลองซ์และเพื่อนๆ

 

"ท่านผู้เฒ่า นี่คือนักเดินทางที่ข้าพบในป่า พวกเขาเสนอตัวที่จะช่วยเหลือเรา"

 

ผู้อาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน มองสำรวจกลุ่มของวาลองซ์อย่างพินิจพิเคราะห์ "เหตุใดพวกเจ้าถึงอยากช่วยเราล่ะ? "

 

คาริสาก้าวออกมา "พวกเราเป็นนักเดินทาง กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของเกาะลูน่า แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวของพวกนาย เราก็อยากช่วยเหลือ"

 

ผู้อาวุโสพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว แต่พวกเจ้าต้องรู้ว่า นี่เป็นเรื่องอันตราย กองทัพแห่งราตรีไม่ใช่ศัตรูธรรมดา"

 

วาลองซ์ก้าวออกมา "พวกเราเข้าใจครับ แต่เราก็มีพลังและความสามารถที่จะช่วยได้ ขอโอกาสให้พวกเราลองดูสักครั้งเถอะครับ"

 

ผู้อาวุโสมองหน้ากันเอง ก่อนที่คนหนึ่งจะพูดขึ้น "ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าต้องผ่านการทดสอบก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีค่าพอที่จะไว้ใจได้"

 

"การทดสอบ?อะไรหรือครับ? " วาลองซ์ถาม

 

 

“พวกเจ้าต้องเข้าไปในถ้ำถ้ำอัลด์เวิร์ธของเรา" ผู้อาวุโสอีกคนตอบ "ในนั้นมีอันตรายมากมาย แต่ก็มีสมบัติล้ำค่าที่ถูกขโมยไปโดยกองทัพแห่งราตรี ถ้าพวกเจ้าสามารถนำมันกลับมาได้ เราจะยอมรับและช่วยเหลือพวกเจ้า"

 

วาลองซ์มองหน้าเพื่อนๆ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย "พวกเรายอมรับการทดสอบครับ"

 

เกรย์เฟงยิ้ม "ดีมาก พวกเจ้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ เพราะการเดินทางจะไม่ง่ายเลย"

 

หลังจากการประชุม วาลองซ์และเพื่อนๆ ถูกพาไปยังบ้านพักที่จัดไว้ให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งสี่ก็นั่งล้อมวงรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ท่ามกลางแสงสลัวของดวงจันทร์และแสงหิ่งห้อยที่เริ่มปรากฏตัวรอบๆ

 

"พวกเราคิดว่าจะรับมือกับการทดสอบนี้ยังไงดี? " เขาถามขึ้น

 

ไอวี่ยักไหล่ "เราก็แค่ต้องทำให้ดีที่สุด ฉันว่าพลังของพวกเราน่าจะช่วยได้มากนะ"

 

คาริสาพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ แต่เราต้องระวังด้วย เราไม่รู้ว่าจะเจออะไรในถ้ำนั้นบ้าง"

 

ออเรียที่เงียบมาตลอด พูดขึ้นเบาๆ "ฉันรู้สึกถึงพลังงานแปลกๆ จากทิศทางของถ้ำ มันทำให้ฉันรู้สึก...ไม่สบายใจ"

 

วาลองซ์วางมือลงบนไหล่ของออเรีย "ไม่เป็นไรหรอกครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน"

 

"วาลองซ์ นายช่วยเล่าเรื่องโลกของนายให้เราฟังอีกหน่อยสิ" ไอวี่แทรกขึ้น "มันน่าสนใจมากเลย" อาจจะเพราะรู้สึกถึงความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้น ไอวี่จึงร้องขอขณะที่กำลังกินผลไม้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี

 

วาลองซ์ยิ้ม เริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับโลกของเขา ให้ทั้งสามฟัง ทั้งเรื่องเทคโนโลยี วิถีชีวิต และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ไอวี่ฟังด้วยความตื่นเต้นกว่าใครและถามคำถามมากมาย

"แล้วในโลกของวาลองซ์ใช้เวทมนตร์อะไรบ้างล่ะ? ไม่เห็นนายพูดถึงเลย" ไอวี่ถามด้วยความสงสัย

 

วาลองซ์ส่ายหน้า "ไม่มีหรอก อย่างน้อยก็ไม่มีแบบที่ผมเห็นในโลกนี้น่ะ ในโลกของผม เวทมนตร์เป็นแค่เรื่องในนิทานหรือภาพยนตร์เท่านั้น"

 

ไอวี่ทำหน้างง "ภาพยนตร์?นั่นมันอะไรอีกล่ะ? "

 

วาลองซ์อธิบายเกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์ให้ฟัง ทุกคนฟังด้วยความทึ่ง

 

"เยี่ยมไปเลย!" ไอวี่อุทาน "ฉันอยากเห็นสิ่งเหล่านั้นจังเลย"

 

วาลองซ์ยิ้ม "บางทีถ้าผมได้กลับไปโลกเดิม..." เขาหยุดลง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเหตุใดจึงทำให้เขาได้มาเกิดใหม่ที่โลกใบนี้

 

"คิดถึงบ้านเก่าเหรอ" เสียงนุ่มนวลของคาริสาดังขึ้นข้างๆ ทำให้วาลองซ์รู้สึกตัว

 

"ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" วาลองซ์ตอบกลับเสียงอ่อน จากนั้นวาลองซ์ก็รีบถามออกไป "แล้วผมจะมีสิทธ์ได้กลับบ้านไหมครับ? "

 

"คำถามนี้ ไม่นึกว่าจะออกจากปากของนายเลยนะ” คาริสาตอบแกมประชด “แต่ก็ไม่แน่นะบางทีทุกอย่างอาจจะขึ้นอยู่กับการเดินทางของนาย ช่วยเราทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ แล้วนายจะพบคำตอบเอง" คาริสาส่งยิ้มปริศนา

 

วาลองซ์นั่งครุ่นคิดอยู่ท่ามกลางความเงียบของป่ายามค่ำคืน เขามองไปที่เพื่อนร่วมทางของเขาที่กำลังส่งสายตามองมาด้วยความเป็นห่วง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาก็รู้สึกอุ่นใจที่มีเพื่อนร่วมทางที่ดีเช่นนี้

 

จากนั้นทั้งสี่นั่งคุยกันต่อ วางแผนและเตรียมตัวสำหรับการทดสอบที่จะมาถึง โดยไม่รู้เลยว่าอะไรรออยู่เบื้องหน้า แต่พวกเขารู้ว่าต้องเผชิญมันไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม