‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

Remii-I - บทที่ 1 Your smile โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii-I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ

รายละเอียด

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

 

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ 

 

Remii-I

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'

และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง

งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?

-----------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง

*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*

-------------------------------

Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)


 

Remii-I

Author: RemyGravity

Cover Illustration: Sun Moon

Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller

 

จากนักเขียน*

*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*

*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*

สารบัญ

Remii-I-บทที่ 1 Your smile,Remii-I-บทที่ 2 Collapse,Remii-I-บทที่ 3 Light Kiss,Remii-I-บทที่ 4 Vague Shadow,Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 1),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 2),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Final Act),Remii-I-บทที่ 6 Solid, failure,Remii-I-บทที่ 7 Break

เนื้อหา

บทที่ 1 Your smile

 

ร่างผอมสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว มีปกลายสก็อตสีเทาและเครื่องประดับสีเทาตามตัวธีมขาวดำ ถือช่อดอกไม้สองสีถูกเหวี่ยงไปมาตามจังหวะการเดิน เสียงส้นสูงกระทบบนพื้นหินดังเต๊าะๆ สายลมโชยอ่อนพัดพาให้ใบไม้และดอกหญ้าปลิวคละคลุ้งไปทั่ว เช่นเดียวกับปอยผมสีเทาอมม่วงแนบแก้มข้างขวา ป้ายหลุมศพตามธรรมเนียมและประเพณีดั้งเดิม ยังคงสืบทอดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ก็ไม่อาจลบล้างความเชื่อเก่าก่อน

เรมี่หรี่ตาลง ความสบายเนื้อสบายตัวเริ่มก่อตัว ยามได้เห็นชื่อผู้ล่วงลับ หลุมแล้วหลุมเล่า แม้ว่าเขาจะคุ้นชินกับที่นี่มาสักพัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันไม่ใช่สถานที่อภิรมณ์ใจใดๆ

เขาหยุดยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพ ซึ่งมีชื่อจริงและนามสกุลของอดีตสหาย ขบกัดฟันดังกรอดก่อนจะวางช่อดอกไม้ลงยังบริเวณฐานด้วยความอาลัยอาวร แววตาวูบไหวสั่นคลอน คล้ายจะมีหยาดน้ำไหลออกมา แต่ก็สามารถอดกลั้นไว้ได้

“เลม่อน...”

บางครั้งความตายก็อยู่แค่เอื้อม ภาพโศกนาฏกรรมย้อนฉายเข้ามาในหัว เขาพรูลมหายใจยาว เงยหน้ามองท้องฟ้า เป็นพฤติกรรมเฉกเช่นวันแรกที่เขาต้องมายืนเคารพหลุมศพเช่นนี้

เขายังไม่เข้าใจความรู้สึกขุ่นเคืองยามสูญเสียคนรักไป ไม่เข้าใจความรู้สึกที่ต้องแก้แค้น เลือกหนทางแสนร้าวฉาน ทำทุกอย่างถึงที่สุดแล้วตายตกตามกันไป เขายังมีภาระอีกมากมายที่ต้องแบกรับ ยังมีปากท้องของเพื่อนและทีมงาน ครุ่นคิดพลางนึกถึงใบหน้าของทีมงานทีละคน ทีละคน...

“แต่ถ้านายบอกผมเร็วกว่านี้ มันคงไม่เป็นแบบนี้หรอก........”

ประโยควนซ้ำถูกบอกกล่าวออกไป เป็นครั้งที่เท่าไรไม่ทราบได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ เรมี่ก็เอาแต่พูดมันซ้ำๆ ถึงเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน เวลาก็ไม่อาจแปลผันหรือแก้ไข นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ย่อมรู้ดีแก่ใจ

ผงฝุ่นปลิดปลิวเข้าตาอย่างไม่ทันตั้งตัว พาให้เขาต้องขยี้ตาเบาๆ สุสานอยู่ห่างไกลความเจริญและไม่มีพนักงานจักรกลดูแลเพราะเปลืองงบรัฐบาล ดั่งนั้นพื้นที่โดยรอบจะเต็มไปด้วยมลทินก็คงไม่ผิดแปลกนัก เขาเปรยตาออกไป มองเหล่าคนจรที่มานั่งๆ นอนๆ นอกรั้วที่ทำจากเหล็กสีดำ พวกเขาคงอยู่ได้ด้วยอาหารและของเส้นไหว้ตามประเพณี

ผิดกับเขาที่ได้อยู่ดีกินดีจนปล่อยให้เรื่องพวกนี้เลยเถิด....

 

                ห้องแอร์เย็นฉ่ำพาให้ร่างสูงรู้สึกหนาวจนต้องห่อไหล่ลีบ เขายกมือลูบเรียวแขนใต้ร่มผ้าไปมา สองขาก็สั่นผับๆเหมือนเครื่องจักรทำงานถี่ แต่เมื่ออุณหภูมิในห้องสูงขึ้นเพราะระบบ AI ปรับให้อัตโนมัติ เขาก็กลับมานั่งหลังตรงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่ไหว”

ชายหนุ่มบ่นกับตนเอง รู้สึกได้ถึงความไร้คุณภาพของสถานที่และอุปกรณ์ จริงอยู่ที่เขาเป็นเจ้าของสตูดิโอ Gravity แต่ระบบ AI กลับไม่ได้ดั่งใจซะแบบนั้น จนบางครั้งก็รู้สึกเหมือนเสียดายเงินเปล่าๆ

เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง ที่เขายังไม่ขยับตัวไปไหน โต๊ะทรงกลมมีไฟ LED วิ่งขึ้นลงราวกับติดวังวน แต่ผู้กำกับหนุ่มกลับสมองตื้อ สวนทางกับแสงสีที่ลื่นไหลตรงหน้า เจ้าตัวพรูลมหายใจยาว เอนตัวพิงพนัก ถึงจะไม่ใช่งานเร่งด่วนอะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยังไม่เสร็จสมบูรณ์มากพอ พล็อตทุกอย่างดูดีในช่วงองค์ที่สาม แต่ในช่วงองค์แรกกลับเป็นขั้วตรงข้าม

งานที่ได้จากมิเรย์นั้นมีข้อจำกัด เพราะฐานข้อมูลเดิมก็ประมวลผลมาจากตัวเขา มันจึงไม่แปลกที่สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ได้มีสีสันเหมือนดั่งเก่าก่อน

“จืดชืด ไร้รสนิยม ....ซ้ำซาก”

เก้าอี้ทรงกลมถูกหมุนออก เรียวขายาวสาวเข้าหาหน้าต่างบานกระจก

ทิวทัศน์โดยรอบตระการตา เต็มไปด้วยผู้คนที่โชว์ลีลา Hoverboard บน Air Road หากมองต่ำลงไปก็จะเห็นผู้คนเดินขวักไขว่ตามชั้นลอยและพลาซ่า

‘โลกแห่งเทคโนโลยีในอุดมคติ....’

หากให้จำกัดความแบบนั้นก็คงไม่แปลก แต่มันน่าจะเป็น Dystopia ของใครบางคน เช่นเรมี่เป็นต้น เพราะไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำขนาดไหน ก็ไม่เคยข้ามผ่านธรรมชาติได้ ตัวเขาที่สร้างสิ่งบันเทิงมานักต่อนักย่อมรู้ดีที่สุด

ดวงตาสีชมพูเข้มเหลือบดูนางแบบสาวที่กำลังถ่ายรูปด้วยโดรนกลางพลาซ่าของตึกสาม เธอเหวี่ยงตนเองไปมาโดยไม่จำเป็นต้องแคร์เรื่องของมุมหรือองศาในการกะระยะภาพ ทุกอย่างล้วนถูกคำนวนด้วยโปรแกรม ฉะนั้นไม่ว่าจะตรงไหน เธอก็ดูสวยสดไปหมด และอีกเรื่องหนึ่งที่สะดวกสบายไม่แพ้กัน คือการรีทัชอัตโนมัติที่ทำให้ผู้คนในฉากหายวับไปกับตา

แต่กับการถ่ายภาพยนต์นั้น ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น AI ยังไม่เข้าใจความวิจิตรศิลป์ และคงไม่มีทางเข้าใจ แต่คนที่มีความสามารถมากพอจะเอาชนะความสะดวกสบาย ก็แทบจะนับคนได้บนโลกใบนี้

“เฮ้อ ไปหากาแฟกินดีกว่าวุ้ย” เขาบ่นอุบอิบ แล้วจึงยกก้นออกไปจากห้องทำงาน

สตูดิโอของเขาถูกตกแต่งด้วยธีม Futuristic ตลอดทางเดินจึงเต็มไปด้วยวัสดุสีเทาและไฟ LED วิ่งไปมา ไม่ต่างจากฐานทัพทหารในมังงะโชเน็นช่วงศตวรรษที่ 20

 

“ป๊า”

เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากโถงทางเดินด้านหลัง เรียกให้เจ้าของสรรพนามต้องหันมองตามสัญชาตญาณ แม้เขาจะรู้ดีแก่ใจว่ามันคือคำเรียกที่เอาไว้หยอกล้อในแวดวงคนเล่นเกมเท่านั้น ในยุคที่ครีเอเตอร์ผู้ดันหลังคนอื่นถูกยกยอเคารพเยี่ยงพอแม่ นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด 

แลเห็นเด็กสาวอายุต่างกันเกือบสิบปีวิ่งหน้าตั้งมาหาก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วมอง 

“มีอะไรเหรอเจเน่?”

“มีงานด่วนนนน”

หญิงสาวผมยาวถึงเอวสีน้ำตาลอ่อนตัดหน้าม้าตรง สวมชุดสูทสีชมพูทับเสื้อคอลูกไม้สีขาว กระโปรงทรง A สีเข้าเซ็ทกับตัวเสื้อ ตรงอกมีโบว์ชมพูอมม่วงประดับ ทำไม้ทำมือ ราวกับจะอธิบายความเร่งด่วนนั่น สวนทางกับคนด้านหน้าที่ยืนเท้าเอวมองเพื่อรอคำตอบ นิ้วเรียวตวัดไปมากลางอากาศสองสามรอบ ก็เปิดระบบ smart display หรือหน้าจอสั่งการกลางอากาศขึ้นมา เธอเลื่อนไปมาสองสามครั้งก่อนจะโชว์มันให้กับผู้เป็นหัวหน้าดู

“ว่ามา...” เสียงเนือยทักท้วง เมื่อเห็นท่าทีรนรานของเด็กสาว

 “ป๊าจะได้ทำหนังฟอร์มยักษ์ของบริษัท ***** ด้วยนะ!”

เรมี่เบิกตาโพลน แขนขวาที่เคยเท้าเอวอยู่ก็พลันยกลงดื้อๆ เขายื่นหน้าไปมองรายละเอียดงานบนหน้าจออย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นลิสรายชื่อนักแสดง ก็ทำให้เขาต้องเอียงคอด้วยความงุนงง

“พวกนี้ใครน่ะ?”

“ไอดอลวง JustMinute ที่กำลังแมสตอนนี้ไงป๊า” เจเน่ทำตาลุกวาว ท่าทีเหมือนลูกสุนัขนั่นยิ่งเสริมให้วงนี้ดูยิ่งใหญ่ไปอีกเท่าตัว แต่กับเรมี่นั้นเรียกว่าเหมือนฟ้ากับเหว เขาไม่เคยสนใจวงไอดอลเลยแม้แต่วงเดียว เพราะส่วนใหญ่แล้วจะฟังแต่เพลงของนักร้องมืออาชีพซะมากกว่า

ฉะนั้นจะเรียกว่าเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ จากสีหน้าดีใจในตอนแรกที่ได้รู้ว่าจะได้ทำหนังใหญ่ก็กลายเป็นเหยเกดื้อๆ

“ล้อกันเล่นหรือไง...”

เขาแอบตำหนิเบาๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความผิดหวังชัดเจน พลางซุกมือเข้ากับกระเป๋ากางเกง ก่อนจะออกตัวเดินไปตามทางที่หมายตาเอาไว้แต่แรก

“เดี๋ยวๆๆๆ คุณเรมี่”

เจเน่เปลี่ยนสรรพนามเรียกทันที ปกติเธอจะเรียกป๊า เพราะเรมี่เป็นคนช่วยอบรมสั่งสอนในหลายๆเรื่อง จึงไม่แปลกที่จะมีความสัมพันธ์คล้ายพ่อลูกอ่อน แต่ที่เธอต้องขึงขังขึ้นมาอย่างกระทันหัน ก็คงเพราะเธอรู้ดีว่าความหัวดื้อของผู้เป็นนายนั้นกำลังจะทำให้พลาดงานดีๆไปอย่างอดไม่ได้

“พวกเขาเป็น Professional นะคะ” เธอพยายามรั้งแขนอีกฝ่ายเอาไว้

“แล้ว?”

“ฉะนั้นมันต้องไปได้สวยแน่ๆค่ะ”

เรมี่ถอนหายใจยาวกับสิ่งที่ได้ยิน สีหน้ายังคงบูดบึ้งเหมือนกำลังเสียเวลาชีวิตเปล่าๆปี้ๆ เขามองเจเน่อีกหน พยายามสันหาคำตอบที่ไม่ต้องเปลืองน้ำลายไปมากกว่านี้

“เจ๊งน่ะซี้!” เขาอ้าแขนสองข้างออก เป็นท่าทางประกอบเหมือนดั่งโลกจะแตก

“ไม่หรอกน่า!”

“ล้านเปอร์เซ็นต์!”

ว่าพลางกรอกตาหนึ่งรอบแล้วจึงออกแรงเดินต่อ ซึ่งแรงฉุดกระชากลากถูก็ยังไม่ลดละลงแต่อย่างใด

“ฟังก่อนนนนนนนน ค่าจ้างรอบนี้สองเท่าของรอบอื่นๆเลยนะคะ ถึงทำยอดขายไม่ได้ เราก็ถือว่าได้ค่าคอมล่วงหน้าเลยนะคะ”

 “ห๊า?”

ถึงจะอุทานด้วยความแปลกใจ แต่เจเน่ก็ยังต้องพยายามออกแรงรั้งอยู่ ร่างสูงไม่มีทีท่าจะฟังใดๆ ถึงข้อเสนอจะดูดีขนาดไหน แต่ตัวเขาก็ไม่อยากเสี่ยงกับมือสมัครเล่นทั้งนั้น

หลังจากภาพแสนน่าเวทนาเลยผ่านกล้องวงจรปิดตัวแล้วตัวเล่า เรมี่ก็รู้สึกว่าเดินเท่าไรก็เดินไม่ถึงลิฟต์เสียที สุดท้ายต้องจำยอมให้กับลูกตื้อของเด็กสาวคนดีคนเดิม และทุกอย่างก็จบลงอย่างง่ายดายที่คาเฟต์ชั้นล่างของตึก

โคล่าสีดำสนิทถูกรินแก้วด้วยระบบอัตโนมัติ จากที่วางแผนไว้ว่าจะกินกาแฟให้หายง่วง ตอนนี้ยามรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มจากภายใน ก็กลายเป็นวอนหาความเย็นฉ่ำเสียแทน เขาจิบน้ำแก้กระหาย สายตาก็บรรจงอ่านเอกสารไปด้วย ก่อนจะสะดุดกับบันทัดหนึ่งที่ดูมีพิรุธจนต้องเบ้หน้า

“หมายความว่าไง?”

นิ้วขาวซีดชี้ไปบนจอ ตรงที่บอกว่าไอดอลหนุ่ม ผู้รับบทนักแสดงนำ ต้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของเขาเพื่อเป็นการฝึกงานไปในตัว

“ก็ตามนั้นแหละค่ะ ทางเอเจนซี่อยากให้คุณคิริโนะมาถ่ายงานกับเรา แล้วก็ช่วยงานเราไปด้วย”

เจเน่พูดเสริม ในขณะที่เรมี่กุมขมับทันที

“บ้าไปแล้วรึไง? ไอดอลชายน่ะ-“

“ชู่วววววววว ป๊า!”

“โอเคๆ”

เขาเงียบเสียงลงเมื่อเด็กสาวเตือน กวาดตามองไปรอบๆเพื่อสังเกตว่ามีพนักงานคนใดได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่บ้าง แต่พอเห็นว่าร้านเงียบและมีเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสืออยู่ตรงมุมร้าน ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เรมี่มีนิสัยลืมตัวเวลาอยู่ในสถานที่ของตนเอง ถึงจะเป็นพนักงานภายใต้อำนาจของเขา แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีช่องเสมอ

‘ใช่ว่าคนภายใน จะไม่มีวันทรยศ........’

เขาบ่นกับตนเอง แล้วจึงต่อบทสนทนาต่อ

“อะ ว่ามา...”

“แต่เรายังไม่ต้องตอบรับทันทีก็ได้ รอไปเจอวงนี้ที่งานกินเลี้ยงวันที่ 26 นี้ก่อนก็ได้ค่ะ”

“อืม...ได้...”

ถึงเงื่อนไขในการทำงานจะดูอำนวยผลประโยชน์ให้เขามากแค่ไหน แต่วงการการแสดงกับวงการไอดอลก็ไม่ได้กินเส้นกันขนาดนั้น ฉากหน้าอย่างนึง ฉากหลังก็อีกอย่างนึง

ทว่ามันก็คงไม่เสียหายอะไรที่จะลองทำความคุ้นเคยกันไว้แต่เนิ่นๆ เพราะถ้าสมมุติว่าไม่กินเส้นกันจริงๆ ก็จะได้ตัดไฟแต่ต้นลม

 

โรงแรมหรูสูงเสียดฟ้า ตั้งตระหง่านกลางใจเมือง ทว่าที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่เดียวที่เป็นเช่นนั้น  ท่ามกลางของประดับสวยหรู บรรยากาศครื้นเครงเหมาะสมกับชนชั้นสูง ผู้อยู่บนห่วงโซ่อาหาร ผู้กำกับหนุ่มก็เฝ้ามองทุกอย่างรอบกายด้วยความหวาดระแวง ใบหน้าฉายแววตึงเครียดมากกว่าตอนออกกองเพื่อทำงาน ผิดกับเด็กสาวผู้อยู่ในชุดเดรสสีชมพูผู้ยืนยิ้มร่าไม่ต่างจากแสงอาทิตย์ในตอนเช้า

“สดใสจริงนะ” เรมี่ท้วง เขาอยู่ในชุดทักษิโด้หางจิ้งหรีดสีดำ ดูรวมๆกับสีผมเทาม่วงนั่นแล้วก็กลายเป็นโทนสีที่อึมครึมไม่ใช่น้อย

“เต็มไปด้วยคนดังขนาดนี้ ตื่นเต้นจะตายป๊า”

“เฮ้อ...”

พรูลมยาวก่อนค่อยๆย่องไปด้านหลังโต๊ะบุฟเฟต์ เขาไม่ค่อยอยากเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว ฉะนั้นรอสังเกตการณ์จากมุมอับเงียบๆน่าจะดี เพราะถ้าไม่ตรงปก ก็ถือว่าได้มากินของฟรีแล้วกัน

“อะ...”

เผลออุทานเบาเพราะน้ำโคล่าในแก้วเริ่มพร่องจนใกล้หมด ไหล่เล็กยักหนึ่งทีเหมือนจะบอกว่าช่วยไม่ได้นะ แล้วจึงเดินไปเติมตรงบาร์ใกล้ๆ

“โคล่าครับ”

เขาสั่งเป็นเสียง หุ่นยนต์พนักงานตัวกลางจึงคีบแก้วกลับไปหลังร้านเพื่อจัดการเติมน้ำให้กับเขา

ชายหนุ่มนั่งเท้าคางรอเหมือนคนป่วย ดวงตาก็มองโคมไฟเหนือหัวราวกับใจลอย ในช่วงแรกๆเขาก็ตื่นเต้นกับงานเลี้ยงรวมคนในวงการ แต่หลังๆเริ่มชินชากับคนที่เข้ามาทักทายเพื่อหวังผลประโยชน์เสียแล้ว ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้เรมี่ก็อยากออกจากงานไปเสียมากกว่าจำทนอยู่ตรงนี้

“ขอโทษนะครับ ผมขอเป็นชาเขียวแล้วกันครับ”

เสียงนุ่มติดโทนแหลมสูงดังขึ้นด้านข้าง พาให้คนหมดอาลัยตายอยากต้องเหลียวมอง

คนด้านข้างผู้เดินมาเติมน้ำนั้นดูคุ้นตา ทั้งดวงตาสีแดงคู่สวยและผมสีขาวยาวประบ่าที่ถักเปียเล็กอ้อมไปด้านหลังของศีรษะ ผิวขาวซีด ริมฝีปากได้รูป ชุดสูทสีขาวสะอาดตา ดูยังไงก็เป็นบุคคลในวงการบันเทิงผู้มีหน้ามีตาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“คิริโนะ นัทสึมิ?” เรมี่เผลอเรียกชื่อออกไป ทำให้แววตาสีแดงคู่สวยต้องหันมาสบกับเขาตรงๆ

“ครับ คุณคือคุณเรมี่ใช่ไหมครับ?” 

นัทสึมิหันมาส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มละมุนละม่อมที่เอาไว้ผูกมิตรและเอาใจแฟนๆ ถึงเรมี่จะรู้สัจธรรมข้อนั้นดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ ทั้งสีหน้า แววตา และใบหน้าได้รูปซึ่งมีสัดส่วนที่พอเหมาะ มันทำให้เขาแทบจะหลงลืมคำพูดที่คุยกับเจเน่เมื่อวานจดหมด

แต่ความสวยงามดังกล่าว ก็เป็นเพียงความสวยงาม ไม่สามารถพิสูจน์ความสามารถใดๆได้นัก เขาลอบขำมุมปาก ไม่มีบทสนทนาใดๆ นอกจากคำตอบรับสั้นๆ ว่า

“ครับ”

มือเรียวรับแก้วน้ำของตนมาถือไว้ แต่ในจังหวะชักมือกลับกลับพร้อมเพียงกับแก้วที่เติมเต็มด้วยชาเขียวอย่างน่าประหลาด ถึงทั้งคู่จะผิวขาว แต่กลับเป็นคนละโทน ถ้าให้พูดถึงความนวนเนียน ก็ต้องบอกว่าคิริโนะกินขาดแบบชนะขาดลอย

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เรามาทำความรู้จักกัน ดีไหมครับ?”

รอยยิ้มละมุนละไมยังคงส่งตรงไปยังผู้กำกับหนุ่มอย่างไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนสีหน้า ดวงตาสีแดงสดยามต้องแสงดูแวววาวเหมือนกับทับทิม น่าแปลกที่ผู้กำกับหนุ่มก็เผลอจ้องนานจนลืมจะลุกหนีออกไปจากเค้าท์เตอร์ดังกล่าว

“เห... ได้สิ”

ในจินตนาการของเรมี่ ตอนนี้ก็เหมือนกับต้องเลือกหยิบหน้ากากที่เรียงรายอยู่บนเค้าท์เตอร์ เขาเลือกอันที่หนาที่สุดขึ้นมาสวมใส่ เพราะมันเป็นธรรมเนียมในวงการ ‘มายา’ อยู่แล้วในการเล่นละครให้แนบเนียน ตีบทแตกกระจุยแม้จะไม่ได้เป็นนักแสดงมืออาชีพก็ตาม แต่เกมการเมืองในวงการนั้น ยากเย็นและสาหัสกว่าบทภาพยนต์เป็นไหนๆ ฉะนั้นความสุภาพแบบปลอมเปลือก จึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้แม้เสี้ยวนาที

“ผมชื่นชมงานของคุณเรมี่มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วล่ะครับ” ว่าพลางจิบน้ำชาเบาๆ ราวกับโลกทั้งใบถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องที่ถูกปูด้วยผืนเสื่อทาตามิ

แต่ลูกไม้การตีสนิทด้วยการชื่นชมผลงาน ไม่ว่าหน้าไหนก็ใช้กันจนน่าเบื่อ แต่จะให้หันไปชี้หน้าแล้วบอกว่า ‘ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้ ใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ’ ก็ค่อยเก็บไอเดียนี้ไว้ใช้กับหนังสักเรื่องแล้วกัน

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ แต่เรื่องไหนเหรอครับ?”

รอยยิ้มละมุนฉีกกว้างขึ้นเล็กน้อย เรมี่คิดว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด คนด้านข้างหันมาจับจ้องเขาตรงๆแม้ดวงตาจะหยีจนแทบปิดก็ตาม

“ดอกไม้แห่งฤดูหนาวสีชาดครับ”

คำตอบสั้นๆกลับทำให้เขาตัวแข็งทื่อ ดวงตาวูบไหวไปด้วยความประหม่า เขาเบี่ยงหน้าหนีราวกับจะเก็บซ่อนความรู้สึกแฝงเร้นที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาพของคิริโนะ นัทสึมิ ทับซ้อนกับชายหนุ่มร่างสูงในห้วงความทรงจำ ดวงตาสีแดงเฉกเช่นเดียวกัน แตกต่างที่รูปร่างสูงชะรูด เรือนผมสีดำ และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉีกกว้าง..

‘เรมี่...ทำมันออกมาให้สำเร็จนะ’

“...อะ..” ราวกับถูกฉึดให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง น้ำเสียงของนัทสึมินั้นยังคงเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีส่วนใดละม้ายคล้ายคลึงประโยคเมื่อกี้ที่ถูกส่งต่อมาจากอดีต...

“เป็นผลงานที่ดีมากเลยจริงๆครับ ทั้งโครงเรื่องและนักแสดงนำ...”

คิริโนะยังคงสาธยายต่อ ทั้งกล่าวถึงข้อดี ข้อด้อย และความรู้สึกต่อฉากต่างๆอย่างไม่มีปิดบัง สวนทางกับคนฟังที่แทนที่จะดีใจแต่กลับนั่งก้มหน้าไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น ความรู้สึกผิดบาปในใจเริ่มถูกกระตุ้น พลั่งพรูจนยากจะสำรวจท่าที

“โดยเฉพาะบท-“

“โกหก....”

“ครับ?”

ความเงียบเข้าครอบงำอีกหน บรรยากาศรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยนไป แม้แสงไฟจะยังสว่างไสวทั่วห้อง เรมี่ไม่รู้ว่าสีหน้าของไอดอลหนุ่มตอนนี้เป็นเช่นไร เขารับรู้เพียงว่าต้องการจะหนีหายไปอย่างรวดเร็วจากที่นี่ มือซ้ายที่เคยกำหลวมๆตอนนี้กลับแน่นหนัก จนแทบจะฝังเล็บเข้าไปในเนื้อ สันกรามขบฟันจนเสียงดังกรอด

แต่เมื่อได้สติ เขาจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สีหน้าและแววตากลับมาเป็นปกติราวกับท่าทีเมื่อกี้เป็นเรื่องล้อเล่น

“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าไม่จริงน่า มีคนรู้จักเรื่องนั้นด้วยสินะครับ ดีใจมากเลย”

“ครับ”

คิริโนะ นัทสึมิส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขาอีกครั้ง น้ำเสียงตอบรับดูแสดงออกถึงความยินดีอย่างเป็นธรรมชาติจนตัวเขานึกหวาดกลัว

“พอดี ผมมีมีทติ้งกับผู้ช่วยผู้กำกับหนังเรื่องใหม่พอดี ถ้ายังไงเดี๋ยวผมให้เจเน่มาคุยต่อนะครับ”

เรมี่รีบขอตัว แล้วรีบรุดตัวออกจากเก้าอี้นั่งอย่างไว

 

“คิริโนะซัง...”

เจเน่เดินมาถึง เธอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ไม่กล้าถามไถ่อะไรออกไปตรงๆ

“น่าเสียดายนะครับ ที่เขามีธุระแล้ว”

“คะ?” เด็กสาวเอียงคอมอง เธอจำไม่ได้ว่าหัวหน้าของเธอมีตารางอะไรนอกจากมาพบคิริโนะ นัทสึเมะที่นี่ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ น้ำเสียงนุ่มละมุนก็ตอบคำถามจนหมดเปลือก

 “เมื่อสักครู่นี้ ผมพึ่งชื่นชมผลงาน ดอกไม้แห่งฤดูหนาวสีชาดไปครับ อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อมากกว่านี้จังเลย”

ชายหนุ่มยกนิ้วเรียวขึ้นเชยคางตนเอง ทำท่าเหมือนกำลังดื่มด่ำกับอะไรบางอย่าง โดยที่เจเน่กลับมีใบหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด

“คิริโนะซัง......ขอโทษนะคะ คุณพูดเรื่องอะไร....งานนั้นคุณเรมี่ยังเขียนบทไม่เสร็จ ไม่สิ มันคืองานที่ไม่เคยมีตอนจบ...มาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้วนะคะ...”

“ครับ....” คิริโนะยังส่งยิ้มกว้างให้กับเจเน่ แม้แววตาของเขา จะสะท้อนใบหน้าตื่นกลัวของเด็กสาวก็ตาม