‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
“ไม่!”
เสียงตะโกนก้องไปทั่วโถงทางเดินสีเทา ทำเอาสามคนที่ยืนประจัญหน้าถึงกับสะดุ้งตัวโยน พวกเขาอยู่ในชุดทำงานประจำ เจเน่ใส่ชุดสูทสีชมพูและโบว์คอสีม่วง ไนน์ใส่เสื้อเชิ้ตขาว และป็อปใส่เสื้อยืดของบริษัท ดูๆ ไปก็เหมือนสีสันที่ไม่ลงตัวเท่าไร แต่สีหน้าของพวกเขากลับเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“เฮ้ย เห็นแก่พวกกูเถอะนะ” ผู้กำกับและช่างภาพตัวกลมถึงกับยกมือไหว้กึ่งเล่นกึ่งจริง เช่นเดียวกับไนน์ พ่อหนุ่มหน้าจืดผู้สงบเสงี่ยมมากกว่าคนอื่น แต่เรื่องในวันนี้ผิดแปลกก็ถึงกับต้องยกมือไหว้ขอ
“ทำไมถึงอยากทำงานกับวงนั้นขนาดนั้นกัน?” เรมี่เลิกคิ้วมอง แขนสองข้างยังคงกอดอกแน่น ดูแล้วคงยังไม่คิดจะเปลี่ยนทีท่าง่ายๆ
“เฮ้ย ไอดอล no.1 เลยนะเว้ย” ป็อปเสนอ
“แล้ว?”
“คอนเนคชั่นไง” ไนน์เสริมเสียงเรียบ ในขณะที่เจเน่ทำตาโตเพื่ออ้อนวอน ดูไกลๆ ก็ไม่ต่างจากลูกแมวขออาหารทาสผู้ยากจนแต่อย่างใด
“เราไม่ต้องใช้ไอดอลเราก็อยู่ได้ แล้วถึงจะอยากใช้ก็ไม่ต้องเป็น lead role แบบนี้ จะขายงานให้เฉพาะแฟนคลับหรือไง?”
“ใช่!!!!!!” ทั้งสามคนตอบพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้เรมี่เผลอก้าวเดินถอยหลงไปโดยปริยาย ปฏิกริยาตอบรับดูโอเวอร์เกินจริง แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อเจอลูกตื้อเต็มเหนี่ยวจากลูกทีมเช่นนี้
“ไม่!” เรมี่ตอบเสียงแข็ง พลางหมุนตัวหนีไปอีกทาง ทำท่าจะเดินออกห่างโดยไม่เว้นระยะให้ได้เหนี่ยวรั้ง
“เฮ้ยๆๆๆๆ”
โดยที่ไนน์กับป็อป พอได้สติก็รีบตามไปรั้งตัวเอาไว้ แทบจะกลายเป็นการหิ้วปีกกันกลางอากาศ
“ปล่อยกูนะโว้ยยยย”
“มึงก็คิดดีๆ ก่อนนน” ป็อปสวนขึ้น มือข้างหนึ่งก็ยังจับแขนคนหัวรั้นที่กำลังดิ้นไปมาไว้แน่น
“แต่....” เจเน่ทำท่าเหมือนจะบอกอะไร เรียกให้ทั้งสามหันไปมองเป็นตาเดียว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ยอมหันมาสบตาตรงๆ
“มีอะไร?” เรมี่ถามขึ้น ดูงุนงงกับคนมีพิรุธตรงหน้า
“คุณคิริโนะบอกว่า ให้หม่าม๊าคิดเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมดก็ได้ค่ะ ขอแค่เป็นป๊ากำกับ”
“หา?”
เรมี่ยกมือขึ้นป้องปาก ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ หม่าม๊าที่เจเน่เรียกนั้นหมายถึงมิเรย์ หุ่นยนต์ AI ศรีภรรยาในนามของเขา เพราะในวงการบันเทิงนั้นดำมืดมากกว่าที่คิด หากยังยืนตัวเป็นโสดอยู่ก็มักจะถูกโจมตีจากทุกทิศทาง ทั้งดาราหญิงที่ตามตื้อเพื่อเสนอร่างกายเพื่อแลกกับสารพัดงาน ทั้งปาปาราสซี่ที่คอยประโคมข่าวการคบหาลอยๆ ให้หัวหมุนกว่าจะรับไหว
อีกทั้งครอบครัวของเรมี่ที่ตามจิกกัดให้มีชีวิตเป็นฝั่งเป็นฝาแบบไม่เลิก เพื่อเป็นหน้าเป็นตาทั้งวงศาคณาญาติและแวดวงสังคม แล้วเพราะเหตุใด? คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลแบบหมอนั่นถึงได้ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของผลงานมิเรย์?
“คิดมากไปก็ป่วยการเปล่า” ไนน์พูดขึ้นเพื่อหวังคลายความกังวลของเพื่อนสนิท
“เหรอ...” เรมี่ยังไม่หยุดใช้สมอง เขาหันตัวไปอีกทาง ความวิตกกังวลเริ่มเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่ทันจะได้ถามคำถามใดๆ กลับไป ข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมาตรงมุมขวาของหน้าจอ Smart Display
เขาเคาะนิ้วเพื่อเปิดมันครั้งหนึ่ง ก่อนจะต้องหรี่ตามองคำเชื้อเชิญจากรายการๆ หนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจของกระแสสังคมไม่น้อย รายการที่จะพาคนในแวดวงบันเทิงมาเปิดใจคุยกัน โดยจะแบ่งออกเป็นคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างอาชีพ นักร้อง นักแสดง ไอดอล กับคนอยู่เบื้องหลัง อย่างกลุ่มของเรมี่ในตอนนี้เป็นต้น
“คืนนี้เลย?” ไนน์ถาม
“อื้อ กะทันหันจริงๆ”
“แต่คืนนี้แกก็ว่างนี่” ป็อปพูดเสริม เพราะช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อของการรับงาน ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยเวลาว่างและความปวดหัวจากการประชุม กล่าวคือ เรื่องที่ยากที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจในโปรเจ็กถัดไปร่วมกัน
“อา ถ้าเงินดีขนาดนี้ก็คุ้มอยู่ล่ะมั้ง ช่วงนี้อยากได้ตุ๊กตาแมวส้มไซซ์ใหญ่เพิ่มด้วย”
เขาตวัดนิ้วไปมาเพื่อเซ็นสัญญาเพื่อคอนเฟิร์มนัดในคืนนี้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงยอดเงินเข้าตามมาติดๆ สำหรับเรมี่แล้ว งานพวกนี้เป็นงานจิปาถะที่ไม่ต้องคิดอะไรนานมาก อย่างน้อยก็ได้เงินเข้าสตูดิโอเพียงแค่ไปออกตัวโชว์ ก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่ามากกว่าหลายๆ งาน
โดยไม่ทันได้อ่านสัญญาให้ดีนัก..........
ภายในห้องนั่งเล่นห้องเดิมซึ่งถูกตกแต่งด้วยสไตล์มินิมอล มีโทนขาว ดำ เทาเป็นสีหลักในการดีไซน์ โซฟาตัวนุ่มสามารถปรับเปลี่ยนสีได้ดั่งใจนึก เมื่อก่อนนั้นเคยเป็นสีแดงเลือด ก็ถูกปรับให้เป็นสีม่วง เข้ากับเก้าอี้ที่ดูเหมือนรูปไข่ครึ่งซีก ให้คนได้เอนกายพักพิง ปลาหลายสายพันธุ์ว่ายวนไปมา ในตู้ปลาเสมือนด้านหลัง แม้แต่ฟองน้ำลอยละล่องก็หายไปตามการตั้งค่าของระบบคอมพิวเตอร์
Ai สาวหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน ซึ่งอยู่ติดกับโต๊ะบริเวณติดกับกำแพง เหม่อมองออกไปยังนอกกระจกบานใส ที่ไร้สิ่งใดๆ ขวางกั้น ดวงตากลมโตสีแดงฉานไร้แววใดๆ ซึกซ่อนแฝงเร้น ริมฝีปากได้รูปเผยอออกเล็กน้อย ปากกาในมือยังคงนิ่งสนิท ไร้การเคลื่อนไหว
“ทำไม...ทำไมกันนะ?”
ความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตแล่นปาดจากเท้าจรดหัว ภาพใบหน้าของผู้กำกับหนุ่มฉายวาปราวกับสวิทช์เปิดปิด เงาแผ่นหลังยามออกจากบ้านในวันนี้นั้นดูแปลกประหลาด ไม่เหมือนกับข้อมูลที่เคยถูกบันทึกไว้ เธอหันมองมือตนเอง กำและแบออกไปมาสองสามครั้งก่อนจะวางลงบนโต๊ะสีขาวพื้นเรียบ
“กลับมาแล้วววว”
“หม่าววว”
เสียงของเจ้าของบ้านและเจ้าแมวตัวกลมผู้รู้งานดังขึ้น มิเรย์หันไปมองตามทิศทางดังกล่าว สีหน้าของเธอยังเรียบนิ่ง ผิดแปลกไปจากทุกวันที่จะมีการต่อล้อต่อเถียงกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ
“เป็นอะไร?” เรมี่เลิกคิ้วขึ้น ทั้งยังฟัดพุงเจ้าแมวสีเทาไปพลาง
“รู้สึกแปลกๆ” เธอตอบเสียงเรียบ
“คิดมากไปเองมั้งงงง เป็นหุ่นยนต์จะไปมีอะไร”
“เหรอ.... เป็นงั้นก็ดีสิ”
เรมี่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขาเพียงเดินมาชะโงกหน้าดูบรรดากระดาษปึกหน้าที่ถูกกองไว้หัวมุมโต๊ะทำงานของมิเรย์ ไล่สายตาอ่านไปมาคร่าวๆ แล้วจึงคลี่ยิ้มอย่างติดเล่น
“ก็ใกล้เคียงความคิดผมอยู่นะ”
“งั้นเหรอ งั้นก็ดีสิ”
หญิงสาวส่งยิ้มตอบรับ พลางลงมือเก็บเอกสารลงไปในลิ้นชักชั้นแรกของโต๊ะ ยามภาระหน้าที่จบสิ้นลง เธอก็หยิบเอายางมัดผมที่อยู่ในลิ้นชักแนวยาวที่ติดกับพื้นโต๊ะส่วนบนออกมา มัดเก็บทรงผมที่ยาวสลวยให้กลายเป็นทรงหางม้า ในขณะที่อีกฝ่ายกลับดูไม่สนใจใยดีอะไรเธอไปมากกว่า ‘ตัวงาน’ ที่เขาต้องการ เรมี่เปิดตู้เย็นออก หยิบเอาไอศกรีมและชาข้าวหอมออกมาดื่มรองท้อง ก่อนจะใช้ขาข้างขวาเตะประตูตู้เย็นให้แนบชิดปิดสนิท
“อย่าทำแบบนั้นสิ” มิเรย์ท้วง ยามเห็นกิริยามารยาทที่ไม่น่าพึงใจ
“โทษทีๆ อะ นี่ หยิบชามะลิออกมาให้ด้วย เอาไปกินสิ” ว่าจบก็โยนให้ ฉีกยิ้มล้อเล่นให้อีกฝ่าย
แก้วพลาสติกทรงรีคล้ายตัว U ลอยเคว้งกลางอากาศ มือเรียวยาวยกขึ้นคว้าเอาไว้ ทว่าจู่ๆ มันกลับแตกออกจนน้ำชาสีส้มกระจายไปทั่วพื้นห้องและพาให้เสื้อผ้าเปียกปอน
“เฮ้ย! มิเรย์!” เรมี่หลุดอุทานเสียงหลง เขารีบกระวีกระวาดวิ่งไปหาด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่มิเรย์ได้แต่กะพริบตาปริบๆ แล้วก้มมองแขนเสื้อชื้นแฉะ
“ทำไมกันล่ะ?” เธอถามเสียงเบา
“พลาสติกมันคงบางมากน่ะ โดนกระแทกหน่อยก็แตกแล้ว” ชายหนุ่มคว้าผ้าขนหนูขึ้นมาช่วยเช็ด โดยมีหุ่นยนต์กระป๋องรูปร่างเหมือนตุ๊กตาล้มลุกสีขาวเลื่อนตามมาช่วยทำความสะอาดติดๆ
“ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้นหรอก...”
“หืม?” ใบหน้าคมเงยขึ้นมอง เลิกคิ้วความงุนงงกับประโยคดังกล่าว สบสายตาเข้ากับดวงตาสีแดงฉาน รูปทรงกลมโตคล้ายลูกแก้วขนาดใหญ่ แต่ผู้ถูกปรนนิบัติกลับส่ายหัวไปมาแทนการปฏิเสธกลายๆ
“ไม่มีอะไรหรอก...” เธอกล่าวย้ำ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ...” เขาตอบหนักแน่น แม้น้ำเสียงจะไม่ได้แสดงความห่วงใยใดๆ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของจักรกลสาวที่ประมวลผลความรู้สึกออกมาได้ เธอส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้อีกคน มืออีกข้างที่ไม่เปียกน้ำก็ยกขึ้นลูบศีรษะของชายหนุ่ม
“อืม..”
“แล้วก็คืนนี้ผมจะต้องออกไปสัมภาษณ์ คงกลับดึกหน่อยนะ”
“อืม....” เธอตอบรับเสียงเรียบ ทำให้เรมี่ต้องเอียงคอมมองด้วยความสงสัยอีกหน วันนี้มิเรย์ทำตัวผิดแปลกออกไปจากทุกครั้ง แต่ถ้าหากให้ถามว่าตรงไหนบ้างก็อาจจะเป็นแค่การอุปทานไปเองก็ได้ ไม่นานก็กลับไปช่วยหุ่น RK1 เก็บกวาด และเมื่อการทำความสะอาดเสร็จสิ้น เรมี่ก็ขอตัวเดินกลับเข้าห้อง พร้อมหอบเอาขนมที่เหลือตามไปด้วย โดยไม่ทันสังเกตดวงตากลมสีแดงที่สะท้อนภาพของเขาห่างๆ ....
แสงสปอร์ตไลท์สอดส่องไปทั่วห้อง เสียงปรบมือเกลียวกราวผสมปนเปกับพิธีกรที่กำลังยิ้มแฉ่งให้กับตากล้องผู้ใช้เพียง Smart display ในการจับภาพเบื้องหน้า ฝั่งตรงข้ามมีชายหนุ่มหน้าหวาน เจ้าของเรือนผมสีขาวทอประกายระยิบระยับ พาให้ดวงตาสีชมพูเข้มต้องกรอกไปอีกทาง เรมี่กำมือแน่น แต่ถ้าจะให้สาธยายทั้งหมด ตอนนี้ก็เหมือนตนเองตกอยู่ท่ามกลางน่านน้ำที่ไร้ชายฝั่งให้วกกลับไป
ใช่ กลับเรือไม่ทันแล้ว.......
นั่นคือสิ่งที่เขานึกโทษตนเองทั้งหมด
ในห้องส่งที่ถูกร่ายล้อมไปด้วยหน้าม้าที่เป็นส่วนน้อยและที่เหลือก็คือผู้ชมที่เป็นแฟนคลับอีกฝ่าย ดูยังไงตัวเขาก็จนมุมจนยากหาทางออก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอดอลหนุ่มในชุดเสื้อกั๊กไหมพรมสีครีมและหมวกเปเลต์สีน้ำตาล ดูนุ่มนวลชวนฝัน ผิดกับนิสัยใจคอที่เขาตราตรึงใจจนถึงตอนนี้
“คิริโนะ นัทสึมิ............”
เขาพึมพำเบา มือก็แทบจะหักปากกาทิ้งเมื่อเห็นรอยยิ้มรับแขกบานแฉ่ง ถ้าจำไม่ผิด เขามั่นใจว่าตนเองอ่านเอกสารครบถ้วนก่อนตกลงรับงาน แต่อาจจะลืมอ่านไฟล์แนบต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นความอวดดีของเขาเอง
“สำหรับวันนี้ พวกเราเองก็มาอยู่กับคุณเรมี่นะคะ” พิธีกรสาวพูดเสียงเจื้อยแจ้ว โดยที่เรมี่ก็ทักทายเหล่าคนดูอย่างสุภาพเหมือนทุกครั้ง เขาหันมองไปรอบๆ ห้อง พยายามเบี่ยงสายตาออกจากรอยยิ้มละมุนละไมที่แฝงความยียวนกวนประสาทตรงหน้า
ผู้กำกับหนุ่มคิดหาทางหนีทีไล่ ในระหว่างที่รายการดำเนินไปตามปกติ เขารู้ตัวอีกทีก็เข้าสู่ช่วงคำถามแรกเสียแล้ว
“คำถามแรกนะคะ คุณคิริโนะเคยมีประสบการณ์การแสดงมาก่อนไหมคะ?”
“อืม...”
ไอดอลหนุ่มเชยคางตนเอง ทำท่าทีเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“การแสดง MV ถือเป็นการแสดงไหมครับ?” เขาเอียงคอเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนคนไร้เดียงสา ไร้พิษภัย
“ถ้าแบบนั้น มันวัดอะไรไม่ได้หรอก” เรมี่ตอบแทน เพราะการแสดง MV ยังถือว่าห่างไกลนักจากการแสดงจริงที่ต้องแสดงท่าทาง ลีลา อารมณ์ และใช้น้ำเสียงที่ทรงพลัง แต่เขารู้ดีว่าคำถามยกตัวอย่างแสนใสซื่อนั่น น่าจะแค่ลองเชิงเขาเท่านั้น
“งั้นน่าเสียดายจังเลยครับ เพราะถ้าไม่นับการแสดง MV ผมเองก็เคยแค่บทหนังเล็กๆ น้อยๆ ในตอนเด็กครับ”
“บทหนัง?”
“ครับ.... เล่นเป็นโคซากิคุง ในเรื่อง X my Heart ครับ”
เมื่อน้ำเสียงนุ่มนวนว่าจบ เสียงฮาฮาในสตูดิโอก็ดังขึ้นราวกับไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง ร่างกายของผู้กำกับหนุ่มก็แข็งค้างไปโดยพลัน ม่านตาหดลึกลงราวกับถูก jump scare ในโรงหนัง เพราะข้อมูลนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนว่านักแสดงเด็กอัจฉริยะในบทโคซากิคุงคือใคร
“จริงเหรอคะ!?” พิธีกรสาวแทบจะเด้งตัวเข้าไปหาคิริโนะ เธอเองก็คงจะรู้จักฝีมือการแสดงของเขาเป็นอย่างดี แต่เพราะเป็นนักแสดงเด็กและผู้ปกครองต้องการปกปิดข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ชื่อในวงการตอนนั้นจึงถูกเรียกด้วยชื่อเล่นเสียแทน
“ครับ แต่หลังจากนั้นก็ต้องย้ายไปเรียนต่างประเทศพร้อมคุณพ่อคุณแม่ มีทั้งแคนาดา ญี่ปุ่น จีน พึ่งได้กลับมาที่เมืองไทยเมื่อช่วงสองปีที่แล้วเองครับ”
“งั้นแสดงว่า นี่เป็นค่ำคืนแห่งประวติศาสตร์เลยสิคะเนี่ย คิริโนะคุงแท้จริงแล้วคืออดีตโคซากิคุงเมื่อ 10 ปีที่แล้วนี่เองค่ะ”
“กรี๊ดดดดดดดดดด นัทสึมิคุงงงงงงงง”
“สุดยอดเลยค่า”
“เท่ที่สุดเลยค่า”
“อยากเห็นนัทสึมิคุงตอนเล่นหนังจังเลยค่า”
กระแสตอบรับเริ่มถล่มทลาย จากทั้งผู้ชมทางบ้านและในห้องส่ง ตรงกันข้ามกับผู้กำกับหัวสีเทา ผู้นั่งทำหน้าเครียดไม่เหมือนชาวบ้านรอบด้านที่กำลังปิติยินดี
‘แผนการ ...มองยังไง ก็ฝีมือหมอนี่ชัดๆ’
ขอต้อนรับสู่ความวิตกกังวล.......
นั่นคือวลีขำๆ ที่เขาอยากจะพูดออกไปตรงๆ ให้รู้แล้วรู้รอด ความคิดด้านลบเข้าครอบงำ จนนึกไม่ออกแล้วว่าจะหยุดความบ้าคลั่งที่เกิดจากความหลงใหลได้อย่างไร
‘เดี๋ยวก่อน...........งั้นก็แสดงว่าหมอนี่เคยมีฝีมือด้านการแสดงตั้งแต่เด็ก และทักษะที่ฉายแววตั้งแต่เด็ก ก็หมายถึง...’
เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึก ก่อนจะกลับไปนั่งตัวตรงอีกครั้ง
“พรสวรรค์สินะครับ” เรมี่พูดออกไป เหมือนจะเป็นคำชม แต่แท้จริงแล้วเหมือนคำเหน็บแนมเสียมากกว่า จริงอยู่ที่ผู้มีพรสวรรค์ย่อมมีต้นทุนที่ดีกว่าคนที่ไร้เซ้นส์ แต่จะเหิมเกริมจนคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องขัดเกลาใดๆ แล้วสามารถก้าวเข้ามาอยู่ในจุดสูงสุดได้อย่างสบายๆ ก็คงเป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้ง่ายๆ โดยเด็ดขาด
“ครับ เช่นเดียวกับคุณเรมี่เลยล่ะครับ”
คิริโนะยิ้มตาหยี รอยยิ้มละมุนยังไม่คงเจือจางไปจากใบหน้าหวาน แต่สำหรับผู้ถูกตอกหน้ากลับตรงๆ คงไม่แปลกที่เขาจะตราหน้าคนตรงข้ามว่าเป็นภัยร้ายระดับสูงไปซะแล้ว
เขายิ้มน้อยๆ ส่งให้ พลางคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่มเพื่อรอให้พิธีกรสาวสวยถามคำถามถัดไป
“แล้วคุณเรมี่ เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเพลงไหมคะ?”
“ถ้าเป็นการกำกับงาน MV หรือ Producer ก็เคยมีอยู่ครับ”
“อะ ขอโทษทีค่ะ ดิฉันหมายถึง คุณเคยร้องเพลงหรือเล่นดนตรีไหมคะ?”
“................”
‘ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นคอนเท้นต์ ก็คิดว่ากำลังลากมาตบหน้ากลางสนามดังฉาด แล้วใครมันจะไปสนใจงานสายนั้นกันฟะ? ทำงานหลักก็จะตายอยู่แล้ว...’
เขาคิดกับตนเอง เพราะคำถามดังกล่าวดูเหมือนจะถามเพื่อยียวนเขาด้วยซ้ำ เรมี่เป็นผู้กำกับภาพยนต์ที่ไม่ได้มีความสนใจในด้านดนตรีเป็นการส่วนตัว และงานของเขาก็ห่างไกลจากสกิลดังกล่าวราวฟ้ากับเหว
คำตอบมันก็มีอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้น
“ไม่เคยครับ”
“คิก...”
ชั่วเสี้ยววินาที เรมี่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลอบขำ แต่เมื่อหันไปมอง เจ้าตัวก็เก็บอาการได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า
‘เฮ้ย...’
เขาแอบกัดฟันกรอด ใบหน้าบอกบุญไม่รับกับท่าทีกวนประสาทเมื่อครู่ ถ้าลุกขึ้นไปท้าต๋อยได้คงทำไปนานแล้ว
“ถ้างั้นก็เป็นดูโอ้ที่ดีมากๆ เลยนะคะ” พิธีกรสาวเชียร์อย่างออกรส
โดยที่ตัวผู้ฟังยังนั่งงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คิริโนะ นัทสึมิเป็นคนเจ้าเล่ห์และสู่รู้กว่าที่เขาคาดไว้ ถึงข้อมูลดอกไม้แห่งฤดูหนาวสีชาดจะไม่ใช่ข้อมูลปกปิด แต่คนที่รู้จักมันต้องค้นคว้าเกี่ยวกับตัวเขาลึกพอสมควร
“แล้วทางด้านของคุณ....” การสัมภาษณ์ยังคงดำเนินต่อไป โดยเรมี่เองก็กลายเป็นฝ่ายถามคำตอบคำเพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิด
ถึงจะไม่รู้จุดประสงค์ของการยื่นข้อเสนอต่างๆ เพื่อให้ได้ร่วมงานกับเขา แต่กลิ่นอายของความไม่ประสงค์ดีกลับคละคลุ้งไปหมด ภายใต้รอยยิ้มสดใส หลอกล่อสาวๆ รอบกาย การให้สัมภาษณ์เริงร่า ไร้ข้อกังขาใดๆ ไม่รู้ว่าทำไมมีเพียงแต่เขาที่รู้สึกค้างคาใจ
ดวงตาคมปราดมอง นิ้วมือเรียวยาว ดูจากนิสัยของเจ้าตัวแล้ว คงจะเป็นคนเจ้าสำอางไม่หยอก เพราะตั้งแต่สลับกันสัมภาษณ์สัมภาษ์มาได้เกือบสิบห้านาที ไอดอลหนุ่มก็จิบน้ำไปแล้วสองครั้ง และทุกครั้งก็จะหยิบทิชชู่เปียกขึ้นมาเช็ดมือเสียก่อน ถ้าหากเป็นหนังฆาตกรรม คงตีความไปแล้วว่าเป็นนิสัยติดตัวของฆาตกรเลือดเย็น
“คุณเรมี่คะ...?”
“อะ! ครับ!?”
“อีกไม่นานก็จะมีการประกาศ Project ใหม่ พอจะสปอยให้พวกเราฟังได้ไหมคะ?”
“อะ เอ่อ....”
เรมี่หันไปมองรอบๆ สตูดิโอ เขาแทบจะจำไม่ได้ว่าตนเองเผลอตกปากตอบรับอะไรแบบนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวอีกที สายตาคาดคั้นก็จับจ้องเป็นทิศทางเดียวกัน จนยากจะนึกถอนตัว
“คือ...”
แต่ยังไม่ทันปริปากอะไรออกไป จู่ๆ ไฟในสตูดิโอก็ดับลงพรึบ ทำให้รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับตัวเขาที่เบิกตาโพลงท่ามกลางความมืด แขนขาชาจนตั้งสติไม่ทัน แว่วเสียงสต๊าฟสั่งให้ทุกคนใจเย็นปาดแล่นเข้ามาในโสตประสาท เขามองหาแสงสว่างตามสัญชาตญาณ ทว่าสิ่งที่เตะตาเขาเป็นพิเศษ กลับเป็นดวงตากลมสีแดง ที่จับจ้องตัวเขาทางด้านสามนาฬิกา มันแวววาวและสว่างไสวจนเหมือนหลอดไฟขนาดเล็ก
ชั่วครู่หนึ่งไฟก็กลับมาติดดั่งเดิม ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า มีเพียงสต๊าฟหนุ่มที่วิ่งวุ่นเช็กระบบไฟและกล้องแต่ละตัว ท่ามกลางเสียงซุบซิบที่คุยกันเป็นเชิงโล่งอกจากผู้ชมในห้องส่ง
“ระ เรากลับมาต่อกันดีกว่านะคะ ท่านผู้ชม” พิธีกรสาวพยายามสงบสติ น้ำเสียงร่าเริงถูกส่งออกไปอย่างมืออาชีพ ในขณะที่เรมี่จะพูดบางอย่างต่อจากเมื่อกี้
“ผมยัง....”
“ผมกับคุณเรมี่ จะต้องผลิตงานแสนวิเศษออกมาได้แน่ๆ ครับ ผมเชื่อมั่นในความสามารถของคุณนะ”
ไอดอลหนุ่มแย่งพูดขึ้น สร้างเสียงฮือฮาให้ทุกคนที่ได้รับฟัง แสงสปอร์ตไลท์เจิดจ้าพาให้เขาเด่นสะดุดตา ผู้คนต่างพากันชื่นชมและตั้งตารอโปรเจ็กต์ใหม่ ยกเว้นเพียงคนเดียว
นั่นก็คือเรมี่....
“.......”
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัวแขกรับเชิญ ดวงตาก็กึ่งหลับกึ่งตื่น ห้องทั้งห้องดูสีขุ่นมัวจนเหมือนถูกสาดสีเทาไปรอบด้าน ถึงแสงจ้าตรงหน้าจะสว่างไสว แต่มันกลับสาดทอไม่ถึงประสาทสัมผัสของเขา เขาวางเอกสารต่างๆ ที่รับมาจากทีมงานเอาไว้ นั่งมองมันครู่หนึ่งด้วยความตะขิดตะขวงใจ ก่อนที่จะถลึงตามองมันอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก
“บ้าชิพ...”
สัญญาเหล่านั้นถูกเล่นแง่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นสัญญา NDA หรือการสร้างงานต้องมาจากมือเขาหรือมิเรย์เท่านั้น ถ้าหากเขาตุกติกก็มีแต่จะแพ้กับแพ้ และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ระบุตรงๆ ว่าเขาจะตกปากรับคำ ในการยินยอมสร้างโปรเจ็กต์นี้ แต่จากสัญญาที่ว่าจะมีการเผยแพร่และโปรโมทบทสัมภาษณ์ของคืนนี้เป็นสองเท่าของเทปปกติ นั่นหมายถึงการมัดมือชกไม่ใช่หรือไง?
“คนเขียนไอ้สัญญานี่ บ้าไปแล้ว...”
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูห้องสองสามครั้งดังขึ้น เขาหันหน้าไปตามทิศทางของเสียง แล้วจึงตะโกนขานรับออกไป
“อยู่ครับ เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ..”
เรมี่เอียงคอมองภาพเบื้องหน้า จำได้ว่าประตูห้องนี้เป็นประตูเลื่อนอัตโนมัติ และการจะมาเคาะประตูเลื่อนนี่ก็ดูจะผิดวิสัยของคนปกติทั่วไป
ก็อกๆๆ ...
เขาเหลือบมองขวดน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วจึงกลิ้งมันให้เข้าใกล้บานประตู เซนเซอร์จับความเคลื่อนไหวทำงานในทันที ก่อนที่บานประตูจะเลื่อนเปิดออกสองฝั่งในทันใด ใบหน้าของแขกรับเชิญหนุ่มซีดเผือด เมื่อสิ่งที่อยู่ด้านหลังบานประตู กลับเป็นตุ๊กตาแมวส้มที่เขาเปรยไว้ว่าจะเอาเงินไปซื้อก่อนหน้านี้...
ท่ามกลางงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ใน Gravity Studio หัวโต๊ะที่ไม่รู้ว่าตนเองจะถูกวางยาจนถึงเมื่อไรก็ลุกขึ้นเดินหนีออกมาจากห้องรับแขกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขากลายเป็นบุคคลโชคร้ายแห่งปีในชั่วข้ามคืน ไหนจะถูกรายการหัวหมอ สมรู้ร่วมคิดให้เป็นไปตามแผนไอดอลหนุ่ม ไหนจะเด็กในที่ทำงานที่พากันหักหลัง ดื่มด่ำอาหารแพงๆ กันหน้าระรื่น แล้วยังให้เขาเป็นคนออกเงินทั้งหมดอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรนะป๊า เพราะป๊าตกลงในรายการคุณมินนี่ เงินก้อนใหญ่เลยเข้ามาในทันที ตอนได้ยินเสียงยอดเข้า ป๊าต้องดีใจสิป๊า”
เจเน่วิ่งตามมาติดๆ เธอยกศอกขึ้นแซะท้องคนตัวสูงกว่าเป็นการหยอกล้อ ไม่นานก็วิ่งกลับไปต๋อยตีกับคนที่เหลือในห้องตามธรรมเนียม
เรมี่ยกมือขึ้นบีบสันจมูกตัวเอง อยู่ๆ ตำแหน่งผู้กำกับและเจ้าของบริษัท ก็กลายเป็นคนโง่แบบที่ใครรู้เข้าต้องโดนหัวเราะเยาะไปชั่วลูกชั่วหลาน เขายกมือกอดอกรู้สึกใจหายยามต้องรักษาความสมดุลของคุณภาพงานและอุดมการณ์ ถึงจะเคยทำงานที่ต้องขายวิญญาณหาเลี้ยงตนเองมานักต่อนัก แต่ก็ไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้ง กล่าวคือ ถ้าเป็นงานที่เขาทุ่มเทจิตวิญญาณ ก็มักจะขายไม่ออก แต่มักจะได้รับรางวัลเป็นการกู้เกียรติภูมิอย่างสมศักดิ์ศรี เป็นการได้อย่างเสียอย่างอย่างเหมาะสม
สองแขนทาบไปกับราวระเบียง มองดูวิวทิวทัศน์จากเพนท์เฮ้าส์ของตนเงียบๆ ลมพัดโชยพาให้ปอยผมสีเทาม่วงปลิดปลิวเงียบๆ
“ผู้กำกับมือดี ฝีมือตก เรทติ้งร่วงกาว คนดูในโรงโหวงเหวง แถมยังเสนอชื่อชิงรางวัลไม่ได้อีกด้วย...งี้?”
เขาบ่นพึมพำกับตนเอง ตุ๊กตาแมวส้มที่เขาโปรดปรานถูกวางอยู่ตรงโต๊ะทำงานที่ติดกับกระจกใส
สำหรับงานที่จู่ๆ ตกบันไดพลอยโจรแบบนี้ ถึงจะได้รับเงินอย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ในแง่ของความสำเร็จกลับรู้สึกขายขี้หน้าล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกล้มเหลวมาก่อน ฉะนั้นงานที่ขายเฉพาะแฟนๆ แบบนี้ มีแค่หัวกับก้อย คือขายดีกับดับฝันไปเลย และถ้ามันออกกรณีหลัง มีหวังได้ตกเป็นเบี้ยล่างพวกนักวิจารณ์ผู้เต็มไปด้วยสันดานดิบแน่ๆ
ถอนหายใจหนึ่งเฮือก สองเท้าก็ย่างก้าวกลับเข้าไปในห้องนอน ทว่า จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นปาด เขาชะโงกหน้าไปดูอีกห้องหนึ่ง มันเป็นห้องนอนส่วนตัวของมิเรย์ ซึ่งไร้วี่แววหรือเสียงเล็ดรอดใดๆ จนรู้สึกตะหงิดใจ มือหนึ่งก็ผลักประตูเข้าไปเงียบๆ แต่ไหนแต่ไรบ้านหลังนี้ก็เป็นของเขา และมิเรย์ก็เป็น Ai ที่มีตัวตนของเขาเป็น core หลัก ฉะนั้นแล้วการกระทำอุกอาจในสายตาคนอื่น แท้จริงแล้วคงไม่ต่างจากแค่ห้องเก็บคอมพิวเตอร์ๆ ดีนี่เอง
“มิเรย์...”
เรมี่ร้องถาม โดยยังคงไร้วี่แววตอบรับ ทำให้เขาต้องถลำลึกเข้าไปในห้องมืด
ไฟในห้องเปิดอัตโนมัติ ตามระบบเซนเซอร์ล้ำสมัย แต่น่าแปลกที่ไร้ซุ่มเสียงใดๆ จากเจ้าของห้อง เพราะปกติเธอจะออกไปสนุกสนานกับพวกป็อป แต่ว่าวันนี้กลับมีพฤติกรรมแตกต่าง ร่างบางนอนขดตัวในเตียงแคปซูล เหมือนกับเด็กน้อยนอนหนาวในฤดูเหมันต์ นิ้วมือขาวซีดก็ค่อยๆ แตะตัวเบาๆ พอไร้วี่แววตอบกลับจึงกลายเป็นเขย่าตัวเพื่อเช็กอาการ
“มิ.....เฮ้ย!...”
เขารีบเช็กสภาพของหุ่นยนต์สาว เมื่อเห็นว่ามีไฟสีแดงขึ้นบริเวณหลังติ่งหู เกทพลังงานยังเต็มสมบูรณ์ แต่กลับไร้วี่แววการตอบสนอง หากเทียบเป็นคนแล้ว
ก็คงราวกับสิ้นลมหายใจ...
“ป็อป! ไนน์! มึงมานี่ดิ!”
เรมี่ตะโกนเรียกบรรดาชายฉกรรจ์ที่เมาแอ๋ แต่ก็คงพอประคองสติได้ พวกเขารีบเข้ามาเช็กอาการสมาชิกหญิงเพียงคนเดียวในบ้านของเรมี่ด้วยท่าทีแตกตื่น ก่อนทุกอย่าง จะไปจบที่ศูนย์วิจัยด้วยความฉุกละหุก
“เอาไงล่ะที่นี้?” ไนน์ถาม ใบหน้าบึ้งตึงเหลือบมองคนที่นั่งเก้าอี้คอตกอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ถามได้.....ก็อยู่คนเดียวสักพักไง” เรมี่ตอบห้วนๆ
“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น หมายถึงงานที่เราต้องโคกับพวกไอดอล ถ้ามิเรย์เขียนบทให้ไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่แกแล้วไง”
ไนน์เดินมาตบบ่าสองครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับก่อนที่คนที่บ้านจะวอแตก เช่นเดียวกับผู้กำกับหนุ่มที่ลุกขึ้นยืน เตรียมจะกลับบ้านสำหรับคืนนี้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านหน้าอาคาร บริเวณพลาซ่าที่คนเคยพลุกพล่านกลับเงียบเชียบยามค่ำคืน มือขาวกำแน่น ก่อนจะทุบกำแพงโลหะดังปั๊ก ห้อเลือดเริ่มขึ้นเป็นจุดๆ ตามรอยกระแทก
“โถ่เว้ย.....”
ความเจ็บใจเริ่มเล่นงาน โดยไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเจอกับอะไร....