‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ร่างสูงเดินทอดน่องไปตามท้องถนน ผ่านย่านการค้าและจุดกินลมชมวิว เขาพยายามทำให้ตนเองสบายใจ ให้สมองได้พักจากเรื่องหนักหัวต่างๆ นานา เพราะไม่กี่วันมานี่เขารู้สึกพ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มแรก แต่ถึงกระนั้นโชคชะตาก็ยังเล่นตลกจนเหมือนหวยที่ถูกล็อกเลขอย่างไงอย่างงั้น
เงินทั้งหมดที่ได้จากการเซ็นสัญญาทำภาพยนต์ให้กับวงไอดอลกลับหายวับไปในพริบตา เพราะค่าบำรุงรักษา Ai นั้นคงเกินเอื้อมสำหรับคนฐานะปานกลาง แต่ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่ไม่สามารถจ่ายราคานั้นได้ ตอนนี้ก็รู้สึกใจหายวาบกับหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องเงินทอง แนวทางงานที่ไม่เข้ามือ และที่สำคัญ มันสมองหลักหรือมือขวาของเขากลับเจ๊งในชั่วข้ามคืน...
“คนเรามีป่วย จักรกลก็มีพังบ้างล่ะวะ...”
เขาบ่นอุบอิบ มือหนึ่งก็พยายามไล่หารายชื่อของนักเขียนบทที่เป็นฟรีแลนซ์ ใบหน้าเหยเกและเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่เดิมก็ไม่อยากจ้างคนอื่นเขียนบทเพราะมันไม่เคยได้ดั่งใจเขาเท่าที่ควร กลับกันแล้ว หากตัวเขาลงมาเขียนบทเอง กำกับเอง ร่างกายของเขาก็จะเหนื่อยล้ากว่าที่เคย กลายเป็นแบกสองงานอย่างไม่ได้คุณภาพไปโดยปริยาย และสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันสุดขั้ว นั่นคือ Ai ไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์ร่วมในการประดิษฐ์งาน ทว่าตัวเขาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองจนแน่นอก กลับไม่สามารถจะคิดงานออกมาได้เลย หรือจะเรียกว่ารู้สึกหัวตันจนกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ไปเสียแล้ว
คิ้วเรียวขมวดมุ่น และแม้จะพยายามมองหาต้นไม้เพื่อใช้เป็นเครื่องเยียวยาดวงตาชั่วคราวก็ไม่อาจสลัดความกังวลออกไปได้จนหมด
เหลือบตามองโปสเตอร์ของนักแสดงหญิงที่ถูกติดไว้ตามทางเข้าลิฟต์ ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเงินที่ได้จากรายการเมื่อคืนและสัญญา 18 มงกุฎนั่นก็หนาไม่เบา จำนวนดังกล่าวนั้นมากพอให้คิดว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับ ‘คิริโนะ นัทสึมิ’ ก็คงไม่ผิดนัก และเขาไม่เข้าใจแม้แต่นิดว่าทำไมไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงถึงสนใจในการแสดงหนังขนาดนี้ เพราะทางเลือกมันก็ดูจะซ้ำรอยเดิมในอดีต ใครๆ ก็รู้ว่าคำพูดอ่อนหวานเหล่านั้นย่อมเคลือบยาพิษ
‘บังเอิญเกินไปแล้ว แถมมิเรย์ยังมาขัดข้องตอนนี้อีก คิดยังไงก็ดูเหมือนจะมีใครสักคนปองร้าย...’
สองมือยกขึ้นมองนิ่งๆ แล้วปล่อยลงข้างกาย หูฟังสีเทามีไฟสีชมพูส่องสว่างถูกยกขึ้นสวม พยายามส่ายหัวไล่ความคิดประหลาดๆ ออกจากหัว แล้วปล่อยให้โลกทั้งโลกดำเนินไปโดยปราศจากตัวตนของเขาเอง จมจ่อม ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝันที่เรียกว่าเสียงเพลง
ทว่าราวกับแผ่นเสียงสะดุดขัด เมื่อเพลงของ JustMinute ดังแทรกขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เรมี่รีบตวัดนิ้วในอากาศ เปิด playlist ของตนเองขึ้นเพื่อสำรวจความผิดปกติ เขาหนิ่วหน้าทันทีเมื่อพบสาเหตุหลัก ทุกอย่างเกิดจากตัวเขาเองที่ลืมต่ออายุสมาชิกแอพพลิเคชั่นฟังเพลง
“เฮ้อ....”
เพลงถูกเล่นค้างไว้ราวๆ 15 วินาที เรียกว่าชะตากรรมที่ไม่อีกหลีกเลี่ยงก็คงจะดักคอได้หลายคน แต่แม้จะเป็นเวลาแค่นั้นแต่ก็บ่งบอกได้ว่าความโด่งดังของวงนี้กำลังอยู่ตรงจุดไหนของยอดปิรามิด และไม่รู้อะไรดลใจผู้กำกับหนุ่ม ทำให้ขาของเขามาหยุดตรงหน้าฮอลจัดอีเว้นท์แห่งหนึ่งที่กำลังจัดคอนเสิร์ตตั้งแต่หัววัน ตึกทรงครึ่งวงกลมที่มีผนังสีฟ้าอ่อน แต่กลับสะท้อนเงาของเขาเหมือนส่องกระจกโฮโรแกรม บิดเบี้ยวและพร่าเบลอไม่เป็นรูปร่าง เสียงตอบรับเกลียวกราวราวกับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร หางแถวต่อคิวรออะไรบางอย่างยืดยาวจนเลยออกมาด้านหน้า ดูจากกระดาษแผ่นหนาในมือแล้ว ก็คงจะเป็นการรอรับลายเซ็นตามระเบียบ
สีหน้าร่าเริง ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความหวัง บทสนทนาแสนลุ้นระทึกกับคนข้างกาย ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องไกลตัวเขา ทั้งในฐานะผู้สร้างสรรค์และผู้เสพ
‘ตั้งแต่เมื่อไรกัน....’
เขานึกย้อนถามตนเอง ความตื่นเต้นดังกล่าวยามได้เจอคนดัง มันหายวับไปกับตาตั้งแต่ที่ย่างก้าวเข้ามาในวงการอันแสนเน่าเฟะ ทุกสิ่งกลับกลายเป็นแค่การแข่งขัน การสวมใส่หน้ากาก และความยินดีปรีดาที่ได้เจอกัน มันก็แค่มารยาทอย่างหนึ่ง ภาพของชายหนุ่มผมสีขาว ดวงตาสีแดงฉายวาปเข้ามาในหัว พาให้เขาหลงคิดเรื่องตรงหน้าไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มยืนสังเกตงานเบื้องหน้าอยู่สักพัก แต่พอได้ยินเสียงกรี้ดจากด้านในก็ทำให้เข้าใจว่าขาของตนเองพาซวยอย่างไม่ได้ตั้งตัว เรมี่ทำหน้าเจื่อนทันทีที่ได้ยินเสียงวี้ดว้ายและบทสนทนาเกี่ยวกับ ‘คิริโนะ นัทสึมิ’ สองเท้าของเขาจึงหมุนกลับโดยพลัน
“บ้าไปแล้ว”
สบถกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปยังทางม้าลายอีกฟากฝั่ง เพื่อรอให้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวตามปกติ
ทว่าร่างของเด็กสาว ผู้นั่งคุดคู้อยู่ตรงซอกตึกเรียกความสงสัยจากเขาได้อย่างอยู่หมัด เธอสวมเสื้อคาดิแกนสีชมพู กระโปรงยาวสีขาว และอยู่ท่ามกลางฝาผนังสีน้ำตาลโกโก้ ดูเด่นสะดุดตาแม้ไม่ได้ตั้งใจจะจ้องมอง น่าแปลกที่ยามสบตากับดวงตากลมโต กลับรู้สึกได้ว่าราวกับมีบางสิ่งที่ดึงให้เขาเกิดความสนใจ จนอดไม่ได้ที่จะต้องสาวเท้าเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เขาถามเสียงเบา มือหนึ่งก็ยื่นออกไปเพื่อแสดงความช่วยเหลือ
“ไม่เป็นอะไรค่ะ...”
เช่นเดียวกับเด็กสาวแปลกหน้า ผู้ตอบเสียงอ่อนพร้อมหลบหน้าหลบตา คล้ายกับกำลังเก็บซ่อนความรู้สึก
“ไม่เอาน่า คนเรามานั่งในที่แบบนี้มันต้องมีเหตุผลสิ”
เขามองไปรอบกาย ด้านหลังเด็กสาว ลึกเข้าไปเริ่มเป็นห้องเครื่องจักรที่ไม่น่าดูชม ถูกกักเก็บด้วยกำแพงสีใสที่มองทะลุเข้าไปได้อีกชั้น ไม่ต่างจากเคส PC ช่วงศตวรรษที่ 20 มันเต็มไปด้วยสายไฟและอุปกรณ์ระโยงระยาง และคงเป็นห้องเครื่องของระบบหลักต่างๆ ที่ทำงานภายในฮอลล์แสดง
“เฮ้อ..”
เสียงเล็กเริ่มถอนหายใจ พาให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัยที่เพิ่มพูน
“หนูโดนหลอกขายบัตรหน้างานค่ะ จริงๆ .....ก็คือโดนโกงนั่นแหละ” เธอตอบเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ออกมาได้ทุกชั่วขณะ พลางกอดเข่าตัวเองแน่น ภาพตรงหน้าดูคล้ายกับก้อนกลมๆ เสียมากกว่าเป็นคน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เขามองเธอด้วยแววตาสงสาร พยายามคิดหาทางออกไปพลางๆ แต่ก็คงทำได้แค่รับฟังพอเป็นพิธี
“เสียใจด้วยนะ” เขาพูดประโลม สองขาก็เดินออกห่างราวกับทิ้งเรื่องตรงหน้าไว้ ให้มันดำเนินไปตามโชคชะตา
ทว่าไม่นานก็รู้สึกผิดขึ้นมาลึกๆ กลายเป็นว่าต้องตัดสินใจเดินย้อนกลับไปอย่างอดไม่ได้
“อยากเจอใครในวงนั้น?”
เรมี่ถามเพิ่มเติม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงทนเห็นภาพอะไรแบบนี้ได้ไม่นาน เด็กสาวอีกนับกี่คนที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ แค่จินตนาการไหล่เล็กที่ต้องเดินคอตกกลับบ้านแล้วร้องห่มร้องไห้ก็รู้สึกแย่จนเผลอกำหมัดแน่น
“นัทสึมิคุง...” เด็กสาวตอบตรงๆ พลางโชว์พัดเชียร์ลายคนโปรดขึ้นมา
เรมี่แสร้งส่งยิ้มตอบรับอย่างละมุนละไม แต่แท้จริงในใจกลับตรงกันข้าม ร่างกายของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ แต่พอรวบรวมสติก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแต่ไหนแต่ไร คนที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็มักจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนั้นเสมอมา
มือข้างขวายีหัวตัวเองซ้ำๆ ในหัวก็สันหาคำพูดมากมายเพื่อใช้ปลอบประโลมเด็กน้อย สูดหายใจอีกครั้งเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะลืมตาขึ้นยามคำตอบสุดท้ายปรากฏขึ้น
“พี่มีวิธีนะ”
“คะ?”
เรมี่ยิ้มตอบกลับอ่อนๆ สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องที่ขาวสะอาดนัก แต่ก็ปฏิเสธไมได้ว่าความชอบธรรมก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ ยังมีอีกหลากหลายเรื่องราว ที่รอให้ใครสักคนยื่นมือเข้าไปแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด ตอนนี้สิ่งที่ชายหนุ่มพอจะทำได้ ก็คงจะเป็นการหยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้เพียงเท่านี้
เขาใช้สถานะสื่อเป็นเครื่องมือ ซึ่งอภิสิทธิ์พิเศษที่มากพอให้สามารถจูงข้อมือเรียวเล็กให้เดินตามเข้าไปได้อย่างง่ายดาย โดยที่เด็กสาวผู้ประสบเคราะห์กรรมก็ได้แต่เดินตามไปด้วยความใสซื่อ ไร้ซึ่งข้อกังขาหรือคิดจะปริปากค้านใดๆ
“ไม่ต้องพูดอะไรนะ...” เขาย้ำเตือน โดยที่คนฟังก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย
สำหรับเรมี่แล้ว การกระทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกัน การจะทนเห็นคนๆ หนึ่งต้องมาจมอยู่กับความทุกข์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้เช่นเดียวกัน
ในเมื่อน้ำหนักแห่งความดีเริ่มค้านจรรยาบัญของตนเอง ก็กลายเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่วิธีนี้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เด็กสาวเบิกตาโต ยามได้นั่งเก้าอี้บุคลากรพิเศษ เธอรู้สึกตื่นเต้นกับการได้อภิสิทธิ์เข้ามาในโซนหวงห้ามที่น้อยคนนักจะได้เข้ามายุ่มย่าม โดยมีผู้กำกับหนุ่มเตรียมตั้งกล้องถ่ายภาพในคอนเสิร์ต แม้แท้จริงแล้วเขาจะทำเป็นพิธีบังหน้าเท่านั้น เขาจับจ้องมองเวทีที่ตอนนี้ยังมืดทึบ มีเพียงแสงสีน้ำเงินตามทางเดินที่ทำให้พอเดาได้ว่าผังที่นั่งและโซนต่างๆ ถูกจัดองค์ประกอบอย่างไร
เขายืนกอดอกมองจากมุมล่าง คิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ต่างๆ เพราะไม่อยากจะเสียเวลาขอเซ็ทลิสต์หรือสนใจการแสดงอย่างจริงจัง ถัดจากเขาไปอีกสองสามคนก็มีเข็มที่เป็นบัตรสื่อกลัดไว้ตรงอก ซึ่งทุกคนก็ล้วนแต่เป็นทีมงานผู้ชายทั้งนั้น
ไม่นานเสียงร้องเชียร์ด้วยความตื่นเต้นก็ดังไปทั่วฮอล์ เมื่อแสงจากสปอร์ตไลท์เริ่มหมุนไปมาและหยุดอยู่กลางเวที เลขดิจิตัลสีสวยนับถอยหลังฉายขึ้นกลางอากาศ เป็นช่วงเวลาที่ตัวเขารู้สึกยุ่งยากใจที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกในชีวิต ไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องมาทนอยู่ในคอนเสิร์ตที่ตนเองไม่กินเส้นกับนักแสดงแบบนี้ สองแขนกอดอกแน่น ดวงตาก็มองตรงไปยังเวทีที่แสงสีเริ่มพร่างพราว
“โฟว์ ตรี ทู วัน...ซีโร่!”
หมอกควันสีขาวคละคลุ้งไปทั่วฮอล์กว้าง เสียงเชียร์ยังคงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการแสดงที่ดำเนินไป ราวกับเวลาหยุดลง รอบตัวต่างระงมไปด้วยความสนุกสนาน แตกต่างจากตัวเขาที่เต็มไปด้วยอคติยามได้จับจ้องรอยยิ้มแสนยั่วยวน ไอดอลหนุ่มสามคนบนเวทีเปล่งประกายไม่แพ้แสงไฟรอบด้าน ตัดกับความมืดตรงบริเวณที่นั่งของแฟนๆ ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในยุคนี้ พวกเขาจึงสามารถเคลื่อนย้ายร่างกาย บินว่อนไปมาได้อย่างอิสระประกอบกับเสียงเพลงที่ร้องออกมาแบบสดๆ ซึ่งเป็นความน่าพิศวงที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนกันได้ ประสบการณ์เพียงหนึ่งเดียวในรอบปีที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันสนับสนุนโดยไร้ข้อกังขา
ดวงตาสีชมพูเข้มหรี่ลง ในใจก็ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ไม่จมจ่อมไปกับความบันเทิงตรงหน้า ถึงรอยยิ้มของคิริโนะ นัทสึมิ จะเรียกเสียงกรี๊ดได้หลายครั้ง แต่สำหรับเขามันกลับไม่สามารถเข้าไปถึงข้างในใจได้แม้แต่น้อย ภาพโฮโรแกรมของศิลปินฉายตัดไปมา มีทั้งขนาดเล็กใหญ่ บ้างก็มีเอ็ฟเฟ็คประกายดาว พวยพุ่งไปทั่ว สร้างความตื่นตาให้แก่ผู้รับชม
“ต่อไป เป็นเพลงที่พวกเราร้องให้คนๆ หนึ่งครับ” นัทสึมิเอ่ยขึ้น พลางหันไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ในวงอีกสองคน ประกอบไปด้วย ฮามาโนะ ยู และ เซฟิล เรเซ่น
บทสนทนาดังกล่าวไม่ได้ผ่านหูเรมี่เลยแม้แต่น้อย และแม้เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กม.ปลายทั่วไปจะโยกย้ายร่างกายอย่างสนุกสนาน ลุ่มหลงไปกับการแสดงตรงหน้ามากแค่ไหน สำหรับเขาแล้วมันก็แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของช่วงเวลาในชีวิตคนอื่นเท่านั้น เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จับจ้องไปยังหน้าจอดิสเพลย์เพื่อเก็บภาพต่อไป อย่างน้อยถ้าหากมีฟุตเทจที่มีคุณภาพมากพอ ก็น่าจะเอาไปทำคอนเท้นต์ดีๆ ลงช่องได้ และเพราะมีเครดิตเดิมที่เผลอสัญญาเรื่องภาพยนต์ที่คิริโนะ นัทสึเมะจะได้มาแสดง ทุกอย่างจึงดูลงตัวอย่างคาดไม่ถึง
ถึงจะเป็นการจับปลาสองมือที่ไม่ได้ตั้งใจหว่านแหแต่แรกก็ตาม...แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ได้กำไรทั้งขึ้นทั้งร่อง
เขากอดอกมองผู้คนที่ลุกฮือตามเสียงเพลง กะพริบตายามแสงขาวแยงเข้าอย่างจัง และเมื่อปรับทัศนวิสัยให้ชัดเจนแล้ว ลมหายใจของเขาก็สะดุดเฮือก เมื่อพบว่าบุคคลที่จู่ๆ ก็ปรากฎตัวตรงหน้าคือใคร
“คิริโนะ นัทสึมิ?”
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ รอบตัวของเขากลายเป็นภาพนิ่งชั่วขณะ คล้ายเวลาหยุดนิ่ง ในขณะที่ผู้คนต่างจับจ้องไปยังศิลปินที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวตรงหน้า ซึ่งมีจำนวนมากเทียบเท่ากับจำนวนคนดูในฮอลล์ พวกเขาลุ่มหลงไปกับภาพมายาที่ถูกมอบให้ ไม่ต่างจากถูกเชื้อเชิญโดยปีศาจร้าย แต่สำหรับเรมี่นั้นช่างเหมือนฝันร้ายเสียแทน
เขาชำเลืองมองเด็กสาวข้างกาย ผู้กำลังถูกภาพเหสมือนของไอดอลหนุ่มล่อลวง มือขาวเรียวเชยคางมนขึ้นพร้อมกับหยิบยื่นกล่องของขวัญให้ เป็นเหมือนเซอร์วิสพิเศษที่ทำเอาบรรดาแฟนๆ แทบลมจับ กล่องของขวัญไร้รูปร่างที่จับต้องได้แตกตัวออก กลายเป็นคูปองอิเล็กทรอนิค ซึ่งมีรายละเอียดเขียนไว้อย่างชัดเจน ก่อนจะบินวนหายเข้าไปในร่างกายของแฟนๆ และกลายเป็นอีเมลที่สามารถเปิดอ่านได้ผ่านระบบ smart display
ร่างโปร่งใสของทั้งสามคนค่อยๆ หายไปทีละคนยามส่งมอบของขวัญเสร็จสิ้น พาให้แฟนๆ ต่างมองตาละห้อยและแปรปเลี่ยนเป็นสีหน้าแอบเสียดายไปตามๆ กัน แต่สำหรับเรมี่นั้นกลับแตกต่าง เหมือนกับหนังคนละม้วนกับผู้คนรอบข้าง เขาถูกใบหน้าหวานเข้าประชิดจนแทบไม่เหลือระยะห่าง ร่างจำแลงของคิริโนะ นัทสึมิยังไม่หายไปตามเวลาอันสมควร และไม่ได้แจกของขวัญให้กับเขาเหมือนกับคนอื่นๆ
แต่กลับจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขาราวกับจะหาคำตอบบางอย่าง....
นัยน์ตาสีแดงก่ำลุกวาว เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกประหลาดยามจับจ้อง เป็นความรู้สึกที่ผู้กำกับหนุ่มเองก็มิอาจบรรยายได้ ร่างกายแข็งค้างจนลืมจะขอความช่วยเหลือหรือถามไถ่คำถามใดๆ ออกไป ถ้าเคราะห์ดี อย่างมากก็แค่ระบบโฮโรแกรมแค่ขัดข้องเท่านั้น แต่ถ้าเคราะห์ร้าย....
“อึก..”
เขาแทบหงายหลังเมื่อนัทสึมิลอยเข้ามาใกล้ เรียวแขนเล็กเข้าโอบล้อมรอบคอผู้กำกับหนุ่ม ดวงตาสีชมพูเข้มเบิกกว้างยามริมฝีปากทาบทับกัน ดั่งโลกรอบตัวหมุนย้อนกลับ เสียงอึกทึกกลายเป็นความเงียบสงัด สมองของเขาโล่งโพลนจนแทบจะลืมหายใจ นัยน์ตาวูบไหวไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนผู้ลุกล้ำจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งไว้เพียงร่างสูงที่ยืนงงจนเหมือนรูปปั้นหิน
“อะไรวะ!”
สบถดังลั่นเมื่อพึ่งรู้สึกตัว แต่มันก็ไม่มากพอจะแข่งกับเสียงหวีดร้องเกรียวกราวในฮอลล์ใหญ่ แขนเสื้อสีขาวถูกยกขึ้นปาดริมฝีปาก ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความรู้สึกประเดประดัง เหมือนคลื่นซัดสาดยามค่ำคืน มันยากจะอธิบาย ทั้งสับสน งุนงง ขวยเขินไปพร้อมกัน ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นแค่เทคนิคพิเศษและเป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างแบบสุ่ม แต่ความสมจริงนั่นกลับไม่สามารถดูถูกได้แม้แต่น้อย สัมผัสที่ได้รับนั้นยังคงตราตรึง มันเหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก ทั้งนุ่มนิ่ม และหอมหวาน จนต้องตั้งคำถามว่าประสาททั้งห้าของเขาพึ่งพังลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยหรือไม่
เรมี่ยกมือป้องปากแล้วหันไปทำงานต่อ กลบเกลื่อนความรู้สึกสับสนจากเรื่องเมื่อครู่ โชคดีที่คนอื่นๆ มัวแต่สนใจเรื่องของตนเองและการแสดงบนเวที จนไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และถึงแม้จะถูกรู้เข้า เขาก็มีทางออกให้กับเรื่องเข้าใจผิดพวกนี้เสมอ...
คืนนั้นชายหนุ่มกลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกอึมครึม เพนท์เฮ้าส์หลังเดิมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับเขาแล้ว ทุกๆ สิ่งรอบตัวกลับกลับตาลปัตรไปหมด ราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงเพียงชั่วอึดใจที่ริมฝีปากสัมผัสกัน ภาพจำนั้นเด่นชัดจนไม่อาจสลัดออกจากหัว แม้จะเป็นบ้านของตนเองก็รู้สึกเหมือนผิดที่ผิดทางอย่างน่าประหลาด
เขายกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง ตั้งแต่เกิดมาเขาก็ไม่เคยรู้สึกหนักใจอะไรเท่านี้มาก่อน หนำซ้ำเรื่องนี้ก็ร้ายแรงมากพอให้ไม่กล้าแพร่งพรายที่ไหน แม้กับคนใกล้ตัวก็ตาม มันจึงทับถมกันจนกลายเป็นความอัดอั้นไร้หนทางระบาย ร่างผอมหย่อนตัวลงบนโซฟาด้วยความรุนแรง หากเป็นยามปกติแล้ว มิเรย์คงออกมาต้อนรับแล้วถามไถ่สถานการณ์ราวกับซักไซร้ ให้ต้องหนักใจเพิ่ม
ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเรื่องแบบนั้นแล้ว มันก็เหมือนที่ผ่านมา ตัวเขาต้องอยู่คนเดียวและแบกรับความรู้สึกคนเดียวเสมอมา นั่นคือสิ่งที่ ‘ผู้ใหญ่’ คนหนึ่งต้องเผชิญหน้า เพราะหากมองไปรอบตัวแล้วไม่มีใคร สุดท้ายก็จะเหลือเพียงแค่ ‘ตัวเอง’ ที่ต้องเอาตัวรอด
ภาพจำของไอดอลหนุ่มในชุดแจ็คเก็ตสีดำและเสื้อเชิร์ทสีขาวสะอาดตา ประดับเสริมด้วยเครื่องเงินตามจุดต่างๆ เป็นลุคง่ายๆ ที่พบได้ทั่วไปสำหรับวงบอย แบนด์ แต่กลับปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกว่ามันมีเสน่ห์จนกลายเป็นภาพจำวนเวียนในหัวรู้สึกตัวอีกที มือสองข้างก็ยกขึ้นขยี้หัวตนเองจนผมสีเทากระเจิงเหมือนรังนก
“โอ้ยยยยยยยยย ขอทีเถอะ”
หมอนอิงสีชมพูถูกคว้าขึ้นมากอด อย่างน้อยความว้าวุ่นก็มักจะแพ้ทางความนุ่มฟู เขาพยายามเยียวยาจิตใจตนเองเหมือนกับตอนอายุ 14 ปี ก่อนจะตั้งคำถามว่าอะไรคือสาเหตุให้เขาต้องเก็บมาคิดไม่ตกขนาดนี้
หวาดกลัวคิริโนะ นัทสึมิ?
รังเกียจคิริโนะ นัทสึมิ?
ความรู้สึกใดกันแน่?
ทั้งๆ ที่เรื่องทั้งหมด มันก็เกิดจากการตัดสินใจของเขาไม่ใช่หรือไง?
เขาตะโกนบอกตัวเองในใจ ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องมาเสียใจภายหลัง แต่ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้น...
ถ้าหากซื่อสัตย์กับตนเองมากกว่านี้ ก็คงจะกล้ายอมรับว่าตนเองกำลังรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ….
ใจเย็นๆ ...
ดวงตาหรี่ลง พยายามพร่ำบอกตนเองว่าตอนที่ต้องลุ้นว่าภาพยนต์ที่ตนเองสร้างจะผ่านกองเซนเซอร์ไหม ยังมีค่าให้เอามาวิตกมากกว่า เขารู้ตัวดีว่าเขากำลังคิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถ้านับสิ่งที่เกิดขึ้นคือกลยุทธิ์หรือการตลาดในการปรนเปรอลูกค้าของวง JustMinute ก็ถือว่าเฉียบขาดจนตัวเขาเองก็เกือบจะพลาดท่าหลงกล
จากความกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสัย เขาเริ่มเซิร์ชหาชื่อและข้อมูลของนัทสึมิเพิ่ม ทั้งที่ยังนอนขดตัวบนโซฟาสีม่วงเทา เครื่องปรับอากาศเริ่มทำงานเข้าที่ ความอบอ้าวก่อนหน้าก็พลันหายไปพร้อมกับความรู้สึกอึดอัด ข้อมูลของคนๆ นี้ไม่ได้หายากอะไร แต่ในส่วนของชีวิตส่วนตัวก็แทบจะเป็น 0 ตามแบบฉบับของไอดอลทั่วไป ถ้าเจ้าตัวไม่ได้เปิดเผยออกมาเอง ก็แทบไม่มีโอกาสที่จะล่วงรู้ได้เลย
ไอดอล เพรียบพร้อมไปด้วยพรสวรรค์และสเน่ห์ที่มากพอจะชี้ผิดเป็นถูก อยู่ได้ด้วยความรักอย่างไม่มีวันเข้าใจความลำบากของการถูกเมินเฉย ผิดกับตัวเขา ที่ไม่ว่าผ่านไปเมื่อไรก็ไม่ถูกมองเห็น ราวกับเป็นภาพเงาเลือนลางที่คนสัมผัสได้ แต่ก็เลือกที่จะมองข้ามตัวตนไปโดยปริยาย แว่วเสียงที่เขาจำได้แต่เด็ก คงเป็นคำพูดชมเชยเซเลปผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง คนที่อยู่บนแสง บนหน้าจอภาพ ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็ต้องก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมอย่างมิอาจท้วงติงใดๆ
“คนนี้เราตามมาตั้งแต่ยังไม่ดังเลยนะ” เพื่อนสาวบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า ผิดกับตัวเขาที่นอนฟุบโต๊ะเคาะปากกาด้วยความเหนื่อยหน่าย ใต้อาคารเรียนสุดล้ำสมัยที่ชั้นหนังสือล่องลอยไปมา หุ่นยนต์บริการวิ่งวุ่นเพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยของนักศึกษา โดรนที่ทำหน้าที่กล้องวงจรปิดบินไปมา รอบตัวเป็นพื้นแก้วสีฟ้าและผนังที่ใช้วัสดุแก้วสีขุ่นมัว
ราวกับอยู่ในลูกแก้วที่ไร้ทางออก...
“ใครจะดังยังไง เราก็ไม่สนหรอก...” เรมี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือย
“อ่าว พูดงี้อิจฉาเขาเหรอ?”
“จะอิจฉาทำไมล่ะ ก็แค่นักแสดง”
“บ้าน่า อย่าไปพูดแบบนี้กับใครนะ ยิ่งเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ด้วย ล้มไปตอนนี้ยุ่งเลย” หญิงสาวจีบปากจีบคอ ทั้งยังให้หุ่นยนต์ตัวจิ๋วช่วยแต่งหน้าให้อย่างสบายอารมณ์
“เออ”
มันไม่เคยมีความหมายใดๆ เลย ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ความสำเร็จและชื่อเสียงของคนอื่นนั้นคือสิ่งที่ความฝันของเขาไม่มีวันไปถึง เหมือนเส้นทางที่ถูกขีดเขียนไว้ให้แบกรับแต่เรื่องไม่ยุติธรรมด้านหลัง ลำบากตรากตรำไป ก็แทบไม่มีคนจดจำด้วยซ้ำ
ฉากดำมืดค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง เหตุการณ์นองเลือดขึ้นแทรกในห้วงความทรงจำ ตามด้วยใบหน้าขาวซีดของร่างผอม ที่มีส่วนสูงกว่า 190 เซนติเมตร ใบหน้าหล่อเหลา นิ้วมือหยาบกร้านค่อยๆ เอื้อมมาทางเขาราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเรมี่ยื่นมือออกไป ก็ได้แต่คว้าอากาศไว้เท่านั้น
ความเคว้งคว้างเริ่มครอบงำ รอบกายมีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศและเครื่องกลของหุ่นยนต์ทำความสะอาด
“คิดเรื่องนั้นอีกแล้วแหะ...” เขาบ่นกับตนเอง แล้วจึงตวัดมือเพื่อเปิดหน้าจอเพิ่ม ตั้งแต่โศกนาฏกรรมที่เกาะนิชิซาว่าจบลง ทุกอย่างก็แทบไม่เคยเหมือนเดิม เขามองลิสต์รายชื่อนักแสดงที่ยังไม่ถูกกากบาททิ้ง แต่แทนที่จะเสียเวลาคิดถึงเรื่องไม่น่าจดจำ เขากลับเลือกที่จะก้าวเดินต่ออย่างมั่นคง
จากรายการเมื่อคืน ข้อมูลที่เขารู้เกี่ยวกับไอดอลหนุ่ม แม้ตอนนี้จะดูน้อย ทว่าจริงๆ ก็มากเพียงพอแล้ว เพราะถ้าให้เขาจับต้นชนปลายดีๆ ก็สามารถเข้าใจพื้นเพของคนๆ นี้ได้ไม่ยาก แต่เดิมแล้วนักแสดงเด็กที่เข้ามาในวงการจนได้รับบทเด่นได้นั้น ไมได้อาศัยเพียงแค่หน้าตาหรือแค่ความสามารถ แต่ยังต้องมีเส้นสายที่มองไม่เห็นคอยหนุนหลัง เรมี่หรี่ตาลง นึกครุ่นคิดถึงบรรดาผู้มีอิทธิพลในวงการ หากย้อนกลับไปราวๆ 10 ปีก่อน แน่นอนว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เขาเองก็ไม่ได้สนใจหรือคิดจะทำความรู้จักแม้สักนิด แต่เขาไม่มีทางเชื่อว่าทุกสิ่งที่ คิริโนะ นัทสึมิทำจะไม่มีแรงจูงใจอื่นแอบแฝง มันคงมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมากมายที่เกินกำลังของเขาจะจินตนาการ และอาจจะกลายเป็นภัยร้ายในอนาคต
‘ยังไงก็ต้องระวัง’
เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แลเห็นท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนก็รู้สึกใจหวิว แม้ใจจริงจะไม่ได้อยากคิดลบ แต่ก็อดไม่ได้ที่สัญชาตญาณป้องกันตัวจะทำงานในเรื่องเช่นนี้ หน้าจอ display ปรากฎข้างมือ มันแจ้งเตือนถึงอีเว้นท์งานประกวดภาพยนต์ที่ใกล้จะถึงนี้ พร้อมใบหน้าเย้ยหยันของบรรดาคู่แข่ง
เพราะติดงานนี้ ทำให้กำหนดการที่เขาตั้งใจไว้ หายเกลี้ยงไม่เหลือแม้ผงฝุ่น ในปีนี้เขาพลาดหลายอย่างจนคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ลำพังงานนี้เองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นความหวังให้เขาเดินถือไปส่งเข้าชิงอะไรได้ด้วยซ้ำ เว้นแต่หนังโกยเงินจากแฟนคลับดีเด่น
ตุ๊กตาแมวส้มในห้องยังคงถูกวางตั้งไว้ เป็นอีกหนึ่งวันที่ล่วงเลยผ่านไป....