‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
สตูดิโอยังคงจอแจ ผู้คนส่งเสียงดัง เอะอะโหวกเหวกเพื่อคุยงานกัน มองรวมๆ แล้วก็เป็นภาพจำที่เขาชินชาไปแล้ว ผู้กำกับหนุ่มนั่งมองเอกสารในมือ เท้าคางกับแขนเก้าอี้สีขาว เอนตัวพิงพนักสีม่วงเข้ม บุด้วยผ้านุ่มลักษณะคล้ายกำมะหยี่ผืนหนา รายละเอียดงานในมือเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะการผลิตภาพยนต์กึ่งโรแมนซ์ ที่ไม่ควรตกมาถึงมือคนที่มุทะลุและชอบเสนอไอเดียอย่างเขา ไม่ต้องพูดถึงแนวงานสุดแสนโรแมนติกแบบเพียวๆ ถ้าจะจ้าง RemyGravity เงินต้องหนาเป็นฟ้อนๆ แต่ไหนแต่ไรเขาก็นึกขยาดงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนทางความรู้สึกรักใคร่ อันเนื่องมาจากรสนิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยสนใจโลกของตนเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแทบถลึงตาจนออกจากเบ้า ก็เห็นจะเป็นบันทัดสุดท้ายที่ระบุว่าหนึ่งในนักแสดงนำคือ RemyGravity
“เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แมร* บ้าอะไรก่อนวะ?”
เขาสบถลั่น พาให้คนทั้งสตูดิโอต้องหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“ป๊าเป็นอะไรเปล่า?”
เจเน่ที่ยืนรินน้ำให้สต๊าฟข้างๆ ถึงกับหันคอมามอง แก้วน้ำในมือเกือบจะกระเด็นหกเพราะความตกใจ แต่ความวุ่นวายนั่นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะทีมงานที่นี่ทั้งหมดต่างชินชากับอาการผีเข้าผีออกของผู้เป็นนายไปแล้ว โดยเฉพาะเด็กสาวที่พอจะดูออกว่าจริงๆ แล้วเรมี่จะหัวเสียเรื่องอะไรมากที่สุด เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุยให้บรรยากาศดีขึ้น
“ม๊าเป็นไงบ้างคะ?”
“พักรักษาอีกนาน...”
“อือ...”
เธอเสิร์ฟชาเย็นไว้บนโต๊ะทรงกลมสีใส ก่อนจะเดินไปทำงานอื่นของตน ทิ้งไว้ให้คนได้รับมอบหมายงานพิกลพิการ นั่งทึ้งหัวตนเองเล่นแก้เครียด ถึงบรีฟต่างๆ จะดูโปร่งใสและชัดเจน แต่ส่วนที่ตัวเขามีสิทธิ์มีเสียงนั้นแทบจะบางเบาเท่ากระดาษ และถึงจะแย้งไปว่าตัวเขาแสดงหนังไม่ได้เรื่อง มันก็คงฟังไม่ขึ้นสำหรับคนที่จบเอกกำกับแบบเขาที่ต้องมีพื้นฐานการแสดงอยู่บ้าง
“คอนเท้นต์แหละมึง นึกถึงมึงทำหน้าเหนียมอายคนอื่นแล้วมัน ...อุ๊ก...”
เสียงนุ่มเอ่ยขึ้น พร้อมกับร่างของ Art Director ผู้เดินมาตบบ่าเพื่อนรักด้วยความเอ็นดู
“มึงเงียบไปเลยไนน์”
“เอ้า คนอุตส่าห์เป็นห่วง”
“หนังนะโว้ย ไม่ใช่รายการวาไรตี้โชว์!”
“แล้วหนังนี่ มีเงื่อนไขอะไรอีกละ?”
“ก็ ถ้ามีนักแสดงคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรไป ก็ถือว่าเป็นโมฆะ นั่นหมายถึงกูด้วย ห้ามป่วย ห้ามตาย”
“โหดดีมึง”
ว่าจบก็ส่งกระดาษให้ผู้เป็นทั้งเพื่อนและลูกน้องเอาไปทิ้ง ปกติแล้วข้อมูลทั้งหมดจะถูกอัปลงระบบคลาวด์ ทว่าในการทำงานจริงๆ นั้นกลับแตกต่าง เพราะกระดาษยังคงเป็นนวัตกรรมที่ดีที่สุดในการถนอมสายตามนุษย์ ตั้งแต่อดีตกาลจนมาถึงตอนนี้
หากถามว่าประเด็นไหนที่เขาหนักใจที่สุดในตอนนี้ ก็คงมีเยอะเต็มไปหมดจนนับไม่ได้ว่าควรพุ่งเป้าไปที่เรื่องไหนก่อน ถึงมันจะเป็นงานที่ท้าทายฝีมือเขามากแค่ไหน แต่แนวคิดประหลาดๆ พวกนี้ มันกลับทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจจนต้องเบ้หน้าทั้งวัน
“ขอบคุณครับ” เขารับไหว้เด็กสาวและบรรดาผู้ปกครองพี่มาถ่ายทำตามตารางงานที่วางไว้ รายการครอบครัววันนี้ถูกดำเนินไปอย่างราบรื่นจนจบงาน ทำให้ไม่มีอะไรต้องหนักใจเพิ่มเติม รอยยิ้มขายลูกค้าของเขายังคงความมืออาชีพไว้จนดูเนียนตาไปหมด ผิดกับบรรดาเพื่อนๆ ที่ยืนเท้าเอวมองผู้กำกับหนุ่มผู้บิดพริ้วยิ่งกว่าของเหลว พาให้หลงลืมภาพลักษณ์ของเด็กกะโปกผู้นั่งชันเข่าเท้าคาง สบถคำหยาบคายเมื่อเช้าไปจนหมดสิ้น
“ทำไมมองแบบนั้น?”
“เปล๊า!” ป็อปพูดเสียงสูง เป็นการแซวเล่น แล้วจึงพูดเรื่องสำคัญต่อ
“เออ มีงานต่อนะ”
“หะ?”
เรมี่ที่กำลังยืนนวดไหล่ตัวเองถึงกับหันคอขวับ เขามั่นใจว่าวันนี้เช็คตารางงานทุกอย่างดีแล้วและไม่มีอะไรต่อจากนี้ แต่สิ่งที่พึ่งเพิ่มเข้ามากลับเหมือนตลกร้าย
“ไหงงั้นวะ?”
“พอดีตากล้องของสตูดิโอ K ป่วย เขาเลยโยนงานมาให้กู โอเคไหม?”
“แล้วกูเกี่ยวไรก่อน...?” เรมี่ตอบเสียงเนือย มือหนึ่งก็ยังทุบๆ เส้นเอ็นบริเวณบ่าให้คลายตัว
“เอ้า ก็เจ้าของสตูดิโอก็ต้องเซ็นรับงาน กับเป็นผู้กำกับให้ดิ ถามโง่ๆ” ป็อปว่าพลางเอาแฟ้มเคาะหัวเรมี่อย่างหยอกล้อ
“แค่กำกับภาพ มันงานมึงนี่ ฮ่วย” โดยที่คนฟังก็ไม่วายจะเถียงต่อ เขารู้สึกขี้เกียจขึ้นมาทันตาเห็น
“นางแบบสาวสวย มิโดริ ฟู เลยนะเว้ย”
“โอเค ดีล...”
ดวงตาของเรมี่เป็นประกาย คำตอบรับทันควันนั่นเหมือนกับหนังคนละม้วน ความขี้เกียจเมื่อครู่พลันหายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตน จู่ๆ ผู้กำกับหนุ่มและช่างกล้องคู่ใจก็มีทีท่ากระฉับกระเฉง
และความง่ายดายนั่นทำให้ไนน์เผลอยิ้มอ่อนให้กับสองคู่หูที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พวกเขาอยู่ได้ทั้งวันหากมีแรงจูงใจมากพอ สองชายฉกรรจ์พากันทำหน้าเบิกบานอย่างออกนอกหน้า มองร่างอรชรที่พากันเดินเข้ามาในสตูดิโอด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม ความสุขจากการทำงานถือเป็นกำไรชีวิตรูปแบบหนึ่ง น้ำเสียงที่เคยเคร่งขรึมถูกดัดให้กลายเป็นความนุ่มละมุน ประจบประแจงจนดูน่าหมั่นไส้ในมุมมองของสต๊าฟหญิงที่ช่วยจัดระบบไฟอยู่ห่างๆ
“เชิญครับ...” ป็อปผายมือ ในขณะที่สีหน้ายิ้มกระหยิ่มดูมีเลศนัย เช่นเดียวกับเรมี่ที่ไม่ค่อยจะทำหน้าทำตาน่าคบหา บัดนี้กลับตรงกันข้ามราวกับฟ้ากับเหว
“ช่วยขยับเข้าใกล้กันอีกนิดนะครับ” ช่างภาพหนุ่มเอ่ยขึ้น พยายามจัดแจงตำแหน่งการยืนของนางแบบสาวและนายแบบเฉพาะกิจของงานนี้ โดยที่ดวงตาสีชมพูเข้มก็หรี่ลง ท่าทางคล้ายคู่รักของทั้งคู่ทำให้นึกถึงงานแต่งงานของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย คนแล้วคนเล่า
ใบหน้าคมคาย มีสัดส่วนและตำแหน่งอวัยวะที่ลงตัว จนเรียกได้อย่างเต็มปากว่า ‘หล่อเหลาเอาการ’ ภาพเบื้องหน้าซ้อนทับกับร่างผอมสูงในห้วงความทรงจำ ส่วนสูงของทั้งคู่ใกล้เคียงกันจนหวนนึกถึงผู้ล่วงลับ ชูดสูทขาวและเดรสยาวลากพื้นดูเข้าคู่กัน เพียงแค่เชยชมห่างๆ ก็รับรู้ได้ถึงความเบิกบาน พลังงานบวกที่มีเพียงปาฏิหาริย์แห่งความรักเท่านั้นที่จะสามารถแผ่กระจายออกไปได้
แพขนตายาวกะพรือขึ้นลง มิโดริ ฟู เป็นคนที่งดงามตามแบบฉบับผู้โลดแล่นในวงการบันเทิง ใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ชวนให้นึกถึงหญิงสาวที่เขารักที่สุด...
‘มิเรย์’
แต่ชั่วพริบตาเดียวที่ภาพเบลอ ราวกับถูกใส่ฟิลเตอร์ตกแต่งรูปภาพ เขากลับไม่สามารถเห็นตนเองทับซ้อนกับฝ่ายชายได้ ไม่ว่าจะพยายามวาดทับหรือสับเปลี่ยนจินตนาการสักกี่ครั้ง คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นคนที่เขานึกเสียใจที่สุดในชีวิต
ผู้จัดการกองถ่ายและไอดอลสาว.....ดั่งภาพวาด ที่ตกหล่นลงพื้นแตกละเอียด....
“มึง?” จู่ๆ ป็อปก็เรียกขึ้น เมื่อเห็นอีกคนที่ยืนนิ่งมีหยาดสีใสหยดไหลไปตามแก้ม
“อะ โทษที...”
เรมี่ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ความรู้สึกผิดเข้าครอบงำอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่มีอะไรมึง”
เขาว่าพลางส่งยิ้มให้ แล้วกลับไปตั้งใจทำงานต่อ
“ต่อไปเป็นชุดว่ายน้ำนะ”
“เฮ้ย ของดี!”
จนสุดท้ายก็หลงระเริงไปกับความตื่นตาตื่นใจ และเมื่อเวลาล่วงเลยไปพอสมควร ถึงจะแยกย้ายกลับบ้านแบบตัวใครตัวมัน
ร่างสูงเดินทอดน่องไปตามทางเดิน เขามองผ่านทางเดินสีเทาสลัว ไฟ LED ที่วิ่งปาดไปมายามปกติดับลง เหลือแต่ความเงียบงันและแว่วเสียงเครื่องยนต์ของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในอาคาร แวบหนึ่งที่ร่างของเขาเบาหวิวราวกับถูกมนตร์สะกด ไม่ทันไร จู่ๆ เสียงเรียกเข้าก็ดังกึกก้องไปทั่ว ยิ่งกระทบกับฝาผนังและไร้เสียงรบกวนรอบด้าน มันยิ่งชัดเจนยิ่งกว่าถูกตอกย้ำ พาให้เจ้าของสตูดิโอต้องสะดุ้งตัวโยน แล้วจึงรีบกรอกเสียงตอบรับ
“ฮัล...”
“คุณ...เรมี่... เร...อึก..ช่ว...” เสียงตะกุกตะกัก ปะปนกับสัญญาณแทรก พาให้ประโยคขาดห้วง ปะติดปะต่อไม่ถูก
“นั่นใคร?”
ตรู้ด...ตรู้ด...ตรู้ด...
ยังไม่ทันพูดอะไรได้มาก สายก็หลุดไปดื้อๆ ..
เรมี่อุ้ม Hoverboard ไว้ในอ้อมแขน สองขาก็มุ่งตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปบนยอดตึก ซึ่งเป็นที่ที่ไว้ใช้ออกตัวและต่อเชื่อมกับ Air Road สภาพอากาศโดยรอบดูขมุกขมัว มีลมเย็นพัดผ่านตามธรรมชาติ เขายืดเส้นยืดสาย พยายามไม่คิดมากถึงเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนเมื่อครู่
แม้จะมีระบบปรับสภาพอากาศก็ตาม ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังท้องฟ้า มันพร่างพราวไปด้วยดวงดาวราวกับผืนทะเลในโลกแฟนตาซี อนิจจาพวกเขาถูกปิดกั้นด้วยเทคโนโลยีที่เป็นโดมใส คล้ายบาเรียที่ห่อหุ้มตัวเมืองหลวงเอาไว้ แต่ท้องนภาก็ยังชัดเจนมากพอให้ซึมซับความสวยงาม ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วจะถูกแบ่งแยกออกจากกันก็ตาม
โปรไฟล์ของนักแสดงสาวสองคน ปรากฏขึ้นด้านข้างพร้อมกับกำหนดการถ่ายโฆษณาในวันมะรืน โพสต์ชีวิตประจำวันของพวกเธอยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี พร้อมกับการอวดอ้างสามีหรือทรัพย์สมบัติที่ปุถุชนธรรมดามิอาจเอื้อม
“นี่ พึ่งกลับมาจากฟอริด้าค่า อาหารที่นั่นอร่อยมากกก”
นั่นคือสถานะที่ฉายอยู่ในแววตาสีชมพูเข้ม ตรงข้ามกับรอยเลือดที่เขาถูกฝากฝังไว้ในเบื้องลึกจิตใจ ในหนึ่งโพสต์นั้น อาจถูกแปลค่าได้มากกว่าที่คิด ในหนึ่งนาทีที่สร้างภาพลักษณ์แสนยิ่งใหญ่ อีกด้านหนึ่งอาจกำลังระรัวนิ้ว ปั้นแต่งข้อความยุยงต่างๆ
ภาพของหญิงสาวในชุดคลุมท้อง นอนจมกองเลือดยังคงติดอยู่ในหัวของเขา เรมี่ยิ้มเยาะให้กับภาพเบื้องหน้าพลางตวัดมือขีดกากบาททิ้งจนเกิดเป็นเส้นสีแดงไขว้ทับ
นั่นแหละคือ ‘วงการบันเทิง’
สายลมพัดเอื่อยๆ พาให้รู้สึกสดชื่นยามขับขี่ยานพาหนะ เขาตรงกลับบ้านทันที ใช้ชีวิตตามปกติเฉกเช่นทุกวัน อาจจะผิดแปลกไปตรงช่วงนี้ต้องอยู่คนเดียวและเตรียมอาหารรับประทานเองบ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ในโลกที่คนแทบไม่กระดิกมือกระดิกเท้าเช่นนี้
“อ่าว เนยหมดแหะ”
ว่าพลางกุมขมับตนเอง ดวงตาก็สำรวจตู้กับข้าวอัตโนมัติไปพลางเพื่อหวังให้มันหลงเหลือเศษเสี้ยวอยู่บ้าง แต่อะไรๆ กลับไม่เป็นไปตามที่หวัง เขาจึงต้องพักการทำมื้อเย็นไว้ แล้วออกจากห้องของตนเพื่อลงไปมินิมาร์ทที่ชั้น F ผ่านล็อบบี้ส่วนกลางของคอนโดมีเนี่ยม เดินผ่านโถงพลาซ่าที่เป็นเหมือนสวนสาธารณะระหว่างตึก ฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอไปพลาง สีหน้าของเขาดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ความเงียบและการปลีกวิเวกจากความวุ่นวายคือสิ่งเดียวที่พาให้เขาอารมณ์ดี
เผลอหลงลืมสิ่งที่เคยค้างคาใจไปจนหมด...
“สวัสดีครับ รับอะไรครับ” เสียงสากติดน้อยส์ ของพนักงานตัวกลมเอ่ยขึ้น แพทเทิร์นการพูดนั้นมีจังหวะจะโคนไม่ต่างจากหุ่นยนต์รับใช้ตัวอื่นๆ ร้านของชำเต็มไปด้วยอุปกรณ์สาธารณูปโภคที่ถูกจัดวางคละแบบ บนชั้นวางมีทั้งของที่อยู่ในกล่องและบาร์โค้ดลอยได้สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิค ในส่วนของขนมหรือของกินเล่นก็มีสีสันหลากหลายจนลายตา ถ้าหากหยิบจับสิ่งไหน แล้วกดติ๊กคอนเฟิร์มการซื้อผ่านทางระบบ smart display ก็เป็นอันว่าธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์
“ครับ ผมขอเนยกับนมจืดนะครับ”
หน้าจอสีใสโชว์ยี่ห้อที่เขากำลังมองหา ชายหนุ่มรีบสั่งออเดอร์เพราะไม่อยากเสียเวลากับการจับจ่ายใช้สอยนัก
“แล้วคุณผู้หญิงเอาอะไรหรือครับ?” เจ้าหุ่นเหล็กถามต่อ องศาของส่วนหัวเหมือนจะชะโงกไปมองด้านหลังของเรมี่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะมองตามไป แต่แล้วก็ต้องนึกแปลกใจ เมื่อภาพที่ปรากฎเบื้องหน้ากลับกลายเป็นความว่างเปล่า
“หืม นายพูดกับใคร?”
เขาถามขึ้นตรงๆ ไม่แน่ใจว่าหุ่นยนต์ตาฝาดหรือระบบรวน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องยากมากที่จะเป็นเช่นนั้น และสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย คือ ‘หุ่นยนต์โกหกไม่ได้’
“อย่าพูดแบบนั้นสิ เสี่ยวสันหลังนะ อย่าลืมบอกเจ้าของด้วยนะว่านายควรตรวจสภาพ...”
เรมี่พูดไม่ทันขาดคำ ความรู้สึกหนาวสะท้านก็พาให้เขาชะงักงัน ดวงจาเบิกโพลงด้วยความรู้สึกประหวั่น แทรกซึมเข้ามาในกายอย่างไม่ทันตั้งตัว...
“ผมขอวิปครีมกับนมสดครับ”
เสียง.....
เสียงนั่น...
เรมี่เหงื่อไหลพราก เขาก้มหน้างุดจนแทบจะม้วนตัวกลม เงาของคนด้านข้างทาบทับไปบนตัวเขา และไม่นานความเงียบงันก็ถูกพังลงด้วยเสียงตอบรับของเจ้าหุ่นกลม
“ขออภัยครับคุณผู้ชาย จะรีบจัดให้เดี๋ยวนี้เลยครับ เอ่อ....Mr Kirino Natsume”
เพียงคำตอบรับสั้นๆ ตามมารยาทของพนักงานจักรกล นัยน์ตาของผู้เคยหลงกลเล่ห์เหลี่ยมก็หดเล็กลงตามสัญชาตญาณ เขารีบจ่ายเงินแล้วเบี่ยงตัว หันหน้าไปอีกทางทันทีที่รับของเสร็จ ก่อนจะเร่งฝีก้าวสาวเท้าเดินออกไปจากร้านค้า
และถึงแม้จะไม่ได้สบตาสีแดงชาดนั้นอีกครั้ง ก็รู้ดีว่าใบหน้าขาวนวนนั่นกำลังยิ้มเยาะอยู่....