‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
กระดาษขาวหลายแผ่นกองเกลื่อนกลาดบนพื้นแข็ง ปากกาด้ามสั้นล่วงหล่นลงพื้นยามข้อมืออ่อนเปรี้ย ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนัก บีบสันจมูกตัวเองเบาๆ ดวงตาคมหลับลงเพื่อพยายามประคองสติ ท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงผ้าม่านสีอ่อนตาปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลม
ไม่ว่าจะทำยังไง บทประพันธ์ที่เขาทุ่มเทนักหนาก็ไม่เป็นไปตามใจหวัง ต่อให้นุ่มลึก คมคายมากมายแค่ไหน หากขาดสิ่งที่จะทำให้ผู้คนตื่นตาไปพร้อมกัน ก็เหมือนกับหนังสือบนชั้นที่มีตัวตน แต่กลับไร้คนชายตามอง เขากัดเล็บตนเอง เรียวคิ้วยับย่นตามความรู้สึกถาโถม ดวงตาฉายแววความสับสนอย่างชัดเจน
“ใช้ไม่ได้...”
เลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตัลค่อยๆ แปรเปลี่ยน จากเสียงโหวกเหวกด้านนอกเริ่มเงียบลงจนได้ยินเพียงจักรกลทำงาน เมื่อโลกทั้งใบดูจะหยุดนิ่งลง ความวุ่นวายเสื่อมสลายเพียงชั่วครู่ พอลองย้อนคิดกับตนเองดีๆ แล้ว ก็พึ่งจะรู้สึกตัวเอง
ว่าที่ผ่านมา เขาก็อยู่คนเดียวตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไง?
ถึงมิเรย์จะเหมือนเพื่อนและครอบครัวเพียงคนเดียวขนาดไหน แท้จริงแล้วก็เป็นได้แค่จักรกล ความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างถูกสร้างมาจากการลอกเลียนแบบ และไม่มีทางซับซ้อนจนวางเงื่อนไขอะไรใหม่ขึ้นมาได้ และถึงแม้จะไม่เหงา แต่แท้จริงแล้วเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่เธอพูดหรือคิด มันง่ายต่อการคาดเดาขนาดไหน หากเทียบการตอบโต้ของมนุษย์เป็นแรงสะท้อนกลับ ก็จะมีตัวเลือกและรายละเอียดเฉพาะที่แยกย่อยออกไป ไม่เหมือน Ai ที่ถูกปลูกฝังอย่างตายตัว
“บ้าจริงๆ เลย...”
เขาวางปากกาจากพล็อตเรื่องที่ไม่มีวันแต่งจบ ก่อนจะหยิบเอาเอกสารเกี่ยวกับโปรเจ็คล่าสุดขึ้นมาไล่สายตาอ่าน
“ขอแค่คิริโนะ นัทสึมิกับเรมี่ได้เล่นบทนำ ที่เหลือให้จัดแจงตามเหมาะสมได้เลย...”
อ่านออกเสียงตามกระดาษโน้ตที่แทรกไว้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่นัทสึมิพูดไว้ในรายการจะไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงทั้งหมด รวมไปถึงเงื่อนไขที่ว่า ‘ให้เรมี่กำกับและมิเรย์แต่งบทภาพยนต์’ ก็ดูจะไม่ใช่คำโป้ปดแม้แต่น้อย กระดาษแผ่นหน้าถูกตวัดให้ทบไปด้านหลัง แก้วน้ำที่มีนมร้อนด้านในถูกยกขึ้นจิบ ทว่าจู่ๆ ภาพจำที่เขาอยากหลงลืมที่สุดกลับฉายวาบเข้ามาในหัว
‘ไม่มีทางทำได้หรอก ทำแต่หนังแบบนี้ถึงจะได้รางวัลไป ก็ไม่มีทางดังหรอก’
คำพูดจาดูหมิ่นของใครสักคนฝังอยู่ในหัว มันตอกย้ำความกังวลในใจได้ดีว่าตัวเขานั้นล้มเหลวทางด้านการทำยอดมานักต่อนัก จริงอยู่ที่เขาเองก็สามารถผลิตหนังที่ขายได้ออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ชิ้นงานที่เขาภูมิใจนักหนา ถึงจะอยู่บนเวทีระดับโลกได้ แต่มันกลับเลวร้ายหากต้องวิ่งในสังคม ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
‘ขอสปอร์นเซอร์ก็ยาก อย่าว่าแต่คนสนับสนุนเลย’ บางเรื่องถึงจะการันตีว่าเป็นงานรางวัล แต่โรงหนังยังไม่อยากจะให้รอบฉายด้วยซ้ำ ถ้าหนังที่เอาไอดอลมาแสดงพังพินาศอีก....
‘ใจเย็นๆ’
เขาพร่ำบอกตนเอง สิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นสติสัมปชัญญะที่ติดตัวมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด
ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมัวหมอง ดวงดาวสว่างไสวตอนหัวค่ำเริ่มจางหาย บ่งบอกถึงสภาพอากาศแปรปรวนจนยากคาดเดา และถึงแม้ระบบสาธารณูปโภคของเมืองจะรวมถึงบาเรียที่ป้องกันฝนฟ้า จนตัวเขานั้นจะนานทีปีหนถึงได้สัมผัสหยาดละอองจากธรรมชาติ แต่บรรยากาศอึมครึมนั่นกลับมีตัวตนชัดเจน
แม้ไม่ได้สัมผัส แต่ก็ยังคงรู้สึก...
เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะลงมือเขียน แปรเปลี่ยนสิ่งคั่งค้างในใจให้กลายเป็นผลงานชั้นเลิศ ราวกับการเสกเวทมนตร์ในนิยายแฟนตาซี ที่พรสวรรค์อื่นใดไม่อาจเทียบเคียง...
โดยไม่ทันสังเกตเห็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่โผล่พ้นออกมาจากลิ้นชักชั้นที่สอง มันถูกเขียนทาบทับด้วยสีแดง เป็นตัวอักษรที่เรียงกันแล้วอ่านได้ว่า
‘ไปตายซะ’ .......
ยามเช้าแสนสดใส บรรยากาศรอบตัวดูเป็นใจกว่าปกติ ทั้งท้องฟ้าปลอดโปร่ง นกน้อยโผลบินออกจากรัง และแสงแดดสาดทออ่อนๆ พาให้คนหัวรั้นต้องตื่นจากภวังค์ตั้งแต่เช้าตรู่ ปฏิธินดิจิตัลสับเปลี่ยนเป็นเดือนใหม่ เขาแทบหลงลืมวันเวลาไปโดยสิ้นเชิง
“เอาเถอะ...”
พึมพำกับตนเอง ก่อนจะถีบฝาครอบ ลักษณะเป็นทรงรีสีใสของเตียงนอนแคปซูลออก พยายามทบทวนเรื่องราวก่อนนอนเมื่อคืน หากจำไม่ผิด เขาแต่งบทภาพยนต์จนเสร็จแล้วส่งให้ Producer คู่ขาตรวจสอบก่อนจะส่งให้ทางลูกค้าอีกฝั่ง แต่การที่หน้าจอที่ลอยเท้งเต้งด้านข้างไม่ปรากฎการแจ้งเตือนใดๆ แบบบทันทีทันควัน ก็ถือว่างานๆ นี้ไฟเขียวผ่านฉลุย
เขาทำกิจวัตรประจำวันเหมือนอย่างเคย ในยุคที่ทุกอย่างง่ายดายเพียงดีดปลายนิ้ว ทำให้ระยะเวลาในการเตรียมพร้อมสู่วันใหม่แทบจะเหลือแค่ห้านาทีในแต่ละวัน ชายหนุ่มคว้า Hoverboard แล้วตรงดิ่งไปยังดาดฟ้า เพื่อเดินทางสู่ที่ทำงาน
บิลบอร์ดทั้งบน Air Road และตามอาคารต่างๆ ปรากฎเป็นการโปรโมทฟุตบอลลีกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง โลโก้ของแต่ละทีมนั้นดูเด่นสะดุดตา ผสมกับฟร้อนท์และสีอันเป็นเอกลักษณ์ของธีมกีฬา ทำให้ทั่วทั้งเมืองถูกย้อมไปด้วยสีสันเพียงแค่สองสี และกลายเทศการแห่งความ ‘พลังงานล้นเหลือ’ ไม่เว้นแม้แต่ตามร้านอาหารต่างๆ ที่พากันปักธงผ้าเพื่อแสดงออกถึงแรงสนับสนุน
“ป๊า ป๊าจะขอบัตรดูบอลฟรีไปทำไมคะ?”
เจเน่ถามขึ้น เธอยกเม้าท์ปากกาในมือขึ้นเกลาหัวแกรกๆ ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคนตรงหน้าแม้แต่นิด เดิมทีคนที่เดินเข้าออกได้ทุกที่เพราะใช้อำนาจโดยไม่ชอบอย่าง ‘บัตรสื่อ’ จะอยากได้โควต้าบัตรพนักงานไปเพื่ออะไร? สีหน้าของเด็กสาวดูยุ่งยากใจ จนบรรดาพี่ๆ ผู้ชายต้องแอบขำ
“หนิ่วหน้าแต่เช้าเลย ทำตัวเป็นคนแก่” ไนน์หมุนเก้าอี้มาถาม หูยังคงมีหูฟังครอบเอาไว้
“เห่ย ฟังเพลงแต่เช้าเลยนะไนน์” เรมี่แซว ทั้งที่ยังนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เก้าอี้ผู้กำกับรูปทรงไข่ ในมือยังถือขนมปังทาเนย แขนอีกข้างก็เท้ากับโต๊ะทรงกลมสีใส ซึ่งเป็นโต๊ะส่วนกลางของทีมงาน โดยที่คนถูกพูดถึงก็ได้แต่ยักไหล่ตอบกลับ พวกเขารู้ดีว่าคำถามกวนตีนแบบนั้นไม่ได้มีความจำเป็นอะไรต้องสาวความให้ยืดยาว
“ป๊าตอบคำถามหนูก่อน”
เด็กสาวเริ่มท้วง พอเห็นท่าทีคนตรงหน้ายังเล่นแง่กับตนเอง
“ก็เอาไว้ให้พวกนั้นไง”
เรมี่ตอบสบายๆ นิ้วข้างที่ถือขนมปังก็แอบชี้ไปทางกลุ่มสต๊าฟที่กำลังเตรียมฉากโฮโรแกรมของวันนี้
“อะ อ๋อ ใจดีจัง”
เจเน่ยิ้มกริ่ม รีบยกเม้าท์ปากกาจดลงลิสต์ในหน้าจอ smart display ของตนเอง
“ก็แค่ของขวัญของคนตั้งใจทำงานแหละ” เสียงเรียบเสริมทับ แสร้งทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้พลางหลับตาเคี้ยวข้าวเช้าแบบไม่สนใจใยดี โดยที่เพื่อนๆ ก็พากันยิ้มอ่อนๆ พวกเขารู้ดีว่าเรมี่แค่ไม่ชอบแสดงความอ่อนโยนออกมาตรงๆ หากให้บัญญัติคำอธิบาย คำว่า ‘ซึนเดะเระ’ ก็คงจะเป็นคำที่ตรงที่สุด โดยไม่มีใครรู้เหตุผลเช่นเดียวกัน
“ทานอะไรอยู่หรือครับ?”
“ขนม-..........”
ขอบขนมปังร่วงผล่อยหล่นจากมือของผู้กำกับหนุ่ม เพื่อเขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่าเสียงคุ้นหูนั่นไม่ใช่เสียงของทีมงานผู้คุ้นเคย ทันทีที่เขาหันไปตามต้นเสียง ลมหายใจของเขาก็สะดุดขัด ดวงตาวูบไหวไปด้วยความประหม่า ราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุนผิดทิศ
“หืม? เฮ้ย!.........นะ นาย.....คิริโนะ?”
“ครับ ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้นล่ะครับ”
ไอดอลหนุ่มยิ้มกว้าง จนดวงตาหยีจนแทบปิด เรือนผมสีขาวเงินยามต้องแสงไฟจากในสตูดิโอยังคงเปล่งประกายเหมือนที่เขาจำได้ ไม่ต่างจากบนเวทีที่เหมือนเป็นอาณาเขตของเขา บรรดาสต๊าฟสาวพากันจับจ้องมายังเขาเป็นตาเดียวกัน และนั่นหมายความว่าไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะอยู่ที่ไหน รัศมีของเขาก็แทบจะกลายเป็น ‘ผู้ปกครอง’ ได้โดยไร้ข้อกังขา เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ถูกสวมทับด้วยสเวตเตอร์สีครีมอ่อน กางเกงสีน้ำตาลกาแฟ ส่งให้ภาพลักษณ์ของ คิริโนะ นัทสึมิ ดูอ่อนหวานละมุนละไมจนสะดุดตา
“นาย...”
“ผมแค่มาดูงานก่อนน่ะครับ อย่างที่แจ้งไปแล้วเมื่อวันก่อน”
“........”
เรมี่หันขวับไปมองเพื่อนๆ แต่รู้ตัวอีกที ในระยะไม่เกินห้าเมตรนี้แทบจะไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่ใกล้เลย ราวกับว่าตัวเขากลายเป็นเหยื่อที่เผลอหลุดเข้ามาในเขตล่าของชนชั้นสูงโดยไม่รู้ตัว
“หากไม่เป็นการเสียมารยาทมากเกินไป คุณเรมี่ช่วยสปอยบทของผมให้หน่อยได้ไหมครับ? ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
“เฮ้ยๆ ...”
เรมี่หรี่ตาลง ใบหน้าเหยเกจนเสียมาดผู้กำกับ เขาไม่คิดว่าคนที่เขาหวาดระแวงมากที่สุดจะปรากฎตัวแบบไม่มีปี่มี่ขลุ่ยจนนึกว่าถ้าแกล้งใส่บทคนท้องหรือชาวบ้านนอกขอบเขตเมืองหลวงที่ไร้เทคโนโลยี คงจะเป็นการแก้แค้นที่ประเสิร์ฐเลิศเลอมาก เพราะสามารถแกงไอดอลหนุ่มได้หม้อใหญ่
เขาเริ่มจินตนาการตัวละครของนัทสึมิที่แปลงเพศให้แฟนคลับได้ใจสลาย พร้อมกระเตงเด็กคล้ายแม่เลี้ยงลูกเดี๋ยว แต่ไม่ทันไรก็ส่ายหน้าไร้ความคิดพิเรนท์เกินต้าน นัทสึมิมีแต่ปริศนาเต็มไปหมด ส่วนอีกเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ก็คงจะเป็นความเถรตรงจนไม่ได้เตรียมใจ แต่โชคยังดีที่เขายังประคองสติไว้ได้ เลยไม่พ้นต้องกลับมาตอบรับไปแบบขอไปที
ฝากไว้ก่อนนะรอบนี้....
“ไม่รู้สิ อาจจะยังไม่ผ่านก็ได้ บทหนังน่ะ...”
“หรือครับ ...จะรอนะครับ”
จบประโยคก็พรูลมยาว ความรู้สึกโล่งใจที่อธิบายยากพอๆ กับทฤษฎีแมวในกล่องของชโรดิงเจอร์ ไม่รู้ว่าทำไมต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคนตรงหน้า และตลกร้ายกว่านั้น คือการที่เขาแทบจะเจอนัทสึมิแทบทุกวัน ไม่ต่างกับถูกล็อกตารางไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เขายีหัวตัวเองเบาๆ พอนึกบางอย่างได้จึงหันคอไปมองผู้มาเยือนใหม่อีกหน
“นี่ เมื่อคืนทำไมถึง...”
“ผมแวะมาหาเพื่อนแถวนั้นน่ะครับ” ร่างสูงตอบสบายๆ มือหนึ่งก็เท้าพนักเก้าอี้ตัวด้านข้างเรมี่ไว้
“หา? .... เอ่อ งั้นรึ...”
‘รู้ได้ไงว่าหมายถึงอะไร....แต่แอบรู้สึกว่าเหมือนวางแผนไว้แล้ว ยังไงชอบกล..’
ขอบขนมปังที่เคยกองอยู่บนโต๊ะ ถูกหุ่นยนต์กระป๋องเก็บกวาดไปโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างผอมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเตรียมกลับออฟฟิศตนเองเพื่อไปเตรียมตัวก่อนถ่ายทำในส่วนของวันนี้ ทว่ายังไม่ได้ทันได้ยืนตัวตรงนักก็ถูกมือขาวซีดคว้าเรียวแขนเอาไว้ ใบหน้าหวานฉีกยิ้มละมุน พาให้เหงื่อพรายผุดขึ้นเหนือขมับ
“เดี๋ยวครับ ผมจะมาฝึกงานที่นี่ ช่วยแนะนำสถานที่ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?”
นัทสึมิถามด้วยความสุภาพ ใบหน้ายังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ผิดกับอีกคนที่หน้าบึ้งเหมือนญาติตตายมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เรมี่ไม่ได้ขัดอะไร เขาทำเพียงชะโงกหน้าเพื่อมองหาสต๊าฟผู้เดินขวักไขว่ไปมา โดยเฉพาะเจเน่ผู้ทำหน้าที่คล้ายเลขานุการส่วนตัวที่หายตัวราวกับนินจา โลกใบนี้มักเล่นตลกด้วยเสมอ โดยเฉพาะยามที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
“อ่า...ไว้รอเจเน่กลั-”
“คุณเรมี่ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีไม่ใช่หรือครับ?”
ดวงตาคมเสมองไปทางนาฬิกาในหน้าจอด้านข้าง พอเห็นว่าทุกอย่างถูกต้องตามคำแย้งกะทันหันก็อ้ำอึ้ง จนหาคำพูดดีๆ มาแก้ตัวไม่ได้
“อา ใช่....” แล้วรู้ได้ยังไงกัน? นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในใจ
“ดีเลยครับ”
น้ำเสียงอ่อนโยน ผิดกับแรงบีบที่ต้นแขนราวฟ้ากับเหว จะเรียกว่าเล่นเอาชาวาบไปชั่วขณะก็ดูจะไม่เกินเลยนัก เรมี่จำยอมพยักหน้างึกงัก แล้วจึงพาแขกกิติมศักดิ์เดินทัวร์สตูดิโออย่างหยาบๆ
“นี่โรงอาหาร...นี่ห้องเก็บของพนักงานโซน A…. นี่ห้องพักนักแสดง นายก็ต้องใช้ห้องนี้... ด้านนู้นเป็นโซนออฟฟิศ...”
ห้องแล้วห้องเล่าผ่านไป ไวเหมือนโกหก เขาเร่งฝีเท้าราวกับพยายามจะแข่งกับเวลา แม้ใครๆ ก็รู้ว่านั่นคือข้ออ้างถากๆ ก็ตาม เรมี่แค่อยากสลัดไอดอลคนดี ให้ไปให้พ้นๆ จากตัวเองให้ไวที่สุด และแน่นอนว่าเขาคาดโทษพวกป็อปไว้อย่างสาหัสสากัน พลันนึกจะหาทางรอดดีๆ แบบเดินย้อนกลับไปเข้าออฟฟิศตัวเองเพื่อตัดบท ก็ดูจะไม่เข้าเท่าที่ควร
เขามัวแต่ครุ่นคิดจนลืมดูตาม้าตาเรือ รู้ตัวอีกทีก็พาออกมาตรงดาดฟ้าของชั้นลอยที่เป็นสวนต้นไม้อย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งประจวบเหมาะกับมีเสียงรถมอเตอร์ไซด์คนหนึ่งวิ่งขึ้นมาตรงลานจอดรถด้านหลังพอดี เขาหันหลังไปมองตามต้นทางเสียง ก่อนจะพบว่าป็อปขี่รถเข้ามาจอดพอดี
“บอลก็ไม่ได้เรื่อง หาแต่เรื่องทำงานสาย” เรมี่ร้องทัก เขายกมือเท้าเอว มองผู้กำกับภาพด้วยความเหนื่อยหน่าย
“โอ้โห ควงสาวมาโชว์แต่เช้า มาทำเป็น~~~”
ป็อปตอบด้วยความยียวน ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับคนด้านข้างผู้กำกับเพื่อนรัก
“เรด้ามึงเสีย...” เขากรอกตาตอบรับ พลางหันไปทางอื่น เหม่อมองภาพวิวทิวทัศน์ของสวนหย่อมไปเรื่อย
“รถสวยมากเลยนะครับ” นัทสึมิเอ่ยชม ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อยดูน่ารักน่าชัง เขาดูไม่ถือสาคำพูดกวนประสาทพวกนั้นเพราะอาจจะไม่เข้าใจ หรืออาจจะเพราะชินชากับคำชมประเภทนั้นจากคนในวงการไปแล้ว
“อา พึ่งถอยมาใหม่เลย A-24 น่ะ” ป็อปพูดอวด โดยไม่วายจะถูกขัดในทันที
“อย่างกับชื่อค่ายหนัง...” เรมี่แซว ปกติแล้วเขาใช้แต่ Hoverboard เลยไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับมอเตอร์ไซด์ พูดให้ถูกคือเท้าของเขาแทบไม่เคยติดพื้นยามเดินทาง มีเพียงสายลมบน Air Road เท่านั้นที่เขาหลงใหล ยานพาหนะคันตรงหน้า ถูกออกแบบอย่างมีชั้นเชิง สีดำตัดทองนั้นดูโฉบเฉี่ยว หรูหราตามสไตล์ยานพาหนะในโลกที่เทคโนโลยีก้าวรุดจนเสียสมดุล
ซึ่งในสายตาเรมี่แล้ว มันดูไม่เข้ากับนิสัยติดเล่นและหุ่นหมีของป็อปเลยแม้แต่น้อย แต่ความชอบของคนเรานั้นห้ามกันไม่ได้ เช่นเดียวกับทั้งเขาและมิเรย์ที่ใช้บอร์ดจนชินมือชินเท้า
“นายเข้ามาลองขี่สิ” เจ้าของรถชวน เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของแขกคนสำคัญ
“ขอบคุณนะครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ...”
เมื่อนัทสึมิเดินเข้าไปหาป็อปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภาพตรงหน้าก็ทำให้คนขี้เก็กเสียสูญเล็กน้อย เรมี่ยอมรับว่ามอเตอร์ไซด์ของป็อปนั้นจับราศีของนัทสึมิได้อยู่หมัด ยิ่งยามมือเรียวเข้าไปคว้าคันเร่งมอเตอร์ไซด์ ก็ยิ่งดูเข้ากันราวกับเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า น่าหลงใหลจนแทบจะยืนมองไม่กะพริบตา
“อะแฮ่มๆ”
ป็อปไอกระแอ่ม ขัดคนเหม่อลอยราวกับสติเคว้งไปไกล พาให้ผู้กำกับหนุ่มสะดุ้งเบา แล้วหันมาตวาดใส่
“ไรมึง กวนตีนไรอีก?” เรมี่แหวใส่ในทันที
“เฮ้ยๆ ถึงเวลางานแล้ว”
“เออ ลืมไปเลย ไป เข้าไปข้างในกัน”
บทสนทนาแบ่งรับแบ่งสู้ตรงหน้า ทำให้นัทสึมิหัวเราะเบาๆ ท่าทียกมือขึ้นป้องปากหลวมๆ ดูมีเอกลักษณ์จนคิดว่าไม่ได้เป็นการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อเรียกเรทติ้ง แต่น่าจะกลายเป็นนิสัยติดตัวจริงๆ ไปแล้ว ดวงตาคมแอบเหลือบมองอยู่ห่างๆ แม้ขาทั้งสองข้างจะเดินนำไปก่อนแล้วก็ตาม
นัทสึมิก็มองไปรอบๆ ลานจอดรถซึ่งปะปนกับสำนักงานอื่นในอาคารเดียวกัน แต่สิ่งที่สะดุดตาเขาที่สุด คงจะเป็นช่องจอดมอเตอร์ไซด์ที่ค่อนข้างแคบและอยู่ติดกับตู้ขายของอัตโนมัติ ซึ่งมีกระถางกับธูป 1 ดอกปักอยู่ด้านบน