‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

Remii-I - บทที่ 5 Looking (Act 2) โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii-I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ

รายละเอียด

Remii-I โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

 

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ 

 

Remii-I

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'

และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง

งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?

-----------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง

*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*

-------------------------------

Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)


 

Remii-I

Author: RemyGravity

Cover Illustration: Sun Moon

Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller

 

จากนักเขียน*

*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*

*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*

สารบัญ

Remii-I-บทที่ 1 Your smile,Remii-I-บทที่ 2 Collapse,Remii-I-บทที่ 3 Light Kiss,Remii-I-บทที่ 4 Vague Shadow,Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 1),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 2),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Final Act),Remii-I-บทที่ 6 Solid, failure,Remii-I-บทที่ 7 Break

เนื้อหา

บทที่ 5 Looking (Act 2)

“อะ ลองอ่านนี่สิ”

เรมี่ยื่นบทพูดไม่กี่บันทัดให้นัทสึมิ ซึ่งเดินตามต้อยๆ เหมือนลูกหมา แต่เมื่อรับไปแล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความฉงน

“ดุดัน ไม่เกรงใจใคร?” นัทสึมิหรี่ตามองคนต้นเหตุ ที่แอบลอบยิ้มเยาะอย่างไม่ปิดบัง ไหล่เล็กแอบสั่นเทาราวกับกำลังกลั้นขำ ก่อนกระดาษจะถูกส่งกลับ เขาดันมันแนบหน้าอกอีกฝ่ายพร้อมบุ้ยหน้าไปอีกทาง

“เฮ้ยๆ มีอารมณ์ขันหน่อยก็ได้มั้ง..” เรมี่พูดแซว แล้วจึงเดินนำกลับไปที่เก่า

ตารางงานหน้าห้องสตูดิโอ 1 ปรากฎเป็นคิวการถ่ายซ่อมซีรีส์สะท้อนสังคมที่ถูกจ้างอีกทีหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ควรจะได้ฉายเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เพราะส่วนที่เรมี่รับผิดชอบดันไม่เข้าหูเข้าตากระทรวงเวทมนตร์เท่าไร เลยต้องถ่ายแก้จนกว่าเส้นแบ่งศีลธรรมอันดีจะกลายเป็นสีเขียว ในระหว่างที่เรมี่เดินนำทั้งสองเข้าไปสต๊าฟคนอื่นๆ ก็หันมาทักทายด้วยความอ่อนน้อม

“อะ ระหว่างนี้คงไม่ได้มาสอนอะไร นั่งตรงนี้ก่อนนะ”

เขาดันเก้าอี้ทรงไข่ของตนเองให้นัทสึมิ โดยที่อีกฝ่ายก็ค้อมรับแล้วหย่อนตัวลงนั่งตามมารยาท เรียกเสียงฮือฮาจากสต๊าฟสาวๆ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่ได้เข้าไปในสมองของเรมี่แม้แต่น้อย ใจของเขาจดจ่ออยู่กับการเคลียร์งานตรงหน้าจนหลงลืมสิ่งรอบด้าน และแม้เขาจะรู้ตัวก็คงไม่สนใจเสียงนกเสียงกาดังกล่าว

เพราะทุกลมหายใจของเขา คือการสร้างสรรค์งานออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ทุกย่างก้าวหนักอึ้ง สัมผัสได้แต่ความกดดัน แม้บรรยากาศจะเต็มไปด้วยแสงสีเสียง แต่สำหรับเขามันกลับอื้ออึง ราวกับได้ยินเสียงเครื่องจักรบดขยี้อะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา เสียงแผดกร้าวกล่าวสั่งซ้ำๆ กล้องที่ถูกถ่ายฉายภาพแห่งความโกลาหล ดั่งสายน้ำที่เชี่ยวกรากและไม่มีวันหวนคืน

“ใช้ไม่ได้!”

เรมี่สั่งคัททันที สีหน้าของนักแสดงสาวแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่น

“คะ...ค่ะ... ขอใหม่อีกรอบค่ะ...”

ความตึงเครียดเข้าครอบงำ พื้นที่แห่งความฝันที่ใครหลายๆ คนฝันใฝ่ แท้จริงเหมือนกับนรกแดงฉาน ใต้สาบเสื้อหนาทึบเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แม้อากาศจะเย็นสบายเพราะเครื่องปรับอากาศที่แทบจะมีทุกพื้นที่ที่ก้าวเดิน แต่ความทุกข์ร้อนนั้นกลับวนซ้ำซากเหมือนแผ่นสะดุด กรอซ้ำไปมา อารัมภบทวนเวียน

ชายหนุ่มสั่งคัทรอบที่สาม ก่อนจะเดินกลับไปยังเก้าอี้ตัวเดิม เขาคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม หลับตาลงเพื่อหวังประโลมความขุ่นเคืองในอก

‘ใช้ไม่ได้ แบบไหนก็ใช้ไม่ได้...’

ดวงตาของเขาเลื่อนอ่านบทภาพยนต์ซ้ำ ชื่อตอนนั้นเรียบง่าย แต่กลับเสียดแทง ‘ผิดพลาดเพราะน้ำผึ้งพิษ’

บทที่ถูกแก้ไขนั้นมีส่วน มันเบาบางจนแทบจะลืมแก่นแท้ที่เขาต้องการจะสื่อออกไป ในโลกที่ผู้คนเริ่มพูดความเท็จใส่กัน แม้แค่จะนึกเยียวยาจิตใจคนอื่นก็ยังเต็มไปด้วยคำโป้ปด ขอแค่ดับความร้อนรุ่มได้ เพียงแค่ชั่วขณะก็ยังดี แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากยาพิษที่ค่อยๆ บ่มเพาะบาดแผล รอวันทะลักทลาย

หุ่นยนต์รับใช้พากันหยิบแฟ้มและหนังสือ Art Concept มาให้เรมี่ เขาเปิดพลิกไปมา เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นบริเวณขมัยขวา เปลือกตาแข็งค้าง แทบไม่กะพริบยามกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่าถูกพลิกไปมา

ภาพแรกที่เขาหยุดมอง ‘ความเจ็บปวด ดั่งงูพิษ’

นักแสดงหญิงไม่มีทางเล่นปมดังกล่าวได้

ภาพที่สองที่เขาหยุดเชยชม ‘กองเงินกองทองแห่งความแตกแยก’

ไม่มีทางเข้าใจยามคำชมเชยมดเท็จนั่นงอกเงยเป็นความสิ้นหวัง เธอเคยอยู่แต่บนความรัก เงินทอง และความสำเร็จ ยากยิ่งนักที่จะมีแววตาแห่งความระทม

ภาพที่สาม ‘ตัวเลข และสายธาร’

เขายกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากตนเอง ให้ไอเย็นจากน้ำที่ดื่มไปเมื่อครู่จางหายไป ดวงตายังคงเขม็งเกร็ง เรียวคิ้วยับย่นจนไม่น่ามอง

“เกิดอะไรขึ้นครับ?”

นัทสึมิเอ่ยถาม เขายังคงนั่งมองด้วยความฉงน ท่าทีเอียงศีรษะเล็กน้อย พร้อมริมฝีปากที่คว่ำลงเหมือนเด็กน้อย ทำให้ป็อปที่ยืนอยู่ห่างๆ ถึงกับหลุดขำเบาๆ โดยที่อีกคนก็ยกมือขึ้นบีบสันจมูกตัวเอง หลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความเครียด

“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องปกติน่ะ”

เขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะรู้ดีว่า ‘ไอดอล’ เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่มีวันถูกโกหก ก็คงมีแต่เขานี่แหละที่มองต่างออกไป

‘ถ้าจะเข้ามาอย่างมากก็แค่มาเกะกะเท่านั้นแหละ’ เขาลอบคิดในใจ

“แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจนะ...”

“หืม?”

เรมี่วางแก้วน้ำลง ค่อยๆ ปล่อยมือออกเป็นเชิงลองใจ พอหันหน้ามองพร้อมเห็นแววตาจริงจังนั่นแล้ว จึงยืนมองคนที่ยึดเก้าอี้ตนเองไปเงียบๆ ทั้งคู่จับจ้องกันอยู่พอครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายคลี่ยิ้มบางออก

“ใครๆ ก็คิดว่าไอดอลไม่มีทางเล่นหนังได้ดีใช่ไหมล่ะครับ? แต่ก็ไม่เคยพูดกับผมตรงๆ หรอก”

‘ถูกเผง.............’

เรมี่สะอึกเบาๆ รู้สึกเหมือนถูกนิ้วมือเรียวคว้านเข้าไปในสมอง บางครั้งเขาก็ไม่ชอบการถูกมองออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ดูอวดดีเป็นพิเศษ

“อะ อืม....” ตอบอ้อมแอ้ม พลางมองนิ่งๆ ด้วยความสนใจ

“ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าผู้จัดการ แฟนๆ หรือกระทั่งสปอร์นเซอร์ ทุกคนต่างก็พูดแบบนั้นล่ะครับคุณเรมี่ ประมาณว่าพยายามเข้านะ แล้ว....”

ริมฝีปากบางค่อยๆ คลี่ยิ้มออก ก่อนจะพูดต่อ

“แล้วสักวันนัทสึมิ จะได้เล่นภาพยนต์ที่ใฝ่ฝันแน่ๆ เป็นคำหลอกลวงที่งี่เง่าสิ้นดีใช่ไหมครับ?”

“อา......”

ราวกับเวลานิ่งหยุด ไร้คำตอบกลับ มีแต่ความคิดที่ว่านี่น่าจะเป็นเรื่องตลกอะไรบางอย่าง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน...

‘เหมือนกันเลยนะ.....เราทั้งคู่น่ะ...’ 

ไม่...ไม่สิวะ..........ไม่เหมือนกันสักหน่อย..............

เขาแทบจะเอาหัวโขกโต๊ะเมื่อเผลอคิดอะไรที่ใจอยากปฏิเสธ เขาไม่มีทางเหมือนกับไอดอลไร้สมองแบบนี้อยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่จิตสำนึกแย้งขึ้นมาทันควัน

เรมี่ย่อตัวลงให้ระดับสายตาผสานกัน แม้คนตรงหน้าจะยิ้มละไมเหมือนทุกครั้ง แต่แววตาที่สื่อถึงกันกลับไม่ได้โกหกเหมือนอย่างที่สีหน้าแสดงออก ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง..

และถึงไม่อยากยอมรับมากเพียงใด แต่บางทีเขาอาจจะมองข้ามไป...

 

การถ่ายทำยังคงดำเนินต่อไปหลายเทค แต่ก็ยังติดอยู่จุดเดิมราวกับเสียเวลาเปล่าไปครึ่งค่อนวัน แก้วน้ำที่ใส่เครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าถูกหยิบไปจากบาร์น้ำ เช่นเดียวกับกระดาษทิชชู่เปียกที่เริ่มพร่องไปเพราะความเหนื่อยล้าของทีมงาน

ชายหนุ่มหันตัวขวับ จับจ้องไปยังนักแสดงสาวที่ยืนสั่นเทา ยามดวงตาสีชมพูเข้มจับจ้อง ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ ที่หวาดกลัวตลอดเวลา

“รูริจัง เคยมีคนที่ชมเพื่อให้ความหวังอะไรสักอย่างไหม?” เขาตัดสินใจถามตรงๆ แม้จะเป็นคำถามที่ไม่น่าอภิรมณ์ใจก็ตาม

“อืม...ถ้าเป็นแฟนเก่า ที่หลอกว่าจะรักกันตลอดไปได้ไหมคะ?”

เรมี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ยามต้องรับมือกับความใสซื่อและเยาว์วัย ซึ่งตรงกันข้ามกับเมคอัพสะบักสะบอมจนน่าเวทนา ยังไม่นับรวมเอ็ฟเฟ็คเลือดตามเนื้อตัวที่เกิดจากการถูกทำร้ายในบทบาท ซึ่งมันดูสมจริงจนนัทสึมิไม่กล้าจับจ้องนานๆ

“ไม่ได้….ไม่มีเลยจริงๆ เหรอ? เช่นคำที่ว่า สักวันเธอจะต้องโด่งดังแน่ๆ แล้วมันไม่เป็นแบบนั้น”

“เอะ ไม่มีนะคะ ก็แค่ได้เล่นหนัง ฉันก็พอใจแล้วค่ะ”

เรมี่บีบดั้งตัวเองเป็นรอบที่สองของวัน ท่าทีคอตกนั่นทำให้นัทสึมิต้องลุกขึ้นมายืนขนาบข้าง

“แล้วถ้าหากเป็นผลงานอื่นล่ะครับ? การแสดงคงไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตคุณใช่ไหมครับ?”

“อ้อ เรื่องนั้น จริงๆ แล้วก็มีบ้างค่ะ เคยคิดว่าอยากจะแต่งนิยายหรือเขียนบทภาพยนต์ให้ออกมาน่าสนใจบ้าง คิดว่าถ้าเป็นบทที่นักแสดงดังเขียนขึ้นมา ก็คงจะได้ทำหนังแน่ๆ ใครก็ๆ เข้าใจแบบนั้นล่ะค่ะ แต่พอลองทำจริงๆ แล้วก็รู้ว่ามันไม่ใช่....”

เธออธิบายยาว ดวงตาหม่นลงด้วยความสะเทือนใจ เช่นเดียวกับเรมี่ที่รู้สึกเหมือนถูกอะไรสักอย่างกระแทกลงตรงอก ทว่าจู่ๆ นัทสึมิก็เดินเข้าไปขอกระดาษชีทเพลงจากมือของรูริ แล้วหันมามองทางเรมี่

“ถ้างั้น ผมขอลองแสดงได้ไหมครับ?”

“หืม? งั้นเอาสิ” ผู้กำกับยกมือขึ้นเชยคางตนเอง และเมื่อเก้าอี้นั่งตัวเก่งว่าง เขาจึงเดินกลับไปนั่งเสียเอง ความอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายยังคงคั่งค้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญใดๆ เขาแพนกล้องไปที่นัทสึมิ แม้จะไม่ได้กดอัดจริงก็ตาม

“Cue” เรมี่สับมือลง เป็นเหมือนนิสัยติดตัวเวลาสั่งการแสดง

ในตอนแรกเรมี่แค่นั่งไขว้ห้างแล้วให้หุ่นยนต์รับใช้เอาขนมเดินมาเสิร์ฟ กะว่าจะให้โอกาสคนอยากลองเป็นการฆ่าเวลาเท่านั้น เขาเท้าคางกับแขนเก้าอี้ รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าเป็นเชิงเยาะเย้ยกรายๆ

“มึงคอยดูนะ แล้วจะรู้ว่าทำไมกูไม่อยากรับไอดอลมาเล่น” เรมี่เชิดหน้าพลางกระซิบเสียงแหบให้กับพนักงานที่ยืนใกล้ๆ

บทพูดที่ไม่เข้าปากนัทสึมินั้นเป็นอะไรที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะมันคือบทของผู้หญิง การแสดงออกจึงดูขาดๆ เกินๆ ดูกระโดกกระเดกจนป็อปต้องหันมายิ้มขำๆ กับเขา แต่น่าแปลกที่ยิ่งเลขระยะเวลาการอัดภาพเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนไปมากเท่าไร ดวงตาคมก็ยิ่งจับจ้องอย่างมิอาจวางตา ราวกับถูกเหนี่ยวนำ ต้องมนตร์วิเศษแสนน่าหลงใหล จากคราแรกที่ถูกดูถูกดูแคลน ใบหน้าที่เคยหัวเราะร่าของทีมงานกลับค่อยๆ เรียบนิ่ง และกลายเป็นจดจ้องราวกับใช้สมาธิ

และแม้ช่วงแรกจะดูเสียมารยาทแค่ไหน แต่มนุษย์ย่อมไม่สามารถฝืนความรู้สึกตนเองได้เช่นกัน เรมี่กำกระดาษในมือแน่น กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ...

ไม่...

แต่แววตานั่น...

มันคือแววตาของคนที่เจ็บปวดจากการพยายามซ้ำซากและยังคงอยู่กับที่...

เสียงหัวเราะในลำคอและสายตาดูแคลนรายล้อมพวกเขา ทั้งสต๊าฟประจำบาร์น้ำ รวมไปถึงสไตล์ลิชที่เดินมาดูห่างๆ ก็เช่นกัน

ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เรมี่จึงสั่งคัทไว้ก่อน เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ไม่มีแม้จะกล่าวชมหรือติติง มีเพียงรูริเท่านั้นที่อยู่ในสายตา

“งั้นชีทเพลงในมือ ถ้าคิดว่ามันเป็นบทภาพยนต์ที่รูริจังเคยเขียน จะให้ความรู้สึกเดียวกันกับคุณคิริโนะได้ไหม?”

“เอะ? ค่ะ... คิดว่าทำได้ค่ะ...”

เรมี่รีบรุดตัวเข้าฉาก เมื่อดวงตาของหญิงสาวที่เคยวูบไหวกลายเป็นความแน่วแน่ บรรยากาศรอบกองถ่ายก็แปรเปลี่ยน ทุกคนรีบประจำที่ กล้อง ไฟ และเอฟเฟต์ต่างๆ ถูกจัดเตรียมอย่างพร้อมเพรียงอีกหน ในขณะที่นัทสึมิเดินสวนเรมี่กลับไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิม ใบหน้าเรียบนิ่งไม่ได้ไถ่ถามสิ่งใด มีเพียงความวังเวงระหว่างพวกเขาเท่านั้น

ทันทีที่กล้องเดินอีกครั้ง กระดาษชีทเพลงในมือของรูริก็ยับย่นด้วยแรงขยำ เธอกรีดร้องแทบบ้าคลั่ง ราวกับเห็นผลงานของตนเองถูกปฏิเสธในความเป็นจริง ความบาดแทงไม่ต่างจากมีดคม เสียบทะลุเข้ากลางใจคน จนไนน์ผู้คุมจอมอนิเตอร์อยู่ห่างๆ ยังถึงกับเบือนหน้าหนี

“ทำไม ทำไมทุกคนถึงต้องโกหกกันด้วย!ทำไม........”

ฉากดังกล่าว แต่เดิมถูกพ่วงด้วยการทำร้ายตนเอง จนถึงขั้นปลิดชีวิต บ่งบอกถึงความรวดร้าวที่แอบแฝงอยู่ภายใน ไม่ต่างจากชีวิตของตัวผู้คิดค้นบท ที่ถูกชะตากรรมเล่นงานจนเกือบเป็นบ้า เรมี่มองตามหญิงสาวที่ทรุดตัวลงกลางฉากลานโล่ง หิมะเริ่มโปรยปรายตามการควบคุมของทีมงาน

แต่แทนที่นักแสดงสาวจะจมกองเลือดเหมือนดั่งคราวก่อน กลับต้องพาตนเดินฝ่าพายุหิมะเพื่อกลับที่พักด้วยความอ่อนล้า สายลมโหมกระหน่ำพัดพาให้ชีทเพลงทั้งหมดปลิดปลิว ล่องลอยไปบนอากาศ เหลือไว้แต่รอยเท้าที่ถูกปุยหิมะกลบทีละนิดจนเหือดหาย

แผ่นกระดาษลอยลมสะท้อนในดวงตาของคนที่ยืนคุมอยู่นอกฉาก เขาเห็นมโนภาพของทั้งรูริและนัทสึมิทับซ้อนกับตนเองเมื่อครั้งเยาว์วัย ทั้งวิ่งไล่ตามความฝัน ถูกล่อลวง และเต็มไปด้วยความหวัง ลมๆ แล้งๆ

‘พยายามเข้านะ เดี๋ยวก็ได้เป็น ผู้กำกับน่ะ งานดีขนาดนี้’

และแม้แต่คนที่พูดเองก็ไม่เคยชายตามองแม้โปสเตอร์ของเขาด้วยซ้ำ บางทีเขาก็นึกเกลียดชังการให้กำลังใจกันของมนุษย์

ให้กำลังใจเพราะเป็นหน้าที่ของคนดี?

ให้กำลังใจเพราะดีกว่าบั่นทอนกำลังใจ?

ให้กำลังใจ แต่ไม่ได้นำพาไปสู่ความสำเร็จใดๆ?

หรือกระทั่งให้กำลังใจ เพื่อให้ตนเองดูดีในสายตาคนอื่น?

เขานึกสงสัยอยู่ครามครัน...ว่าสิ่งไหนคือคำตอบที่แท้จริง เพราะถ้าหากเขาได้กำลังใจมากล้น แต่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนหรือมองเห็นหัวกันจริงๆ สักครั้ง บางทีก็คงเป็นได้แค่นักเขียนมือสมัครเล่น และเงาเบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่นต่อไป....ต่อไป และต่อไป...

ร่างผอมซูบยืนแจกใบปลิวนิทรรศการภาพยนต์สั้น มือไม้ชาเพราะความเหนื่อยล้าทั้งวัน ผู้คนจำนวนมากเดินผ่านเขา แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะรับมันไป บ้างก็แค่กวาดตา บ้างก็ขำขัน บ้างก็โยนทิ้งที่ถังขยะหัวมุมตึกอย่างรวดเร็ว ไม่ก็รับไปแล้ว แล้วก็ส่งกลับในทันทีที่อ่านหัวข้อของมัน และแน่นอนว่าแค่กำลังใจนั้นไม่สามารถทำให้เขาเอาตัวรอดหรือพายเรือไปสู่ฝั่งฝันได้

เลิกที่จะเชื่อมั่นมันมานานแล้ว...

การแจกใบปลิวนั้นเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดในศตวรรษนี้ ที่เทคโนโลยีเป็นใหญ่จนแค่อัดเงินสักเล็กน้อยก็จะกลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน แต่เขาอยากเห็นแววตาของคนที่สนใจใน ‘ผลงาน’ ของเขา อยากเห็นมันกับตาตนเอง.... เขายังคงมีความหวังมากพอให้ยื่นมันออกไปข้างหน้า ยื่นกระดาษเหล่านั้นออกไปสู่สายตาใครบางคนที่หลักแหลมมากพอจะเห็นความทุ่มเท

มือแห้งกร้านขยำใบปลิว เฉกเช่นกับความยับย่นในบทภาพยนต์เมื่อครู่ การลงทุนทำหนังสั้นนั้นเป็นความเสี่ยงอย่างมหันต์สำหรับเด็กน้อยผู้ไม่ได้เติบใหญ่จากเถ้าธุลี ไม่ใช่นกฟินิกซ์แกร่งกล้าสามารถ ที่จะสามารถสละตัวตนหรือยอมให้ทุนจมเพื่อการตามล่าฝันได้

“เฮ้อ...” เรมี่ในชุดนักศึกษาพรูลมยาว เบื้องหน้าแม้จะเป็นผู้คน แต่ก็เหมือนวานรหรือเอเลี่ยนที่ไม่รู้จักหน้าค่าตา แตกต่างราวกับอยู่กันคนละผืนพิภพ

ขอแค่สักคนที่มองเห็นความพยายาม......

สักคน....

ในขณะที่เหม่อลอย ครุ่นคิดไม่หยุดพัก ดวงตาของเขาก็ฉายภาพของร่างผอมที่นั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ผู้กำกับของตน

‘กูคิดอะไรของกูวะ.......’ ถึงจะนึกตำหนิตนเองมากแค่ไหน แต่คนเราจะโกหกไปได้สักกี่น้ำกัน? 

นั่นยังเป็นคำถามค้างคาใจของเขาไม่เปลี่ยนแปลง...