‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
จอสีดำมืดถูกฉายแช่ชั่วขณะ ตามด้วยเสียงหวีดร้องดีใจจากคนเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าการถ่ายทำของวันนี้ไม่ได้ลากยาวมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“ตายเหรอครับ?”
นัทสึมิถามขึ้น ทั้งๆ ที่ตนเองมองฉากดังกล่าวจากเก้าอี้เท่านั้น โดยที่ป็อปที่คุมหน้าจอกล้องทั้งสี่ทิศก็ได้แต่ยักไหล่
“ก็ถามเขาเองสิ หนังของหมอนั่นดูยากจะตาย”
คำพูดดังกล่าวทำให้เจเน่รีบหันมาสวนทันที
“ตีความไม่เป็นเองหรือเปล่าอ่ะคะ?”
“อย่าคิดมากสิ ถ่ายให้จบๆ ก็พอไม่ใช่หรือไง”
“อาฮะ” เจเน่ตอบกวนๆ ถึงเธอจะอยากถกประเด็นตอนจบของหนังมากขนาดไหน แต่การถ่ายทำวนเวียนเกือบ 10 เทคก็ทำเอาเหนื่อยล้าไปทั้งตัว
“ขอบใจมากนะ” เรมี่เดินกลับมาหาทุกคน น่าแปลกที่แค่พูดคุยเกี่ยวกับภูมิหลังกันเล็กน้อย ก็ทำให้เทคดังกล่าวผ่านฉะลุยในครั้งเดียว โดยที่รูรินางเอกของเรื่องก็เดินกลับมาขอบคุณนัทสึมิถึงที่
“ขอบคุณนะคะ คิริโนะซัง”
“ยินดีครับ” นัทสึมิค้อมศีรษะให้ตามมารยาท ใบหน้าของนักแสดงหญิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความร่าเริง และไม่นานก็ก้มหน้าหลุบต่ำ แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปจับที่แขนเสื้อผู้กำกับ คล้ายกำลังเก็บซ่อนความกระอักกระอ่วนบางอย่างไว้
“เอ่อ คุณเรมี่คะ...”
“ครับ?”
“จริงๆ แล้วตอนแรกก็คิดว่าตนเองคิดมากไปเอง แต่แอบรู้สึกเหมือนเลือดที่ใช้ในรอบก่อน มันเหมือนของจริงเลยค่ะ เลยยังรู้สึกฝังใจหน่อยๆ...โชคดีที่พี่คนนึงเอาผ้ามาเช็ดตามแขนขาให้แล้ว แต่ยังรู้สึกคาวๆ อยู่เลย”
เรมี่คิ้วกระตุก เขาเผลอถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณของตนเอง เหงื่อพลายไหลย้อยไปตามขมับ
“ไว้ผมจะเช็กให้แล้วติดต่อกลับไปนะครับ อาจจะเป็นการเข้าใจผิดกัน...ยังไงก็อาบน้ำก่อนกลับอีกรอบได้นะครับ”
“รบกวนด้วยนะคะ”
ไอดอลหนุ่มเห็นบรรยากาศอึมครึมดังกล่าว จึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหวังให้ทุกคนคลายความกังวล
“แต่ยังไงก็สุดยอดมากเลยครับ ฉากเมื่อกี้ทำเอาผมขนลุกไปหมดเลย” เขารีบออกปากชม ลุกขึ้นยืนพลางประกบมือเข้าด้วยกันคล้ายพนมมือเอาไว้หลวมๆ แต่ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาเห็นแววตาของหญิงสาวที่หันมองมายังเขานั้นดูเขม็งเกร็ง ผิดปกติไปจากตอนที่คลี่ยิ้มคุยกับเรมี่
“งั้นตอนนายแสดงก็อย่าให้แพ้เขาละ” เรมี่ตอบสบายๆ โดยไม่ทราบถึงความผิดปกติใดๆ
“ฮึฮึ ครับ...” นัทสึมิหัวเราะในลำคอเบาๆ คำตอบฟังดูหนักแน่นฉะฉาน
ในสายตาเรมี่ตอนนี้ รวมๆ แล้วการกระทำของนัทสึมิคงเป็นนิสัยประจำตัว ที่ดูผิวเผินอาจจะเต็มไปด้วยเลศนัย แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงเจตนาร้ายอย่างที่คิด บรรยากาศระหว่างพวกเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง ความน่าพรั่นพรึงก่อนหน้านี้เริ่มจางหายเป็นปลิดทิ้ง เรมี่คุยงานกับเจเน่และคนอื่นๆ ก่อนจะหันมาขอบใจนัทสึมิอีกครั้งที่ช่วยพูดให้รูริเล่นได้ไหลลื่นสมบทบาท ไม่นานจึงขอตัวเดินไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับบ้าน
และพอผู้เป็นนายไม่อยู่ เจเน่จึงมีโอกาสมากขึ้น...
“คุณเจเน่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับ?” นัทสึมิหันไปถาม เมื่อเห็นคนตัวเล็กกว่ายื่นหน้าเข้าไปหาเกือบจะแนบชิด
“ก็แบบ...งื้อออ มันงื้อออ จริงๆ ...”
“ครับ?”
“เก้าอี้ผู้กำกับน่ะ ขนาดหนูเองยังไม่เคยได้นั่งเลยนะ” เจเน่ทำหน้าเง้างอน ประโยคดังกล่าวเหมือนจะบอกอะไรบางอย่างเป็นนัย โดยที่ตัวนัทสึมิก็ได้แต่ยิ้มตอบรับ
เป็นรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้เหมือนเคย....
“ก็เก้าอี้ตัวอื่นมันแข็งโปก ใครจะให้ไอดอลนั่งกันล่ะ” เสียงเนือยกล่าวขัด ทำให้เจเน่ต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ไนน์ที่เดินเช็กตามจุดต่างๆ
“พี่เงียบไปเลยค่ะ!”
“ก็มันจริงนี่ แหม ที่พวกกูละได้นั่งแต่เก้าอี้พลาสติก ฮี่ถ่อ”
“บุญไม่ถึงพอๆ กันนี่ล่ะค่ะ แล้วก็อย่าดับฝันหนูได้ไหมคะ? ....แต่...งื้อ ได้พล็อตกลับไปเขียนนิยายแล้ว ฮุฮุ”
นัทสึมิจ้องมองบานประตูทางออกสตูดิโอที่เรมี่พึ่งเดินผ่านไปแบบตาไม่กะพริบ ทำให้เจเน่ผู้เห็นท่าทางดังกล่าวต้องหันไปถามเพิ่มด้วยความสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงชี้ไปที่พนักเก้าอี้ที่มีรอยมือสีแดงคล้ายเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ หากมองไกลๆ ก็ไม่ต่างจากมือคนที่เผลอจับลงบนผ้านุ่มโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น แม้รอยนิ้วกับรูปทรงจะชัดเจนมากก็ตาม
“เอ๊ะ?” เจเน่กะพริบตาปริบ แต่เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรนัก จึงเรียกให้หุ่นยนต์พนักงานทำความสะอาดมาจัดการ
พวกเขาทั้งหมดพากันแยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็ดูตื่นตระหนกผิดปกติเมื่อรู้ว่าตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว หญิงสาวรีบเก็บข้าวของอย่างร้อนรน ไม่วายจะรีบยัดรองเท้าส้นสูงเข้าตู้เก็บของอย่างไม่เป็นระเบียบ จนส้นปลายแหลมเกยกับแฟ้มเอกสารสีฟ้าด้านใน ระบบจัดเก็บบีบอัดพวกมันเข้าด้วยกัน ไฟสีแดงขึ้นโชวืเพื่อเป็นสัญญาณของการล็อคกุญแจ
“ปะ ปะ ไปก่อนนะคะ ไม่อยู่แล้ว!”
หญิงสาวรีบยกมือไหว้เรมี่ผู้ยืนดื่มโคล่าอยู่หน้าตู้ อากัปอาการของเธอดูตื่นกลัวจนตาเบิกโพลน ท่าทางการวิ่งดูรีบร้อนคล้ายถูกอะไรวิ่งไล่กรวดหรืออาจจะแค่ต้องการออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ผิดกับเขาที่ใจเย็นอยู่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วมองย้อนเข้าไปในตัวอาคารที่ปิดไฟมืดจนไม่เห็นสิ่งใด
เขาเดินไปส่งนัทสึมิที่ลานจอดรถในตัวอาคาร มันรวมเอาทั้งสตูดิโอของเขาและสำนักงานอื่นเข้าไว้ด้วยกัน ยานพาหนะรูปทรงประหลาดจึงคละกันจนเหมือนเครื่องมือวิเศษของหุ่นยนต์แมวสีฟ้าและรถยนต์ในหนังแนวล้ำยุคในสมัยก่อน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะเขากลับมีคำถามชุดใหญ่ในหัว เพราะตั้งแต่เช้า เขาก็ไม่รู้ว่าคนๆ นี้เดินทางมาด้วยยานพาหนะอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านำรถหรือ hoverboard มา เพราะตามปกติแล้วก็ควรจะแจ้งกันสักนิดเพื่อจะได้สแตมป์บัตรจอดรถดิจิตัลให้
แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไป ก็ต้องหยุดชะงักเอาดื้อๆ เมื่อพบว่าคนตรงหน้ากำลังปีนขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซด์คันสีดำขลับ ซึ่งดูหรูหรากว่าของป็อปเมื่อเช้าหลายเท่า ดีไซน์ไม่ต่างจากพวกยานพาหนะในหนัง sci-fic รู้ตัวอีกที เหงื่อไคลก็แตกพลักด้วยความหวั่นเกรง
‘รถแพงขนาดนี้ ไม่ยอมมาเข้าระบบไว้ หายไปก็ซวยผมสิวะ’ เขาบ่นอุบอิบในใจ ไม่เข้าใจความสบายๆ แบบพิเรนท์ของคนตรงหน้าที่หยิบหมวกกันน็อคทรงกลมซึ่งทำจากวัสดุมันเงาขึ้นมาสวมใส่
“ขึ้นมาสิครับ”
“หา?”
“วันนี้ยังไงผมก็จะกลับไปค้างบ้านเพื่อนผมอยู่แล้ว พวกเราอยู่ใกล้กันพอดีครับ”
“เฮ้ยๆ...”
ถึงจะบอกว่าตัวเขาเอา hoverboard มาทำงาน แต่มันก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะเขาสามารถทิ้งมันไว้ที่นี่ได้อย่างไร้ข้อกังขา แถมถ้าไปด้วยกันสองคนก็จะช่วยลดมลพิษและต้นทุนได้ เป็นเรื่องที่เด็กประถมเองก็สามารถตระหนักรู้
เลยกลายเป็นข้อผูกมัด ให้คำตอบของผู้กำกับหนุ่มตอบได้เพียงคำตอบเดียวแบบดิ้นไม่หลุด
“อื้อ เอาสิ”
ตอบรับพลางขึ้นคร่อมด้านหลัง เว้นระยะห่างระหว่างกันและกันเล็กน้อย มือหนึ่งก็จับบนไหล่ของคนข้างหน้าแบบหลวมๆ
“ไม่ต้องนั่งไกลขนาดนั้นก็ได้ครับ” คนขับทักท้วง แม้จะซ่อนสีหน้าไว้ใต้หมวกกันน็อค แต่ก็พอฟังออกจากน้ำเสียงว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ระ เหรอ...ไกลไปเหรอ?”
“อีกนิดก็ตกรถแล้วครับ”
เรมี่เกาแก้มแก้เก้อ ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น แต่ก็ยังเว้นระยะห่างเล็กน้อยอยู่ดี เขาไม่จำเป็นต้องสวมหมวกกันน็อค เพราะยังไงก็มีระบบช่วยชีวิตติดตัวทุกคนอยู่แล้ว แต่นัทสึมินั้นแตกต่างออกไป เพราะใบหน้าของไอดอลและดาราเป็นเครื่องมือทำมาหากิน จึงไม่แปลกที่ต้องระวังหน้าระวังหลังมากกว่าใคร
มอเตอร์ไซด์คันสีดำเคลื่อนตัวไปตามถนนโล่ง มีเพียงรถยนต์ทรงกลมคันหนึ่งวิ่งมาขนาบข้าง แต่ก็ชะลอตัวก่อนจะเลี้ยวไปทางอื่น เหลือไว้เพียงพวกเขาสองคน
“คุณอาจจะ ไม่เชื่อก็ได้ แต่ผมอยากเล่นจริงๆ นะ ดอกไม้แห่งฤดูหนาวสีชาดของคุณน่ะ” นัทสึมิพูดขึ้น ทั้งดวงตายังจ้องไปยังท้องถนนเบื้องหน้า น้ำเสียงนุ่มละมุนที่ติดโทนต่ำกว่าทุกครั้งแฝงเร้นความแน่วแน่
“งั้นรึ...”
เขาไม่ได้ตอบอะไรให้มากความแต่ภายในใจของเขากลับฟูฟ่อง แข่งกับแรงขับเคลื่อนของยานพาหนะที่เคลื่อนตัวไปตามโทรลเวย์ด้วยความรวดเร็ว สายลมยามอยู่ใกล้ชิดพื้นเป็นเรื่องหายากสำหรับเรมี่ เขาเพลิดเพลินกับไปแสงสีเสียงยามค่ำคืน จากมุมด้านล่างก็นับเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา การเดินทางที่ไร้บทสนทนาเพิ่มเติม ไม่ได้ทำให้รู้สึกเปลี่ยวเหงาอย่างที่คิด กลับกันแล้ว ทั้งคู่ต่างก็มีเวลาส่วนตัวของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตกันและกัน
ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครชอบเรื่องนั้นเลยแท้ๆ นะ
มือขวาของเรมี่กำชับไหล่ลาดเมื่อความเร็วของยานยนต์เริ่มเพิ่มขึ้น ไม่นานจากภาพด้านข้างที่เคยน่าอภิรมณ์ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความพร่าเบลออย่างไม่ทันตั้งตัว
“เร็ว....”
และถึงจะฉวัดเฉวียนมากแค่ไหน สุดท้ายก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยอยู่ดี...
ชายหนุ่มลงจากที่นั่งผู้โดยสาร กล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมงานใหม่ที่พามาส่งถึงล็อบบี้หน้าคอนโดมิเนียม ภาพทุกอย่างตัดไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขาพึ่งได้ซ้อนท้ายคนตรงหน้าไม่กี่นาทีที่แล้ว มอเตอร์ไซด์เนื้อมันวาวสะท้อนแสงไฟจากด้านใน สายลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ปอยผมสีเทาปลิดปลิว
“เจอกันพรุ่งนี้”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
เขาส่งยิ้มให้ แล้วจึงโบกมือลาหวอยๆ ทว่าสายตาเจ้ากรรมก็พึ่งจะมองเห็น ถึงสิ่งที่อยู่ตรงที่วางของด้านหน้า บริเวณหัวเข่าของคนขับ
‘ใบปลิวนิทรรศการหนังสั้นของเรา?’
กระดาษที่ถูกปริ้นท์อย่างดีเริ่มขึ้นสีเหลืองจางๆ ตรงหัวมุม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรออกไป รถมอเตอร์ไซด์เคลื่อนตัวออกไปตามเส้นทาง แล้ววนขึ้นไปบนตึกข้างๆ ก่อนจะเลี้ยวหายลับตาไปตรงบริเวณทางเข้าสำหรับยานพาหนะ
นั่นคือภาพสุดท้าย ที่เขาจำได้ก่อนจะกลับไปจมกับคำถามมากมายที่พึ่งเกิดขึ้นในวันนี้ เขาพลูลมยาวกับตนเอง นึกทบทวนทุกเรื่องราวเท่าที่จะนึกออก ภาพใบหน้ายามไอดอลชื่อดังนั่งฟังเขาแลกเช่อด้วยความตั้งอดตั้งใจลอยขึ้นมาในความคิด
“ถึงจะเป็นคนแปลกๆ แต่ก็ไม่มี...พิษภัยล่ะมั้ง...”
ว่าพลางยิ้มน้อยๆ กับตนเอง ภาพใบหน้าของนัทสึมิยามพยายามเล่นบทที่ไม่เข้ากับตนเองนั้นดูน่ารักน่าชัง ความพยายามเพื่อจะเอาชนะใจเขาเพื่อให้ได้เล่นภาพยนต์ที่แม้แค่วางโครงร่างก็ยังทำให้สมบูรณ์แบบไม่ได้ มันช่างน่าขันจนยากที่จะบรรยายความรู้สึกเป็นคำพูด จะดีใจหรือเสียใจ ก็ไม่อาจแน่ชัดกับตนเอง เขายีหัวตัวเองสองสามครั้งแล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าตึกสูง
หน้าจอใสปรากฎขึ้นเบื้องหน้า เจ้าของห้องเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาก็ไล่อ่านบทความต่างๆ เพื่อนำมาต่อยอดผลงานตนเอง แต่ละหัวข้อผ่านตาไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ในที่สุดก็สะดุดตากับหัวข้อหนึ่ง คนเท้าคางกับโต๊ะทำหน้าเหยเกทันที
“วิธีจีบคนด้วยความค้างคา”
เขาอ่านตามด้วยโทนเสียงราบเรียบ เลิกคิ้วมองด้วยความฉงน
“การเข้าประชิดด้วยคารมณ์อาจจะใช้ไม่ได้แล้วในสมัยนี้ คนเรามักจะรู้สึกต่อต้านคนที่นำเสนอตนเองมากเกินไป... อืม....”
ข้อความยังคงถูกอ่านต่อไป จนกระทั่งสะดุดกับทฤษฎีฟังดูยกเมฆทั้งก้อน
“Zeigernik effect?”
นั่นเป็นหลักการที่เด็กนิเทศน์ศาสตร์แทบทุกคนรู้จักดี ว่าด้วยการทำให้ผู้รับชมรุ้สึกค้างคาใจ การทิ้งปมปิดบท หรือกระทั่งใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้บริโภคเกิดคำถามและอยากไปต่อกับผลงาน ทว่ามันกลับฟังดูตลกร้ายเมื่อมันถูกหยิบยกมาอธิบายเรื่องความรักพร้อมภาพประกอบเป็นตุเป็นตะ
แต่ถ้าถามว่ามันทำให้สนใจอีกฝ่ายจริงไหม....?
ดวงตาคมหรี่ลง ในหัวสมองก็ควานหาความทรงจำที่พึ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ความสนใจของเขาต่อคิริโนะ นัทสึมิ นั้นเกิดจากความค้างคา ทั้งไม่เข้าใจในตัวตน ไม่เข้าใจเจตนา ทั้งไม่ไว้วางใจในคำพูดชื่นชมเช่นนั้น แม้กระทั่งจุมพิตในวันนั้น...
“ไม่สิวะ...!” เขารีบส่ายหัวไปมา หวังไล่ความคิดสัปดลที่ตีเข้ามาอย่างอุกอาจ
‘ภาพโฮโลแกรมจำลองนั่นไม่ใช่ของจริง คงถูกตั้งไว้ให้เซอร์วิสใครสักคนอย่างหยาบๆ...’
นั่นคือคำตอบที่เขาสรุปให้ตนเองอย่างหลวมๆ ก่อนชะโงกหน้ามองออกไปยังบานกระจกใส ซึ่งฉายให้เห็นทิวทัศน์ของตัวเมืองยามค่ำคืนและดวงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า
ถ้ามันเป็นเจตนาที่ ไม่ต่างจากเหล่าดาวสุกสกาวดวงอื่น ก็แค่ใช้ประโยชน์จากการโคจรของมัน ก็เท่านั้นเอง...