‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

Remii-I - บทที่ 6 Solid, failure โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii-I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ

รายละเอียด

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

 

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ 

 

Remii-I

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'

และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง

งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?

-----------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง

*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*

-------------------------------

Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)


 

Remii-I

Author: RemyGravity

Cover Illustration: Sun Moon

Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller

 

จากนักเขียน*

*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*

*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*

สารบัญ

Remii-I-บทที่ 1 Your smile,Remii-I-บทที่ 2 Collapse,Remii-I-บทที่ 3 Light Kiss,Remii-I-บทที่ 4 Vague Shadow,Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 1),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 2),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Final Act),Remii-I-บทที่ 6 Solid, failure,Remii-I-บทที่ 7 Break

เนื้อหา

บทที่ 6 Solid, failure

‘ฝน’ คือสิ่งที่นานทีปีหน มือซีดเซียวของเขาจะได้สัมผัส ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่เคยเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ ทั้งเฉอะแฉะ สกปรก ปนเปื้อน หนาวเหน็บ แต่ก็โรแมนติกจนไม่อยากละสายตา

ทั้งหมดนั่นคือภาพเคลื่อนไหวพักหน้าจอของเรมี่ เสียงเปอะแปะเบาๆ เหมือนดั่งเพลงคลอให้จมสู่ห้วงนิทรายาวนาน และไม่นานก็ถูกขัดด้วยเสียงแจ้งเตือน ที่แม้จะดังพัยงแค่เสี้ยววินาที แต่ก็ทำให้หัวเสียได้นานเป็นวัน ชายหนุ่มสะลึมสะลือ ภายในห้องที่แสงสลัวเบาบางจนเกือบมืดทึบ เขาจับจ้องไปยังหน้าจอลอยได้ด้านข้าง พยายามปรับโฟกัสดวงตาว่าสิ่งใดปรากฎอยู่บนนั้น 

“วันนี้หลัง 4 โมงเย็น ระบบปรับสภาพอากาศของเมืองจะถูกปิดซ่อมแซมชั่วคราว ฉะนั้นจะมีฝนตกในช่วงเวลาดังกล่าว....งืม...”

เขาปัดนิ้วสองครั้ง เพราะมีแจ้งเตือนทับถมกันจนกลายเป็นกรอบซ้อน นอกจากอีเมลขยะแล้วสิ่งที่ทำให้เขาไม่ปัดผ่านก็เห็นจะเป็นการ์ดเชิญจากสมาคมศิษย์เก่าให้ไปงานรวมรุ่นประจำปี เนื้อหาด้านในไม่ได้มีอะไรหวือหวาเป็นพิเศษ ก็แค่อีเว้นท์รวมตัวของเด็กหนวดที่จบชั้นมัธยมมาด้วยกัน แต่แทบจะลืมหน้าค่าตากันไปแล้ว วันเวลาตามนัดหมาย แม้จะสะดวกสบายกับคนอื่น แต่กับชีวิตผู้กำกับมือทองอย่างเขา ถือว่าเป็นขั้วตรงข้าม

แม้จะยังไม่มีคำตอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปฏิเสธ อีเมลนั่นเลยถูกดองเอาไว้ เหมือนงูในโหล

ยังเหลือเวลาอีกตั้งนาน กว่าจะถึงเวลาตื่น....

“หืม?”

เดี๋ยว....

 

เขากะพริบตาปริบ รีบผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกาอีกหน ไม่วายจะแข็งค้างไป เมื่อพบว่าเลขที่ปรากฏตรงหน้าคือเลข 8 และ 12

“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย ละกูลืมตั้งนาฬิกาปลุกเมื่อคืน เวรเอ้ย!”

ผ้าห่มผืนหนาถูกเหวี่ยงออกไปกองอยู่ปลายเตียง ร่างผอมซูบรีบวิ่งแจ้นทำกิจวัตรประจำวันด้วยความเร่งด่วน ทั้งระบบอาบน้ำที่ถูกปรับเป็นแบบไวที่สุด ทั้งแซนวิชในตู้ที่ถูกอบด้วยระบบสั่งการ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที หากยุคนี้ยังมีบันไดอยู่ ก็คงไม่วายจะหัวขมัมคาพื้น ชีวิตของเขาวุ่นวายจนหน้าจอมือถือที่โทรค้างเอาไว้ก็ยังไม่ถูกปัดกลับมาที่เดิม

เขารีบเปิดตู้เพื่อหวังคว้า hoverboard เหมือนอย่างเคย แต่ความว่างเปล่าก็ทำให้ต้องชะงักงัน ทรงผมที่ถูกเซ็ทไว้เริ่มชี้โด่ชี้เด่อีกครั้ง เมื่อนิ้วยาวออกแรงขยี้จนเละตุ้มเป๊ะ

“ลืมไปเลย.......ก็เมื่อวาน.......”

เมื่อวานไม่ได้เอาบอร์ดกลับบ้าน แล้วถ้าจะให้ไปด้วยรถโดยสารสาธารณะ ก็คงจะสายกว่าเดิมอีกเท่าตัว หนทางเดียวที่เขาพอจะทำได้ ก็คงจะมีทางเดียวเท่านั้น

“มิเรย์ ยืมหน่อยนะ...”

เขาไหว้อากาศ ก่อนจะคว้าเอาบอร์ดสีชมพูออกไป หากจะให้พูดกันตามตรงแล้ว จริงๆ มันก็เป็นทรัพย์สมบัติของเขาเช่นกัน เพียงแต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าให้หาคำนิยามใกล้ๆ ก็คงไม่ต่างจากการขโมยเอาเสื้อผ้าลูกสาวมาสวมใส่ 

ยานพาหานะออกตัวไปตามถนนสายพิเศษ การแจ้งเตือนเกี่ยวกับสภาพอากาศตอนเย็นถูกประกาศย้ำเป็นระยะๆ เรมี่เหลือบเห็นเด็กน้อยที่วิ่งไปมา ตรงระเบียงอาคาร ดูจากสีหน้าเบิกบานนั่นแล้ว คงเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสน้ำฝนยามเย็น กลายเป็นปรากฎผิดแปลก ผิดธรรมชาติไปเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่มนุษย์ฝืนธรรมชาติ จนกลายเป็นขีดเส้นแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจน จากที่ไม่เคยโบยบิน ก็กลายเป็นลอยตัวเหนือนน่านฟ้า นึกกบฎต่อแรงโน้มถ่วง และจนท้ายที่สุด ก็ควบคุมทุกอย่าง ไม่เว้นระบบนิเวศน์ แต่การที่ระบบพวกนี้ยังต้องมีการเปิดปิด เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติ แม้จะนานทีปีหนก็คงจะเป็นสัญญาณที่ดี

‘ว่ามนุษย์สุดท้ายก็เอาชนะอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่มีทางครอบงำสิ่งใดได้สมบูรณ์แบบ’

 

รวมถึงมิอาจ หาความยุติธรรมให้ทุกคนบนโลกได้อย่างเท่าเทียม...

 

ห้องล็อคเกอร์เก็บของ มีพื้นที่มากพอให้พนักงานทุกระดับชั้นได้เก็บรักษาสัมภาระ รวมถึงบอร์ดต่างๆ หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น แม้มันจะเป็นเพียงหน้าจอติดกำแพงและมีช่องว่างให้หย่อนของเข้าไป หน้าตาไม่ต่างจากช่องรับของของตู้คีบตุ๊กตาที่ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ยังนิยมลองของกัน จากนั้นเครื่องจักรภายในจะพาให้ข้าวของต่างๆ ไปเก็บให้เป็นสัดส่วน แต่ก็มีประสิทธิภาพพอที่จะจุสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ 

“เอ้า คนมันมีความรัก เลยใช้รถสีชมพูเลยนะ” เสียงยียวนกวนประสาทดังต้อนรับผู้มาเยือน ป็อปฉีกยิ้มกว้างยามได้เอาคืนคนบ้างานที่มักถือไพ่เหนือกว่าเขา

“แค่นี้ มึงก็เอาเนอะ” เรมี่บอกปัด แล้วจึงส่งตัวบอร์ดเก็บเข้าไปในชั้น 

“แล้วมิเรย์เป็นไงบ้าง?”

“พวกวิศวกรกับด็อกเตอร์ยังไม่ติดต่อมาเลย...” 

เขาหลุบตาลง น้ำเสียงแผ่วเบาแอบแฝงความสะเทือนใจ

“ไม่เป็นไรนะ”

ป็อปตบบ่าเพื่อนสนิท แล้วจึงลุกเดินนำออกไปข้างนอกก่อน ทิ้งไว้ให้ผู้กำกับหนุ่มได้ตกตะกอนความคิด

เรมี่หย่อนตัวนั่งบนม้านั่งสีใส เนื้อสัมผัสมันเหมือนกับเป็นลูกโป่งหนาที่ด้านในมีน้ำเย็นๆ คอยโอบอุ้มร่างกายของเขา ดวงตาคมหลับลง นึกทบทวนตนเองเงียบๆ

ทั้งๆ ที่ครอบครัวเพียงคนเดียวไม่อยู่ข้างๆ แต่กลับรู้สึกชินชากับมันตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้....

ทั้งอาทิตย์นี้ จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับงาน และ..คิริโนะ นัทสึมิ...

ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธหนักแน่น บางทีตัวเขาอาจจะต้องประคองสติตนเองให้ดีกว่านี้ ถึงจะสามารถกลับมารักษาฟอร์มเดิมของตนเองได้ และถ้าหากมิเรย์กลับมา ความกระวนกระวายในอกอาจจะหายเป็นปลิดทิ้งอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ความสนใจในตัวนัทสึมิก็จะหายไป 

เพราะว่าตอนนี้ตัวเขาแค่ไม่ถูกเติมเต็มเท่านั้น 

มันก็แค่นั้นเอง...

 

“นี่...” 

เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากอีกฟากฝั่ง ก่อนที่ร่างสูงชะรูดของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคาย สันกรามคมชัด ริมฝีปากบางสีเนื้อแห้งผาก และผมทรงเสยขึ้นซึ่งมีเนื้อมันวาว ประกอบกับชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเข้าคู่กับกางเกงสแลค ก็ยิ่งส่งให้เขาดูภูมิฐานมากขึ้นไปอีก

“พี่กอล์ฟ!”

เรมี่รีบลุกขึ้นพรวดพราด ทำความเคารพผู้เป็นรุ่นพี่และโปรดิวเซอร์ที่แทบจะกลายเป็นคู่บุญของตนเอง 

“ได้ข่าวไปเก็บลูกแมวข้างทางมา?” น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวถาม โดยที่ผู้ฟังสัมผัสได้ว่ามันแฝงเร้นความกดดันกรายๆ ตามปกติแล้วกอล์ฟจะเป็นคนคารมณ์ดีและติดล้อเล่น แต่ถ้าเป็นเรื่องงานนั้นกลับตรงกันข้ามคนละขั้ว

“มัน...เฮ้อ ซับซ้อนน่ะครับ” 

เรมี่ทำหน้ายุ่งยากใจ เม้มริมฝีปากแน่นแล้วเอียงคอไปด้านขวา

“จะทำอะไรพิเรนท์ๆ เพื่อให้งานมันออกมาสมบูรณ์แบบ มันก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่...” 

สิ้นสุดคำสุดท้าย มือหนาก็ยกขึ้นจับไหล่คนตัวเล็กกว่า จับจ้องไปในดวงตาวูบไหวคล้ายกำลังพินิจพิเคราะห์ มืออีกข้างก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีข้อความพร่ำด่าที่ถูกเขียนด้วยรอยเลือดเต็มไปหมด ตามด้วยผ้าเช็ดหน้าชุ่มเลือดที่มีชื่อสต๊าฟคนหนึ่งถูกเขียนทับเอาไว้ กอล์ฟโบกมันไปมาสองสามครั้งจึงพูดขึ้นต่อ

“พี่ว่าแกไม่ใช่คนโง่นะ”

“พี่จะหลอกด่าผมรึไง?”

“เฮ้ย คิดมาก พี่แค่เป็นห่วง” 

กอล์ฟส่งยิ้มกวนฝ่าเท้าให้ ก่อนจะยีผมสีเทาของรุ่นน้องจนฟูฟ่อง

“ใจเย็นพี่!...”

“ถ้าเรื่องนั้น พี่พอจะมองข้ามได้ แต่มารยาผู้หญิงน่ากลัวแล้ว อย่าคิดว่าผู้ชายไม่มีนะน้องเอ้ย...” 

เรมี่พยักหน้ารัว เขารู้ดีว่าสิ่งที่กอล์ฟเปรยหมายถึงอะไร เพราะหลังจากเรื่องเมื่อคืนก่อนๆ ก็พอจะเดาได้ว่าตัวเองกำลังเดินเข้าสู่กับระเบิดเต็มไป ถ้าก้าวขาผิดข้างก็บึ้ม...ในทันที...

“มันจำเป็นน่ะครับ....ภรรยาผมป่วย” 

“เมียป่วยรึ เฮ้อ กรรมเวรของแกจริงๆ มี่เอ้ย ปะ ไงพี่พาไปเลี้ยงเมดคาเฟต์” ว่าพลางโอบไหล่รุ่นน้อง เตรียมพาออกไปยังประตูทางออก โดยที่ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดยังอยู่ในสายตาป็อปที่อดรอบขำไม่ได้

“ขอปฏิเสธครับ!”

เรมี่ดิ้นหลุดออกจากพันธนาการ แล้วจึงรีบสาวเท้ากลับไปยังจุดสแตนด์บาย

“เออ เอาสองคนนั้นกับไอดอลมาเล่นน่ะ อย่าลืมบอกไอ้ ‘ม่อน’ มันด้วยนะ ไม่งั้นชิพหายกันแน่ๆ” พี่กอล์ฟตะโกนไล่หลัง แม้ประโยคจะดูไม่จริงจังมาก แต่ก็แฝงไปด้วยความกดดันกรายๆ

เรมี่ยกนิ้วโป้งขึ้นให้รุ่นพี่ครั้งหนึ่ง เขาหันตัวกลับไปอีกฝั่งแล้วจึงออกวิ่งไปเรื่อยๆ...

 

 

“ข่าวสลดเช้านี้ ได้เกิดเหตุการณ์....”

เสียงประกาศข่าวยามเช้าแว่วดังเข้าหู แม้ได้ยินมัน แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย มือของเขายังคงจดไอเดียต่างๆ ลงสมุดโน้ตประจำตัว เก้าอี้ผู้กำกับในวันนี้ถูกจับจองด้วยผู้เป็นเจ้าของ และไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหนจนกว่าสิ่งที่ตนเองคิดได้จะถูกจารึกไว้บนกระดาษสีขาวทั้งหมด

“ป๊า วันนี้เราถ่ายแค่ตัวโปรโมทใช่ไหม?”

เจเน่เดินมาเกาะพนักพิงเก้าอี้ ดวงตาดูลุ้นระทึกกับคำตอบ 

“อา แค่นั้นแหละ”

“เย้!”

เด็กสาวแสดงอาการดีใจอย่างไม่ปิดบัง เพราะถ้าหากคนตรงหน้าไม่โกหก นั่นก็แสดงว่าวันนี้มีงานให้ทำแค่ครึ่งวันเท่านั้น สำหรับพนักงานเงินเดือนแล้ว ก็ถือเป็นกำไรชิ้นงามของชีวิตก็ว่าได้ เสียงผู้ประกาศข่าวยังคงดังต่อเนื่อง แม้บางเนื้อความจะขาดแหว่งไปบ้างเพราะเขาไม่ได้ใช้สมาธิจดจ่อกับมัน แต่ภาพของศพที่ถูกเบลอก็ยังกระตุ้นจิตสำนึกได้ดี 

“โดยสภาพศพนั้นแห้งกรังจนแทบจะเหลือแต่กระดูก เรียกว่าแทบไม่เหลือเลือดสักหยดก็ว่าได้ค่ะ คาดว่าผู้เสียชีวิต...”

เจเน่หันมองภาพข่าวที่อยู่หัวมุมห้อง เธอถอนหายใจยาวกับความน่าสลดใจ

“วันนี้ถ้าเตรียมของเสร็จแล้วก็ถ่ายได้เลยนะ” เรมี่บอกกับเด็กสาว ซึ่งเธอก็หันมายิ้มตาเยิ้มทันทีที่พบว่ามีเงาของใครบางคนประชิดตัวอีกฝ่าย

“แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ?”

“ก็ว่าจะออกไปถ่- .......หืม?”

กว่าจะรู้สึกตัว คนถามคำถามก็เลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างตัวเสร็จสรรพ ผู้กำกับหนุ่มกะพริบตาปริบ ไม่คาดฝันถึงการปรากฏตัวชวนระทึก ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม

“คิริโนะ...”

“ครับ?”

“มาตั้งแต่เมื่อไร?”

“นานแล้วครับ”

“อือ...”

ชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของไอดอลหนุ่มดูหม่นลง ปากกาในมือถูกวางบนกองกระดาษตรงหน้า บทสนทนาระหว่างพวกเขาดูน่าประหลาด หากเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ที่มีการทักทายกันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ และก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นความอึมครึม ชายหนุ่มจึงต้องหาเรื่องพูดคุยเพื่อปรับบรรยากาศ

“วันนี้มีแค่ถ่ายโปสเตอร์โปรโมท คงไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรหรอกนะ” เขาตอบปัดๆ 

“ครับ ไม่เป็นไรครับ”

เสื้อผ้าของไอดอลหนุ่มวันนี้เป็นเสื้อคอปิดเนื้อดีสีชมพู มีลายข้าวหลามตัดไขว้กันไปมาดูลายตา สวมกางเกงขาเดฟสีดำและหมวกเปเลต์สีครีมอ่อน ตรงกันข้ามกับเรมี่ที่เลือกจะใส่เชิ้ตสีดำและกางเกงขาสั้นถึงหัวเข่า พอยืนใกล้กันแล้วก็ยิ่งเสริมให้อีกฝ่ายดูออร่ามากกว่าเก่า เป็นสองขั้วที่ไม่มีวันลงเอยหรือบรรจบกัน

‘หยินกับหยาง...’

นั่นคือภาพทับซ้อน ปรากฎอยู่ตรงกำแพงฉากที่ใช้ถ่ายทำวันนี้ นัทสึมิยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็น ทำให้อีกคนต้องรีบกางมือปกปิดหน้ากระดาษ

“จะดูอะไร?”

“เปล่าครับ แค่เผอิญประโยคเมื่อกี้ที่คุณเขียน มันสะดุดตาไปหน่อย”

เขาสารภาพตามตรง ไม่ได้มีท่าทีจะบิดเบือนให้ตัวเองดูเป็นคนดีเกินจริง เรมี่จึงนึกสงสัยในประโยคดังกล่าว 

ชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนมือออกแล้วพิจารณาน้ำหนักปากกาที่พึ่งตวัดลงบนหน้าสีขาวอีกครั้ง ก่อนจะเข้าใจว่าเผลอลากหางปากกายาวเหยียดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งน่าจะเกิดจากความเครียดที่สะสมอยู่ลึกๆ

“ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ?”

“อะ...”

เขาส่งสมุดให้อย่างว่าง่าย ราวกับสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ เล็บหัวนิ้วโป้งสีชมพูอ่อนถูกยกขึ้น แล้วถูกขบกัดเบาๆ 

“นี่...” เรมี่ส่งเสียงถามออกไป คนที่ยืนอ่านพล็อตก็ดูจะมีสมาธิจนหลงลืมโลกรอบตัว

“คุณดูไม่มีความสุขเลยนะครับ” 

คำพูดสั้นๆ บาดแทงเหนือความคาดหมาย ราวกับห่าฝนที่ตกลงอย่างไม่ทันได้เตรียมใจ

“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ปฏิเสธหรอก...” เขาตอบเสียงเนือย พลางโน้มตัวพิงพนักเก้าอี้

นิ้วมือเรียวพลิกสมุดโน้ตไปทีละหน้า แพขนตายาวกระพือขึ้นลง ดวงตากลมไล่อ่านตั้งแต่หัวจรดปลายหน้ากระดาษ 

“สนุกเหรอ?” 

“คิดว่ามันน่าสนใจดีครับ”

“เห ไอดอลเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยแหะ”

สมุดโน้ตถูกส่งคืนเงียบๆ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับเรียบนิ่งอย่างผิดวิสัย ทำให้เจ้าของสมุดเกิดความฉงนใจอยู่ครามครัน

“ไม่ได้มีแต่คุณเท่านั้นหรอกครับ ที่โลกใบนี้ไม่แฟร์ด้วยน่ะ”

เป็นครั้งแรกที่นัทสึมิสวนคนอื่นเสียงแข็ง ราวกับภาพลักษณ์ที่เรมี่จำได้นั้นพังทลายลงต่อหน้าต่อตา จากดวงตาที่เคยมองอย่างล้อเลียนกลายเป็นความเคร่งเครียดเข้าแทรกแทรง น้ำเสียงที่เคยติดการเหน็บแนม กลับแผ่วเบาราวกับไม่อยากเอื้อนเอ่ย

“นาย...”

“ขอโทษครับ พอดีผมเผลอตัวไปนิดหน่อย...”

เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าตึงเครียดกลับมายิ้มร่าเหมือนดั่งเคย ไม่ต่างจากหน้าจอมือถือที่ถูกปัดไปหน้าอื่น 

 ‘ไม่... ไม่ใช่นิดหน่อยเลย ....’

ถึงเขาจะไม่ได้สนิทกับนัทสึมิ แต่ความรู้สึกที่เปิดปิดได้แบบนั้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกใจหายมากกว่าเก่า แต่สิ่งที่น่าหวั่นวิตกมากกว่า คงจะเป็นความหมายของประโยคเมื่อครู่นี้

เรมี่รู้ดีว่าหนังที่เขาถนัดมักจะเป็นแนวเสียดสี ตีแผ่ หรือกระทั่งเล่นกับจิตใจผู้คน ฉะนั้นการตอกหน้าเมื่อครู่ ก็ไม่ต่างจากถูกรู้ทันความคิดตื้นเขินของเขา

ใช่ ...เพราะทุกอย่างที่เรมี่คิด เกิดความเกลียดชังต่อโลกใบนี้ ทั้งสภาพแวดล้อม ผู้คน และความเท่าเทียมโป้ปด ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ ที่เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่างานสุดท้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข มันถูกสร้างขึ้นเมื่อไหร่ หากให้นำจำนวนผลงานที่เคยทำเอาไว้ มาเทียบเป็นกราฟทรงกลม พื้นที่สีดำคงกลืนกินสีขาวจนแทบมองไม่เห็น

เป็นหยินหยาง ที่บิดเบี้ยวอย่างไม่ต้องสงสัย.....

 

ร่างผอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ สบตากับคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว 

“ขอบคุณนะ” 

คำขอบคุณของผู้กำกับหนุ่มทำให้อีกฝ่ายเบิกตาขึ้น ใบหน้าฉายแววความงงงวยอย่างไม่มีการปิดบัง

“ทำไมต้องขอบคุณล่ะครับ?”

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่....” 

เขาพูดพลางยืดเส้นยืดสาย ชูแขนขึ้นเหนือหัวแล้วกลับมานวดไหล่ของตนเอง ก่อนจะพูดต่อ

“ยังดีที่นายไม่ได้บอกให้เปลี่ยนแนวงานเพื่อให้มันขายได้อานะ”

เรมี่ยิ้มกว้าง มือขวาก็ชี้ที่อีกฝ่ายเหมือนเป็นการย้ำเตือนว่า ‘นายเป็นคนที่แตกต่าง’ เพราะตั้งแต่เข้ามาทำงานในวงการนี้ หากไม่ใช่ทีมงานตนเองแล้ว เกือบจะร้อยทั้งร้อยที่มักจุ้นจ้านและหวังดีประสงค์ร้ายจนน่ารำคาญ

‘แนว Boy love ขายดีกว่านะ’

‘งานแกไม่สนุกอะ มันดูไปช้าๆ ไม่มีอะไรหวือหวา’

‘ต้องทำแนวตลาดสิ แนวรักๆ ขายดีนะ’

เป็นคำพูดที่ฟังจนนึกเบื่อหน่าย หากวอนของพระเจ้าได้ ก็คงอยากได้คนที่เข้าใจความลึกล้ำของไอเดียพวกนี้ เขาคิดกับตนเอง โดยที่เรียวขาก็ก้าวเดินนำออกไปเพื่อเตรียมตัวถ่ายทำ

ส่วนอีกฝ่าย ก็ยังจับจ้องไปยังกระดาษแผ่นล่าสุดที่สมุดโน้ตกางอ้าเปิดออก เผยให้เห็นประโยคสั้น ที่ปลายตัวอักษรตัวสุดท้ายมีหางตวัดยืดยาวจนตกกระดาษ

‘โลกที่คนดี ไม่ได้ดีเท่าคนมีเสน่ห์เนี่ย น่าเศร้าจังเลยนะ...’

นัยน์ตาสีแดงฉานหรี่ลง ด้านในสะท้อนข้อความดังกล่าว ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มละไมออกมาเหมือนทุกครั้ง

เสียงจอแจจากประตูทางเข้ากระทบหู เรมี่รีบรวบเอกสารก่อนเดินออกไปต้อนรับนักแสดงสาวคนแรก และคนที่สองที่เดินตามมาติดๆ กัน ถึงแม้พวกเธอจะคลี่ยิ้มเป็นมิตรอย่างมืออาชีพแต่สำหรับนัทสึมิแล้ว เขาเหมือนกำลังเห็นสิงโตตัวเมียสองตัวเผชิญหน้ากัน แววตาบาดหมางที่แอบเหลือบมองกัน ทั้งที่ยังจีบปากจีบคอกับเรมี่ เป็นสกิลชั้นสูงที่ดูบิดเบี้ยวน่าสะอิดสะเอียน

“คุณเรมี่..” นัทสึมิพยายามสาวเท้าเข้าหาอีกฝ่าย ในอกของเขาอัดแน่นไปด้วยคำเตือนที่ค่อนข้างด่วนจนร้อนใจ ทันทีที่แตะไหล่อีกฝ่ายได้ก็ถูกปัดไม้ปัดมือ ราวกับปฏิเสธให้กลับไปนั่งที่ประจำ

“เชิญครับๆ ทางนี้เลยครับ..”

ความเพิกเฉยนั้นดูจะชัดเจน จนไอดอลหนุ่มต้องเบือนหน้าหนี นอกจากบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจแล้ว สายตาจิกกัดของนักแสดงสาวคนหนึ่งก็ยังเล็งมาที่ไอดอลหนุ่มอย่างชัดเจน เรมี่ยืนคุยงานกับพวกเธอราวกับว่าสนิทสนมมานมนาน เขาเดินกลับไปเช็กโซนพร็อพและฉาก ยืนจับจ้องด้วยดวงตาเยือกเย็น ความคิดในหัวผุดขึ้น ตีกันพัลวัน มือไม้สั่นคลอนดั่งควบคุมไม่อยู่ เขาหลับตาลงชั่วครู่ มือที่กำแน่นค่อยๆ คลายตัวออกก่อนจะเอาผ้าสีขาวที่อยู่ด้านล่างมาคลุมส่วนพร็อพอาวุธเอาไว้

“เอ๊ะ ไม่ใช้แล้วเหรอคะ?” สต๊าฟสาวคนหนึ่งที่กำลังเช็กอุปกรณ์บริเวณใกล้ๆ เอ่ยถาม ด้วยสีหน้าฉงน โดยเรมี่ก็พยักหน้างึกๆ เป็นการตอบรับ

 

เสียงล้อเลื่อนไปตามทางเดิน เหล่าหุ่นยนต์กระป๋องกำลังแบกลังน้ำแดงหลายโหล พวกมันทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพราะถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ โดยที่ตัวการก็ได้แต่ยืนมองความเคลื่อนไหวด้วยความพึงพอใจ

“เอาไปเก็บในห้องเลยนะ”

เธอสั่งพลางยิ้มกริ่ม น้ำแดงล็อตใหม่ถือเป็นสวรรค์ของคนทำงานหนัก แม้ไนน์กับป็อปจะแอบประท้วงทุกครั้งเวลาเปิดตู้เย็นส่วนกลาง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะเรมี่ก็ดันให้ท้ายซะทุกครั้ง เจเน่รู้สึกภาคภูมิใจมากจนอดไม่ได้ที่จะแอบจิ้กมาจากลังหนึ่งขวด เอาเข้าช่องฟรีตแบบโหมดด่วนจี๋ ไม่นานก็ได้น้ำแดงเย็นๆ พร้อมดื่มแล้ว

“ฮ่า...”

ครวญครางในลำคอ ความรู้สึกชื่นใจยามได้ดื่มน้ำหวานนั่นคือของตาย ไม่ว่าเมื่อไรก็สามารถเยียวยาเธอได้จากความเหน็ดเหนื่อย เว้นแต่จงอยเล็กๆ ที่แทรกเข้ามาระหว่างปากขวด...

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด นกเฌอออออออออออออ ออกไปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป”

เด็กสาวรีบสะบัดขวดไปมา พลางไล่นกที่มักมาบินวนเวียนแถวสตูดิโอ จริงๆ แล้วเธอจำไม่ได้หรอกว่าใช่ตัวเดิมหรือไม่ เพราะนกกระจอก มันก็ดูเหมือนๆ กันไปหมด แต่พอพูดถึงนก ยังไงก็ต้องเป็น ‘นกเฌอ’ ชื่อเล่นของคู่แค้นในเกมที่เจเน่มักเจอบ่อยๆ โดยเฉพาะเกมไล่ฆ่าต่างๆ

“อย่าให้เผลอนะ อยู่รังไหนจะไปหยิบไข่ โดนต้มแน่!”

โวยวายลั่น พร้อมทำหน้าบูดเป็นตูดหมึก เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงหวีดร้องจากด้านนอกก็ทำเอาสะดุ้งตัวโหยง

“กรี๊ดดดดดดดด”

การกระทำไวกว่าความคิด เธอรีบวิ่งไปที่สตูดิโออย่างรีบเร่ง ลางห์สังหรณ์ไม่ดีเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตสำนึก... แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นนักแสดงสาวสองคน กำลังจิกหัวกันอย่างบ้าคลั่ง ตามเนื้อตัวถูกประดับไปด้วยรอยขีดข่วน ผมเผ้ากระเจิงจนแทบไม่เหลือเคล้าความงาม เศษฝุ่น อุปกรณ์ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ถูกเขวี้ยงปาจนแตกหัก

“กล้ามากนะ ที่กลับมาเล่นบทนี้ แกกล้ามาก อีนังตอแหล!” คนด้านซ้ายด่าเป็นฉาก เงื้อมมือขึ้นตบเข้าเบ้าหน้าอีกคนฉาดใหญ่ แต่น่าแปลกที่เรมี่ได้แต่ยืนกอดอกมองนิ่งๆ ดวงตาไม่มีแววใดๆ ด้านในนั้น

สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้ากลับไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ร่างผอมสูงชะรูดในเสื้อคอเต่าสีขาว เรือนผมสีดำและปอยผมกลางหัวคล้ายเสาอากาศสีแดง ยืนมองฉากที่เกิดขึ้นเงียบๆ ดวงตาสีแดงก่ำสะท้อนภาพความโหดร้าย ทั้งปากที่ถูกสองมือล้วงเข้าไปแล้วฉีกออกจนเหวอะหวะ แพขนตายาวที่ถูกปัดด้วยมาสคาร่าหลุดออกบางช่อและหงิกงอจนเหมือนถูกไฟเผา เรียวนิ้วบิดออกจากข้อจนเหมือนกับกิ่งไม้ใกล้หัก โลหิตสีเข้มนองไปตามพื้น ค่อยๆ คืบคลานไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก แทรกซึมตามร่องกระเบื้องสีเนื้อ ย้อมระบายจนกลายเป็นสีโทนแดง 

สีแรกที่ควรจะหายไปจากวิสัยทัศของมนุษย์ยามความมืดครอบงำ

“ป๊า... ป๊า...” 

เจเน่รีบวิ่งเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นนาย พยายามเขย่าเพื่อให้เขาทำอะไรสักอย่าง ทำให้เรมี่หลุดจากภวังค์ราวกับถูกดีดนิ้วให้ตื่นจากความฝัน ความน่าพรั่นพรึงและรอยยิ้มแห่งความพอใจค่อยๆ จางหาย เหลือแต่ฉากการตบตีด้วยมือเปล่าและกล้องที่ยังคงอัดวีดีโอต่อไป

ในสายตาคนอายุน้อยกว่า ถึงจะนึกแปลกใจว่าสถานการณ์แบบนี้ทำไมเรมี่ถึงยังยืนนิ่งอยู่ได้ แต่เมื่อหันมองรอบๆ แล้วเห็นโดรนถ่ายภาพกับสต๊าฟทุกคนยังยืนประจำจุด ก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเป็นการถ่ายทำเท่านั้น...

“อ้อ...”

แม้จริงๆ วันนี้ต้องถ่ายโปรโมท แต่ทำไมถึงถ่ายฉากตบตีกันแทน? นั่นคือคำถาม 108 ในหัวของเจเน่ในตอนนี้ การถ่ายทำยังคงดำเนินไป โดยมีฉากเบื้องหน้าเป็นการต่อสู้แสนบ้าคลั่ง 

“มึง มึงไม่มีสิทธิ์ มาเล่นบทคนนี้ เข้าใจไหม? มึงทำให้แฟนคลับมึงผิดหวัง มึงไม่สมควรจะมีแสงใดๆ อีกแล้ว!”

“ผิดหวังอะไรกันล่ะ! ชีวิตส่วนตัวของกูแท้ๆ”

“คนที่จะมาเป็นดาว เป็นที่เคารพรัก ต้องไม่ใช่คนแปดเปื้อนแบบมึงอะ”

“แล้วมึงดีตายนักรึไง? อย่าให้แฉเรื่องหนี้มึงนะ!”

 

“Cut!!”

เรมี่สั่งคัททันที ก่อนจะวิ่งเข้าไปคุยกับนักแสดง พวกเธอรีบจัดแจงเสื้อผ้าและมีหุ่นยนต์ช่างแต่งหน้าเข้าไปช่วยหวีผม ทำให้ทุกอย่างดูสะอาดเอี่ยม ราวกับว่าฉากเมื่อกี้เป็นเพียงหนังไม่กี่นาทีที่ท้ายที่สุดก็ถูกปิดเครื่องลง

เหลือแต่จอสีดำและความเงียบงัน ไม่ต่างจากแววตาของนัทสึมิที่นั่งจับจ้องฉากดังกล่าวจากเก้าอี้ ไร้ซึ่งบทสทนาใดๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ป็อปหันหลังไปถามคนนั่งนิ่ง โดยที่อีกฝ่ายก็ยิ้มพริ้มเป็นการตอบกลับ

“ไม่เป็นอะไรครับ แค่รู้สึก... ทึ่งในการแสดงเมื่อครู่น่ะครับ” 

เสียงนุ่มละมุนยังคงตอบอย่างเป็นมิตร ใบหน้าซีดเซียวนั่นดูยากเพราะสีผิวที่ขาวตัดสีเก้าอี้ที่เป็นโทนเย็น แต่ถึงอย่างนั้น ป็อปก็ยังพอจะดูออกว่าอาการของไอดอลหนุ่มดูแปลกไป บรรยากาศรอบตัวดูหดหู่ ไม่เปล่งประกายอย่างที่ผ่านๆ มา รอยยิ้มอ่อนนั่นแฝงความเศร้าหมอง แต่ไม่นานก็กลายเป็นความสดใสเมื่อเรมี่เดินกลับมาที่เก้าอี้นั่งผู้กำกับ

“นาย? ป่วยหรือเปล่า”

“อื้ม...ไม่หรอกครับ” เขาส่ายหน้าเป็นการตอบรับ 

“ผมมีออกไปถ่าย Vlog ที่สวนสาธารณะเขต C ต่อ จะตามไปด้วยก็ได้นะ” เรมี่กล่าวชวน เพราะไม่รู้ว่านัทสึมิมีแผนการอะไรในใจ ถ้าจะให้กลับไปเหมือนคนอื่นๆ ก็คงจะมาฝึกงานเสียเที่ยวซะเปล่า 

“ครับ เดี๋ยวผมตามไปนะครับ”

เรมี่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะขอตัวไปคุยกับพนักงานที่เหลือ พวกเขาจัดแจงเตรียมข้าวของกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ไนน์กับป็อปจะเดินนำคนอื่นๆ ออกไป

“ไวรัลเป็นบ้าเลย” ช่างภาพหนุ่มเอ่ย

“แกก็รู้ มันเป็นคนแบบนั้นแหละ ไม่แหวกแนว โลกก็ไม่จำ” โดยมีผู้กำกับงานศิลป์สำทับอีกเสียง

“กูรู้ แต่บางทีความคิดมันก็เลยเถิด...” ป็อปพูดเสียงเบา พลางถอนลมหายใจยาว พลางมองฟุตเทจของงานเมื่อวานกับงานวันนี้สลับกัน แล้วจึงมองย้อนไปตรงโต๊ะวางพร็อพที่มีอาวุธเสมือนจริงวางอยู่ก่อนจะพูดต่อ

“กูว่าบางทีถ้าพวกเราไม่ห้ามไว้ ได้มีคนตายแน่ๆ” เขาหลับตาแน่น ยกมือขึ้นกุมขมับตนเอง

“มันไม่ทำจริงหรอกน่า” ไนน์บอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ 

แต่ในสายตาป็อปที่มองการเตรียมการทุกอย่างออก ก็แทบจะหยุดนิ่งค้าง เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ทำให้ไนน์ต้องเดินกลับไปตรวจสอบอุปกรณ์ประกอบฉากอีกรอบ เขาจับมีดเลเซอร์อยู่พักหนึ่ง แล้วจึงหันไปบอกคนหน้าดำคร่ำเครียด

“ไม่มีอะไรนี่ ของปลอม กูเป็นคนเช็กกับมือ”

“เฮ้อ โอเค....กูคงประสาทแดกไปเอง มึงก็รู้ มันทำจริงแน่ๆ”

“เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว อย่าไปรื้อฟื้นเลยนะ” ไนน์ห้ามปราม 

พวกเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปที่ออฟฟิศเพื่อสะสางงานต่อ โดยระหว่างทางก็หลีกเลี่ยงจะเดินผ่านห้องแต่งหน้าที่ถูกปิดตายห้องหนึ่ง และอุปกรณ์ไม้พลองที่ไนน์ไม่ได้เช็ก กลับถูกอุปกรณ์อื่นที่ถูกเปลี่ยนตำแหน่ง เบียดให้กลิ้งตกลงบนพื้น จนเกิดรอยแตกขนาดใหญ่และเสียงดังโครมในห้องว่างเปล่า...