‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
ทีมงานทั้งหมดทยอยเดินออกจากสตูดิโอ โดยมีหุ่นยนต์คอยเก็บกวาดให้สะอาด ต่างคนก็ต่างพูดคุยกันจอแจ บ่นเรื่องเรื่อยเปลื่อยตามภาษาพนักงานเงินเดือน เว้นเสียแต่นัทสึมิที่เดินก้มหน้ารั้งท้าย ดวงตาจับจ้องไปยังนักแสดงสาวสองคนซึ่งกำลังเดินกลับห้องพักนักแสดงไปพร้อมกับทีมงานคนอื่น พวกเธอเหลือบมองกันด้วยหางตาเหมือนกับตอนเดินเข้ามา เขาสัมผัสได้ถึงแววตาจงเกลียดจงชังต่อกันและกัน ราวกับเขม่นหน้ากันทั้งในชีวิตจริงและในบทบาทเมื่อครู่ แต่ความรู้สึกกดขี่ต่อตัวเขาในคราแรกพบกลับไม่หลงเหลืออีกต่อไป คล้ายกับว่าพวกเธอได้หลงลืมความแขยงหรือการกีดกันที่มีต่อเขาไปหมดแล้ว เพราะได้ปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจอย่างใสสะอาด ปราศจากมลทินและความผิด
“คุณเรมี่ใจร้ายจังเลยนะครับ”
จู่ๆ ก็พูดขึ้นแทรก โดยที่เรมี่เองก็ได้แต่ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้
“เซ้นส์ดีนี่เรา แต่ไม่หรอก...เปลี่ยนใจก่อนน่ะ เพราะนายเลย..”
น้ำเสียงสบายๆ ผิดกับความเลือดเย็นที่นัทสึมิสัมผัสได้
“ครับ?”
ไอดอลหนุ่มเอียงคอฉงน ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่าพวกเขาคุยกันคนละเรื่องเดียวกัน
พวกเขาก้าวเดินต่อไปโดยไร้ซึ่งบทสนทนาเพิ่มเติม นักแสดงสาวคนหนึ่งหยุดยืนรอเรมี่ก่อนจะกระซิบกระซาบบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจ นัทสึมิจึงได้แต่ยืนข้างๆ เพื่อรอให้บทสนทนาส่วนตัวจบลง ดวงตาสีแดงฉานยังคงวาววับ รอยยิ้มเป็นมิตรยังคงแต่งแต้มเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกบางอย่าง
และหลังจากเธอขอตัวเดินออกไป ไม่นานเรมี่ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเพื่อทำลายความวังเวงระหว่างกันและกัน
“มีร้านราเมนแนะนำอยู่ เดี๋ยวเลี้ยงแล้วกัน”
“แต่ว่าเมื่อกี้...”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ข่าวลือเรื่องนักแสดงป่วยกับประสบอุบัติเหตุบ่อยน่ะ”
“หรือครับ...ขอบคุณนะครับ..”
นัทสึมิพลูลมยาวด้วยความโล่งอก ในขณะที่เรมี่ลอบยิ้มมุมปาก
“นายคิดว่าแค่นี้ก็ดีแล้วจริงๆ เหรอ?” เรมี่ถามขึ้น จากรอยยิ้มน้อยๆ กลับเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แทน
“ครับ.... ผมจะโกหกทำไมล่ะครับ?”
“งั้นรึ...นี่ วันหลังเรามาซ้อมบทตบกันแบบนั้นบ้างเอาไหม?”
“อย่าล้อเล่นแบบนั้นเลยครับ...” ไอดอลหนุ่มบุ้ยหน้าไปทางอื่น ทำให้ฝ่ายต้นคิดต้องลอบขำในลำคอ
บางทีคนเราก็แค่วางทุกอย่างลง แล้วเพลิดเพลินไปกับอาหารตรงหน้า แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...
“เออ นี่..... ทำไมพวกแกถึง...”
เรมี่พูดขึ้น เมื่อภาพตรงหน้าปรากฎเป็นบรรดาทีมงาน ผู้พากันจับจองโต๊ะกันจนแน่นเอี๊ยด แทบไม่เหลือที่ว่างให้ผู้กำกับผู้มาทีหลังได้นั่งเลย
“ก็เลี้ยงไม่ใช่เหรอป๊า?”
เจเน่ยกมือขึ้น แล้วผายมือไปที่ตรงหัวโต๊ะ ที่ๆ แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้แทรกตัวแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้พนักงานตัวน้อยกางเก้าอี้ให้ เพื่อแสดงออกถึงตำแหน่ง ‘หัวโต๊ะ’ ที่เป็นไฟท์บังคับ
“ใช่ๆ” ไนน์เสริมทับ
“โอ้ย ไม่รู้จะกินอะไรเลย น่ากินไปหมด” โดยที่ป็อปก็ออกอาการ พาให้คนอื่นๆ เริ่มยิ้มน้อยใหญ่อย่างมีเลศนัย
“ไม่ได้พูดเลยยยยย ที่พูดไปคือ....”
คำพูดขาดห้วง เมื่อตระหนักได้ว่าหากบอกไปตรงๆ คงโดนล้อยันลูกบวช เขาเหลือบมองนัทสึมิที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าก็ดูยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ แต่สัมผัสได้ว่ากำลังเกิดเควสชั่นมาร์คตัวใหญ่บนหัว
“คิริโนะคุงมานั่งกับพวกเราก็ได้นะคะ” สต๊าฟหญิงเอ่ยขึ้น ทำให้เพื่อนอีกคนถึงกับต้องเอาข้อศอกแซะ “เอ้า อะไรกันเล่า....”
“ไม่เป็นไรครับ สำหรับผม ตรงไหนก็ได้ครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ
“เฮ้อ พวกนายนะ เจเน่ไปนั่งกับป๊-“
“ไม่เอา”
เรมี่เลิกคิ้วขึ้นทันที ที่คนตัวเล็กกว่าตอบปัด เพราะปกติเจเน่จะติดเรมี่ แต่ในครั้งนี้กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เธอชี้นิ้วไปที่โต๊ะหัวมุม ซึ่งมีเก้าอี้รอไว้แค่สองตัวเท่านั้น
“ไปนั่งตรงนู้นเลยค่า”
“เอ้า... เป็นงั้นไป...”
ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ เขาหันไปมองคนข้างหลังแล้วถอนหายใจเบา
“โอเคใช่ไหม? ไม่งั้นนั่งกับเจ้าพวกนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวผมไปนั่งคนเดียวเอง”
คนฟังส่ายหัวไปมา นัทสึมิส่งยิ้มให้เรมี่เป็นการตอบรับแทน เขาเดินนำไปนั่งตรงโต๊ะคนแรก กลายเป็นว่ามีเพียงเขาทั้งคู่ที่แยกตัวออกไป บรรดาพนักงานหญิงต่างชะเง้อมองด้วยความเสียดาย ก่อนจะพากันซุบซิบตามภาษาคนอยากรู้อยากเห็น ‘เรื่องของคนอื่น’
“กินอะไรล่ะเรา?” เรมี่ถามขึ้น พลางมองเมนูที่เด้งขึ้นมาให้กดเลือกทันทีที่หย่อนสะโพกถึงที่นั่ง
“คุณเรมี่จะทานอะไรหรือครับ?”
“อืม ราเมนเกลือล่ะมั้ง”
“เกลือ? มันอิ่มเหรอครับ?”
“สั่งพิเศษเอา เพิ่มเส้น”
“ผมนึกว่าคุณเป็นคนไม่กินเส้นซะอีกนะครับ”
“เอ้า ...”
บางครั้งบทสนทนาพร้อมใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นก็แฝงคำจิกกัดน่าประหวั่น เรมี่รู้สึกแบบนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาสั่งเครื่องดื่มและหันมองวิวทิวทัศน์ด้านนอก ผู้คนเดินขวักไขว่ ผสมปนกับหุ่นยนต์หลากหลายรูปแบบ หญิงสาวกับชายหนุ่มเดินเคียงคู่กันไปตามทางลาด พาให้หวนนึกถึงใครบางคนที่ยังถูกซ่อมแซมอยู่
แต่เมื่อคิดได้ว่า เธอคนนั้นไม่ใช่ ‘คน’ ก็ต้องส่ายหัวไล่ความคิดผิดแปลก ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ที่เขารู้สึกผูกพันธ์กับจักรกลจนเทียบเท่ามนุษย์อีกคน
“ผมสั่งหมี่เย็นแล้วกันครับ”
“กินเยอะๆ เถอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“คุณควรบอกตัวเองนะครับ”
“เป็นแม่ผมหรือไง...?”
คำถามปนถากถาง ทำให้นัทสึมิลอบยิ้มบาง ดวงตาดูมีประกายสดใสยามได้ต่อล้อต่อเถียงกัน และพฤติกรรมที่ส่งยิ้มแทนคำพูดนั่นก็ดูจะถูกใจเรมี่ไม่น้อย
มันไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ และไม่ได้แปลว่าเอาชนะเช่นกัน เป็นความรู้สึกประหลาดยามได้จ้องมอง เขาเท้าคางมองเรือนผมสีเงิน ปลิดปลิวไปตามแรงเคลื่อนไหวของเจ้าตัว ดวงตาสีแดงหยีขึ้นเล็กน้อย ดูเข้ากับใบหน้าได้รูปที่ใครหลายคนฝันใฝ่
แม้ไม่ไว้ใจ แต่ก็ไม่ถึงกับระแคะระคาย แม้ไม่สนิท แต่ก็ไม่ได้รู้สึกผลักใส แม้ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องพยายามเข้าใจ ทุกอย่างดูลงตัวจนนึกไม่ออกว่าควรจะนิยามความรู้สึกเช่นนี้ว่าอะไร
ยามริมฝีปากอมชมพูละเมียดละไมกัดเส้นสีครีมนวน แพขนตายาวก็ปิดลงราวกับกำลังซึมซับรสสัมผัส นัทสึมิทานอาหารอย่างนุ่มนวน โดยที่อีกฝั่งกลับเท้าคางมองนิ่งๆ ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แม้ว่าอาหารจะถูกเสิร์ฟไว้ระยะหนึ่งแล้วก็ตาม
“ไม่ทานเหรอครับ?”
“อะ อืม..”
เขาหลุดตากภวังค์ น่าขำขันที่ท้องหิว แต่การกระทำกลับไม่เป็นไปตามสัญชาตญาณ เพราะมีบางอย่างสะกดสายตาเขายิ่งกว่า เขาจึงต้องลองไล่ความคิดเหม่อลอยในหัว แล้วรีบจัดการอาหารในชามให้เสร็จสรรพ
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ว่ามีสายตาอีกหลายคู่ ที่จับจ้องพวกเขาเป็นระยะไม่ห่างกันนัก
“หยิ่งจังแหะ กินกับพวกเราก็ไม่ได้”
“เอาน่าแก ไอดอลก็งี้แหละ”
“เออ แกได้ข่าวไหมว่าเดี๋ยวนี้มีพวกลักลอบผลิตแอนดรอยด์เสมือนมนุษย์ด้วยนะ”
“น่ากลัว นึกว่าจะมีแต่พวกราชวงศ์ซะอีกที่มีสิทธิ์ใช้ได้”
สาวๆ ยังคงจับกลุ่มคุยกัน ดูเหมือนว่าความเสียดายจะเริ่มจับตัวเป็นก้อนความคิดลบที่มากพอให้ลากประเด็นอื่นมาผสมปนเป ในเรื่องไอดอลหรือคนพิเศษต่างๆ ในสายตาคนนอกก็ได้แต่ตีความไปตามเนื้อผ้า ผิวเผินมากกว่าจะลองวิเคราะห์เบื้องลึกเบื้องหลัง แต่ในยุคนี้ที่เทคโนโลยีล้ำยุค การโคลนนิ่งมนุษย์หรือการสร้างหุ่นยนต์ แอนดรอยด์ หรือ Ai ที่เทียมมนุษย์หรือใกล้เคียงกับมนุษย์นั้นยังเป็นข้อกังขา เรียกว่าถ้าไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนหากยุ่มย่ามเรื่องนี้ก็ยังถือว่าผิดกฎหมาย
“ก็คุณคิริโนะ เขาเป็นแขกของป๊านี่คะ มันก็แค่นั้นเอง”
เจเน่ห้ามปรามในเรื่องแรก คำอธิบายแบบง่ายทำให้สองสาวดูสลดไปเล็กน้อย และสิ่งที่เด็กสาวพูดก็ไม่ได้เกินจริงไปนัก เพราะพาร์ทเนอร์ที่เป็นดาราหรือไอดอล ก็ไม่ต่างจากแขกรับเชิญดีๆ นี่เอง แม้จะเป็นยามที่อยู่หลังกล้องก็ตาม มันจึงไม่แปลกที่เจ้าบ้านจะเป็นฝ่ายประคบประหงมอย่างใกล้ชิด
เหตุผลมันก็ควรจะมีแค่นั้น ไม่เกินเลยไปกว่านี้...
“ไม่กินหัวไชเท้ารึไง?” เรมี่ถามขึ้น ทั้งยังคีบตะเกียบไว้ในมือ
“ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่น่ะครับ”
“งั้นเราก็มีเรื่องที่เหมือนกันอีกแล้วนะ”
“ครับ...”
ไชเท้าขูดยังกองอยู่เต็มจาน และแม้วาซาบิจะพร่องลงไปบ้าง แต่ก็ยังพอดูออกว่าเป็นก้อนอะไร เรมี่จดจ้องไปยังน้ำซุปในถ้วยลายคราม มันสะท้อนดวงตาสีชมพูของเขาเป็นทรงนูนตามความบิดเบี้ยวของไขน้ำมันที่ผสมปน เขาคีบเส้นเข้าปาก ลิ้มรสด้วยความระมัดระวัง
จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตัวโยน เมื่อเสียงอุทานในลำคอดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม นัทสึมิหลับตาข้างหนึ่ง ใบหน้าดูตื่นตกใจ มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น กำหลวมๆ ส่วนอีกข้างก็ยังคีบตะเกียบอยู่ในมือ เมื่อเรมี่สังเกตดีๆ ก็พบว่ามีเส้นหมี่เย็นสองเส้นยาวกองอยู่บนโต๊ะ แถมด้วยลอยเปื้อนตามเสื้อสีชมพูที่ไอดอลหนุ่มใส่
“เป็นผู้หญิงหรือไง?” เขาถามพลางอมยิ้ม รู้สึกเอ็นดูคนที่คีบพลาดจนถูกเส้นราเมนตีน้ำปลาโอเข้าตัว ท่าทีสะดุ้งเหมือนหญิงสาวนั่น คงไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำเหมือนในทีวีอย่างแน่นอน
แต่ไม่นาน คนหน้าเบี้ยวก็กลับมาทำหน้ามุ้ยแทน เขาเรียกพนักงานให้มาช่วยทำความสะอาด ก่อนจะรับประทานต่อ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า
“อย่างอนสิ” คนเท้าคางกับโต๊ะแกล้งแซวพลางคีบลูกชิ้นนารูโตะในชามขึ้น “ให้เป็นการไถ่โทษแล้วกัน”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ทำตัวให้ง้อง่ายๆ หน่อยสิ เป็นผู้ชายไม่ใช่เร้อ”
“เหยียดเพศเหรอครับ?”
“.........”
ความสามารถพิเศษของคิริโนะ นัทสึมิ คงเป็นการกำราบฝ่ายตรงข้ามด้วยคำพูดจิกกัดนิ่งๆ เป็นทาสแท้ที่เดาไม่ออกเลยว่าถ้าแฟนคลับของเจ้าตัวรู้จะทำหน้ายังไง
เหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยจนลืมรับประทานต่อ แต่ยังไม่ทันที่เรมี่จะชักตะเกียบกลับ นัทสึมิก็พูดขึ้นแทรก ก่อนจะฉวยเอาไปกินแทนซะอย่างนั้น
“ผมรับนารูโตะมาเป็นคำขอโทษก็ได้ครับ”
“เฮ้อ...เดาใจยากจริงๆ เลย...”
เขามองใบหน้าจิ้มลิ้ม ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงอย่างหุนหันพลันแล่น ในหนึ่งนาที นัทสึมิสามารถทำให้เขารู้สึกได้หลากหลายอารมณ์
เป็นคนที่เดาทางได้ยากยิ่งกว่าใจลูกค้า....
เรมี่หันกลับไปมองยังโต๊ะของพวกเจเน่ ซึ่งนอกจากสามคนที่เขาสนิทแล้ว ก็มีสายตาไม่ไว้วางใจส่งกลับมาเป็นระยะๆ เขาหนิ่วหน้ากับตนเอง แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มขอตัวลุกกลับไปหาทีมงานอีกโต๊ะ เพื่อที่จะได้เคลียร์ค่าใช้จ่ายอย่างเท่าเทียม เพราะส่วนเกินเครื่องดื่มราคาแพงหูฉี่บางแก้วนั้นเป็นข้อยกเว้น แถมยังมีบางอย่างที่ถูกสั่งกลับบ้านอย่างรู้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีทางหลวมตัวจ่ายให้เด็ดขาด ดวงตาคมปราดมองบรรดาจานชามที่ถูกวางไว้ระเกะระกะ บ้างก็แทบไม่หลงเหลือคราบใดๆ ราวกับถูกโลมเลียจนไม่เหลือของเหลวสักหยด โดยมีหุ่นยนต์ทรงสี่เหลี่ยมเดินเข้ามาจัดแจงเก็บกวาด
“ไหนตอนแรกดูมึงไม่ชอบไอดอลนักหนาไง?” ไนน์ถาม มือก็ยกหูฟังขึ้นสวม
“ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบอยู่ ดูหน้ากูเหมือนคนชอบไอดอลหรือไง?” เรมี่โต้ตอบ มือหนึ่งก็กดสแกนจ่ายตัวเลขเกือบห้าหลัก
“เหอะ..” ไนน์หัวเราะแห้งก่อนจะเดินกลับไปหาเพื่อนๆ คนอื่น
เขาไล่สายตาอ่านสลิปที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอส่วนตัว นิ้วชี้ขวาก็ยกขึ้นถูจมูกไปมา เขาเอียงคอเล็กน้อยยามสรุปค่าใช้จ่ายตรงหน้ากลับผิดคาดไปไกล เพราะค่าใช้จ่ายของนัทสึมินั้นน้อยกว่าพนักงานคนอื่นๆ จนเรียกว่ากินน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้
‘คงไม่ใช่เพราะเกรงใจใช่ไหม...’ เขาแอบเหลียวมองคนที่นั่งเท้าคาง เหม่อมองออกไปนอกกระจกเงียบๆ
สวนสาธารณะเต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และมีถนนเส้นยาวสำหรับจักรยานและคนวิ่งจ็อกกิ้ง เป็นสถานที่ที่ผิดแปลกไปจากตัวเมือง เพราะจะไม่อนุญาตให้จักรกลเข้ามาในบริเวณโดยรอบ เว้นแต่หน่วยงานที่รับผิดชอบหรือสต๊าฟภายใน ที่นี่เป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและสวนพักผ่อนหย่อนใจที่หวังให้มนุษย์ได้ดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมไร้การปรุงแต่ง เป็นที่ที่ผู้คนมักนิยมในวันหยุดเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าหากมองออกไปด้านนอก จะยังพบกับความวุ่นวายและความศิวิไลซ์ ยังมีตึกสูงและเส้นทาง Air road อยู่เป็นฉากหลังอันไกลลิบ แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นจุดพักใจให้ใครหลายๆ คนได้
มันจึงไม่แปลกที่เรมี่จะเลือกมาทำคอนเท้นต์ที่นี่ เพราะความสงบสุขคือเรื่องที่อำนวยความสะดวกให้การทำงานมากที่สุด เขาพานัทสึมิเดินไปยังเต้นท์เช่าจักรยาน ซึ่งมีลุงวัยสูงอายุกำลังนั่งสูบบุหรี่ด้วยท่าไขว่ห้างสบายๆ
“ขอจักรยาน 2 คันครับ” เรมี่กล่าวอย่างสุภาพ โดยที่ไม่ทันมองว่านัทสึมิกำลังทำน่าลำบากใจ คุณลุงเจ้าของร้านจึงเสนอตัวเลือกอื่นแทน
“ทำไมไม่เอาแบบจักรยานคู่ล่ะหนู?”
“หะ?”
ผู้กำกับหนุ่มสีหน้าเหยเก เขาหันไปมองคนด้านหลังที่ได้แต่ยิ้มแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ไม่เป็นไรหรอกลุง ของใครของมัน”
“คุณหนูคนข้างหลังจะไหวเร้อ? ฮึฮึ”
“ลุงอย่าเหยียดเพศดิ”
คราวนี้เป็นฝ่ายเรมี่ได้ขโมยคำพูดของอีกคนบ้างแล้ว ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับ ดันเป็นเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเสียแทน
ราวกับโชคชะตาเล่นตลก สภาพของนัทสึมิยามออกแรงถีบปั่น ช่างดูไม่ได้ในสายตาของคนพามา แค่ถีบไปไม่เท่าไร ก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่จนต้องใช้ขายันพื้นเอาไว้ ใบหน้าเง้างอนดูน่าเอ็นดูเหมือนเด็กน้อยหัดขี่จักรยาน
“ทำไมขี่ไม่ได้ล่ะ? ปกติขี่มอเตอร์ไซด์หนิ” ถามพลางยกมือกอดอก รู้สึกมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“คุณเรมี่ก็รู้ไม่ใช่หรือครับ ว่ายานพาหนะมีระบบต้านแรงโน้มถ่วง”
“อา ไม่ได้ลืม แต่มันก็ควรมีพื้นฐานการทรงตัวติดตัวบ้าง.......”
ระหว่างที่เถียงกันอยู่ คุณลุงก็เข็นจักรยานคู่ออกมาให้ถึงมือ ชายแก่ตบบ่าลูกค้าอยู่สองครั้ง ก่อนการเจรจาจะสมบูรณ์ด้วยดี สลิปโอนเงินปรากฏบนหน้าจอข้างกาย แล้วจึงหายไปในทันทีที่เขาตวัดมือ
“มีเวลาทั้งวันเลยนะ เฮ้อ...” ว่าพลางจูงจักรยานออกมานอกร้าน แต่ทันทีที่ขึ้นคร่อมก็นึกขึ้นได้อยู่อย่าง
เอะ...
เดี๋ยวนะ...
“ทำไมกลายเป็นแบบนี้วะเนี่ย!”
สุดท้ายแล้ว คนขี่ก็เป็นตัวเรมี่ ส่วนคนนั่งซ้อนก็คือนัทสึมิ .........
“โอ้ย แล้วทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ก่อน?”
เขาบ่นอุบอิบ ขาก็พยายามปั่นจักรยานเพื่อรักษาการทรงตัว แม้ปกติจะมีการออกกำลังกายบ้าง แต่ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าราวกับ ‘นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน’ แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าแขนขาของเขานั้นอ่อนแรงมากเกินกว่าจะพยุงพวกเขาทั้งคู่ได้ แต่เมื่อลองพยายามถีบไปเรื่อยๆ ก็พบว่าคนด้านหลังน้ำหนักตัวเบากว่าที่คิด
เขาแอบชำเลืองมอง ภาพตรงหน้าสะกดสายตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ปอยผมสีเงินปลิวไปตามลม ดวงตาสีแดงที่ทอดมองท้องฟ้าเหนือศีรษะ และท่านั่งที่ตอนแรกเขาคิดว่าจะคร่อมจักรยานเหมือนกับตนเอง แต่แท้จริงแล้วนัทสึมิกลับนั่งแบบหันข้าง ไม่ต่างจากผู้หญิงที่ใส่กระโปรงซ้อนท้ายยานพาหนะ
มือขาวจับเอวเรมี่ไว้ ไร้ซึ่งบทสนทนา ไร้ซึ่งการตอบโต้ มีเพียงสายลมเอื่อย พัดผ่านยามร่างกายปะทะความเร็ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะมาถ่ายดอกไม้ ใบไม้ หามุมดีๆ แล้วทำเป็นคอนเท้นต์เชิญชวนมาเที่ยว
“เฮ้อ ยังไง แวะตรงนั้นก่อนแล้วกัน”
เขาหยุดจักรยาน พลางชี้ไปที่พุ่มดอกทิวลิปหลากสี
“ดอกคาเนชั่นสีขาวที่ผ่านมาเมื่อกี้ ไม่สวยกว่าเหรอครับ?” นัทสึมิชี้กลับไปยังทางที่พึ่งผ่านมา
“นายขาวขนาดนี้ ยังจะอยากถ่ายกับดอกไม้สีขาวหรือไง?”
“เห ผมไม่รู้ว่าจะถ่ายผม”
“เฮ้อ ...”
เรมี่ถอนหายใจ ‘ก็ลงทุนพกไอดอลติดรถมาขนาดนี้แล้ว จะให้ถ่ายใครอีกล่ะ?’ เขาอยากตอบออกไปแบบนั้น แต่ก็คงทำได้แค่หาข้ออ้างอื่นมากลบเกลื่อน
“ถือว่าถ่ายเป็นฟุตเทจ เผื่อเอาไว้ใช้กับหนังแล้วกัน”
“เตรียมการอย่างดีเสมอเลยนะครับ”
โกหก.........ใช่ เขาโกหก... แต่มันดันฟังขึ้นจนน่าแปลกใจ
การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อยๆ เรมี่ใช้กล้องจากระบบ smart display ก็มีความคมชัดมากพอให้นำไปทำงานที่มีคุณภาพสูงแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ Ai ยังช่วยคำนวนไม่ได้อย่างแม่นยำ คือมุมกล้องและเทคนิคอื่น
“เอียงคอหน่อยนึง”
นัทสึมิทำตามคำแนะนำ แม้เขาจะเป็นมืออาชีพและชินชากับการถ่ายรูปเพื่อนำไปใช้โปรโมทต่างๆ แต่กับเรมี่นั้นแตกต่างออกไป
“ไม่... ยกศอกขึ้นเหนือหัวอีก สองข้างเลย ให้เหมือนท่าคนเตรียมบิดขี้เกียจตอนเช้าน่ะ”
“ค ครับ...”
ปกติแล้ว เซ็ทภาพถ่ายที่นัทสึมิคุ้นชิน จะเป็นภาพแนวเน้นใบหน้าเพื่อใช้ขายแฟนคลับ ทว่าสำหรับเรมี่แล้ว เขากลับรู้สึกเหมือนถูกเคี่ยวเข็ญในฐานะนายแบบภาพศิลปะ นึกแปลกใจกับบางมุมที่ให้เอามือ เอาแขน ปิดบางส่วนของหน้าตา บ้างก็พาย้านไปโซนอื่น เพื่อเปลี่ยนฉากและประเภทดอกไม้
“Abstract ดีจังเลยนะครับ”
เขากล่าวชมด้วยความรู้อันน้อยนิดนั่น ซึ่งน่าจะถูกต้องไม่น้อย
“อา ก็นะ...เอาดอกไม้ปิดปากที ให้เหลือแต่ตา.....อื้อฮึ...”
“ผมขอดูภาพหน่อยได้ไหมครับ?”
คนถ่ายภาพเปิดให้ดู ก่อนที่พวกเขาจะกล่าวชมกันจนเกินความจริง เรมี่เพลิดเพลินกับการถ่ายรูป หลงระเริงกับการพูดคุยและเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยจนหลงลืมเวลา และดูเหมือนว่าจะมีอุปสรรคใหญ่มากกว่านั้น........
เพราะเขาลืมไปว่าวันนี้จะมีพายุฝนในตอนเย็น....