‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

Remii-I - บทที่ 8 Disseminate โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii-I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ

รายละเอียด

Remii-I โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

 

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ 

 

Remii-I

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'

และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง

งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?

-----------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง

*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*

หลายๆ จุดไม่ได้เฉลย เป็นปลายเปิด เหมาะกับคนหานิยายแนวขบคิดอ่าน

-------------------------------

Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)


 

Remii-I

Author: RemyGravity

Cover Illustration: Sun Moon

Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller

 

จากนักเขียน*

*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*

*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*

สารบัญ

Remii-I-บทที่ 1 Your smile,Remii-I-บทที่ 2 Collapse,Remii-I-บทที่ 3 Light Kiss,Remii-I-บทที่ 4 Vague Shadow,Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 1),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 2),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Final Act),Remii-I-บทที่ 6 Solid, failure,Remii-I-บทที่ 7 Break,Remii-I-บทที่ 8 Disseminate,Remii-I-บทที่ 9 Don't Stop The Rain,Remii-I-บทที่ 10 One shoot

เนื้อหา

บทที่ 8 Disseminate

ภาพต่างๆ ถูกร้อยเรียงจนกลายเป็นอัลบั้มใหญ่ เขานึกชั่งใจและเปรียบเทียบกับไอเดียที่ตนเองถวิลหา

‘มันยังมีบางอย่างขาดไป...’

หากให้เปรียบเทียบแล้ว ‘ดอกไม้แห่งฤดูหนาวสีชาด’ นั้นไม่ใช่ดอกไม้ใบหญ้าที่เขาเห็นในวันนี้ มีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ายังเป็นไปตามใจหมายอยู่ครามครัน คิริโนะ นัทสึมิ เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา แต่ก็ยังไม่สามารถเติมเต็มอะไรได้ 

จักรยานถูกถีบปั่นไปตามทาง พอเริ่มตกเย็นแสงธรรมชาติก็เริ่มเหือดหาย เรมี่พับกล้องลงแล้วตะโกนเรียกคนที่มัวแต่ชื่นชมดอกไม้กับผีเสื้อ

“กลับกันได้แล้วมั้ง”

เขากวักมือเรียก พอเห็นอีกฝ่ายดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวจึงชะล่าใจไปอีกคน

“นี่....”

เรมี่เดินเข้าไปหา แล้วเอื้อมมือไปหานัทสึมิ ทว่าจู่ๆ ฝนก็เทลงจนตัวเปียกชุ่ม ร่างกายเย็นเยียบ วิวทิวทัศน์รอบตัวราวกับชโลมด้วยสายน้ำ ราวกับอยู่ท่ามกลางน้ำตก

“นัทสึ...แค่ก... แค่กๆๆ”

เสียงไอดังขึ้น สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากคนถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกอ่อนปวกเปียกจนแทบทรงกายไม่ได้ สัมผัสถึงความหนาวเหน็บเข้ากระดูก แต่มันยังไม่เท่าความร้อนใจในตอนนี้ แวบเดียวที่เขากะพริบตาก่อนสายฝนสาดใส่ ร่างของไอดอลหนุ่มกลับหายไปต่อหน้าต่อตา เหมือนกับถูกชะล้างไปตามสายฝน

เรมี่ไม่อยากพูดพร่ำทำเพลง เขาต้องพาตัวเองเข้าที่ร่มให้ไวที่สุด นึกตำหนิตัวเองไปพลาง สองเท้าก้าวย่างสู่โดมขนาดเล็กที่ใกล้ที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยว มีทั้งม้านั่ง ห้องน้ำและชั้นหนังสือ คล้ายกับมุมน้ำชาเล็กๆ ดวงตาของเขาเหม่อลอย พยายามชะเง้อมองออกไปด้านนอกอย่างสุดความสามารถ

 

“ไปไหนของเขานะ?”  พรูลมยาวด้วยความหัวเสีย มือหนึ่งก็คว้าผ้าขนหนูที่ถูกเตรียมไว้หน้าห้องน้ำมาเช็ดผม เขาหันมองสายฝนที่โหมหนักจนทิวทัศน์รอบข้าง ค่อยๆ กลายเป็นสีขาวขุ่น เหมือนกับ ‘หมอก’ ปกคลุมไปทั่ว

หมอก เป็นความหมายของนามสกุลของนัทสึมิ... พอนำมารวมกับชื่อแล้ว จึงได้ความหมายประหลาด แต่ก็ไพเราะ ‘ฤดูร้อนแห่งสายหมอก’ เป็นความตรงกันข้ามที่เขาเองก็ไม่เคยนึกถึง ดวงตาของเขาหรี่ลง พยายามมองเข้าไปในทัศนวิสัยที่พร่าเบลอ 

‘ถ้าป่วยหรือเป็นอะไรไป ก็ดีนะ เงินก้อนโตเน้นๆ ไม่ต้องลงแรงทำงานเลย’ 

ความคิดส่อแววอันตรายผุดขึ้นมาในหัว จนเรมี่ถึงกับต้องส่ายหัวสลัดความคิดสัปดลออก นึกเจ็บใจตนเองที่เผลอคิดร้ายกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่

 “คุณเรมี่...”

เสียงกระซิบแผ่วเบาดังข้างหู ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเย็นวาปตรงบริเวณเอว ดวงตาคมหันไปมองตามต้นเสียง สอดผสานกับดวงตาคู่สวยสีแดงฉาน ภาพจำจากตอนถ่ายรายการแล่นปาดเข้ามาในหัว สีแดงแวววาวที่ขัดกับธรรมชาติของสีนั้นดูน่าประหลาดใจ และตำแหน่งของนัทสึมิในตอนนี้ก็อยู่ใกล้เขาราวกับดวงตาปริศนาในตอนนั้นไม่มีผิด แต่ความใหญ่โตของมันกลับใหญ่กว่าของนัทสึมิอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าผิดมนุษย์มนาก็ไม่แปลกนัก

‘แต่มัน...เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?’ เขาคิดในใจก่อนจะไถ่ถามอีกฝ่าย ด้วยความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา

“ไปไหนมาฮึ?”

เรมี่ตะปบแก้มนัทสึมิ จับจ้องเข้าไปในลูกแก้วแวววาวอย่างคาดคั้น ความเป็นห่วงของเขามีมากเท่าความตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โผล่พรวดพราดออกมาแบบนี้ แม้เขาจะรู้สึกชินชาแล้วก็ตาม

“พอมีลมกรรโชกแรง ผมรู้ตัวอีกที ก็อยู่ตรงสวนไม้เลื้อยฝั่งนู้นแล้วครับ”

“โห...”

โซนไม้เลื้อย ไม่ได้อยู่ไกลจากพวกเขามากก็จริง แต่การจะไปโผล่ตรงนั้นได้ อย่างน้อยก็ต้องออกแรงเดินเกือบ 100 เมตร เรมี่จับจ้องใบหน้าหวานที่ดูออดอ้อนกว่าปกติ หางตาลู่หลงเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ เนื้อตัวเปียกโชก สั่นเทาด้วยความหนาวไม่ต่างจากเขา

“อย่างน้อยก็ไม่เป็นไรแล้วนะ” 

“ครับ”

ชายหนุ่มคว้าผ้าขนหนูอีกผืนมาเช็ดผมให้ ในใจของเขาแอบรู้สึกผิดที่ลืมการแจ้งเตือนเมื่อเช้าไปซะสนิท เพราะถ้าจำได้ก็คงไม่ชวนออกมาที่โล่งแจ้งแบบนี้ตั้งแต่แรก และก็ไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าทำไมสวนสาธารณะวันนี้ถึงเงียบผิดปกติ

หืม?....

“นายไม่ได้รับแจ้งเตือนเหรอ?” 

กล่าวถามพลางเช็ดหัวลูกแมวตกน้ำจนหมาด เขานึกฉงนใจอยู่ครามครัน เพราะถ้าหากเป็นประชากรในเมืองนี้มานาน ก็น่าจะได้รับการแจ้งเตือนไม่ต่างกันแท้ๆ

“ถึงผมจะทำงานที่นี่ แต่สัมโนครัวของผมยังเป็นที่ญี่ปุ่นครับ”

“อะ...”

จะนึกโทษระบบเฮงซวยของรัฐบาลก็ไม่ได้ เพราะ Ai คงแจกเฉพาะคนที่ยืนยันได้ว่าเป็นประชากรของเมืองจริงๆ เท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวก็จะได้รู้ได้เองผ่านเมนูข่าวสารของนักท่องเที่ยว 

“ทำงานที่นี่ตั้งนาน ยังไม่ได้รับการรับรองเลย?”

“เรื่องมันยาวน่ะครับ...”

“อา...”

ถึงเหตุผลของไอดอลนุ่มหน้าใสมันจะน่าสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม เรมี่ก็ไม่คิดที่จะถามต่อ เขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่าอุตสาหกรรมนี้มีด้านมืดหลายส่วน บางครั้งก็เกินกว่าเขาจะจินตนาการ 

“ผมคิดมาสักพักแล้วว่าไหนๆ นายก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่ายแล้ว ผมเองก็ควรเก็บประวัตินายไว้ใช่ไหม?”

อย่างน้อย ถ้ามันช่วยให้เรื่องต่างๆ ดีขึ้นได้ นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง? ต่อให้เขาจะยังไม่รู้สึกไว้ใจนัทสึมิ แต่การเพิกเฉยต่อเพื่อนร่วมงานก็ไม่ใช่จรรยาบรรณที่ดีสำหรับเขา 

“แบบนั้น...”

“ถือว่าไถ่โทษแล้วกัน”

การจะไปคุยกับผู้จัดการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะจากตัวสัญญาที่เขาเซ้นไปอย่างจำยอมก็พอจะบอกได้ว่าทางต้นสังกัดอยากจะดันนัทสึมิให้มาทางการแสดง ทั้งการทุ่มเทเงิน และเปิดโอกาสให้ได้ผลิตงานตามใจจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมที่เคยตั้งใจไว้ ทุกอย่างมันชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้จะไม่รู้เหตุผลลึกๆ แต่ก็ถือว่ากลับลำไม่ทันแล้ว

ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ...

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” นัทสึมิกล่าวเสียงแผ่ว

“หืม? ทำไมล่ะ? พวกสวัสดิการ สิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำนะ”

“ผมมีเป้าหมายอื่นครับ” ยืนกรานหนักแน่น ดวงตาจับจ้องไม่กะพริบ

“เป้าหมาย?”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไว้คุณคิดว่าผมเหมาะกับงานของคุณจริงๆ ค่อยรับผมเข้าทำงานจริงจังดีกว่าครับ”

“อา...ฮะๆ...เรื่องนั้น....”

ผู้กำกับหนุ่มหลุบตา ผ้าขนหนูในมือ จู่ๆ ก็หยุดการเคลื่อนไหว นัทสึมิยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ยังคงเลศนัยแบบที่เขาคาดไม่ถึงเหมือนเดิม

“ตามใจแล้วกันนะ”

ปกติแล้วเรมี่จะเถียงคอเป็นเอ็น แต่กับผู้ชายคนนี้ เขากลับรู้สึกแตกต่าง ไม่ใช่เพราะความเอ็นดู ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหน่าย แต่มีบางสิ่งกำลังเตือนเขาว่าอย่าย่างกรายเข้าไป โดยเฉพาะดวงไฟสีแดงฉานในดวงตาสีโลหิต ‘อย่าให้มันปะทุได้เป็นอันขาด’

“ฮัดชิ่ล..”

คนผิวขาวเริ่มจาม ร่างกายของเขาคงพ่ายแพ้ต่ออากาศและความเย็น และยิ่งเป็นประชากรในยุคที่คุ้นชินกับสายฝนแล้ว การโดนแม้แค่ละออง ก็คงไม่ต่างจากการถูกฉีดไวรัสเข้าเนื้อกาย

“ป่วยล้านเปอร์เซ็นต์...”

“อย่าแช่งกันแบบนั้นสิครับ”

เรมี่เกาแก้ม ดูจากสภาพพวกเขาทั้งสองแล้ว ยังไงเสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำแบบนี้ก็รั้งแต่จะทำให้สภาพร่างกายแย่ลง เขาเดินเข้าไปในโซนห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้าเอาผ้าขนหนูที่เหลืออีกสามพื้นออกมาจนเกลี้ยงตะกร้า

“ถอดเสื้อออกไหม?”

“ครับ?”

“ถอดออกแล้วเอาผ้าขนหนูห่อตัวไว้” เรมี่สั่งอ้อมๆ พลางยกกองผ้าขนหนูมาวางไว้บนม้านั่ง

“แล้วคุณล่ะครับ?”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมถึกจะตาย”

เขาอวดอ้างสรรพคุณ ในฐานะผู้กำกับหนังแล้ว ถือว่าทนลมทนแดดกว่าไอดอลหนุ่มเป็นไหนๆ แม้แท้จริงแล้วเขาจะมีเหตุผลอื่นก็ตาม...

ไม่นานนัทสึมิก็ออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพเอาผ้าขนหนูคลุมตัวเอาไว้ ในมือของเขายังเหลือผ้าขนหนูอีกผืนที่ไม่ได้ใช้ จึงยื่นให้เรมี่เงียบๆ

“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” 

เขายังคงดื้อแพ่ง กอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ราวกับไม่รับรู้ความเป้นห่วงของอีกฝ่าย

“คุณเป็นหัวหน้าคน ถ้าขาดคุณไป งานก็จะไม่เดินนะครับ”

“นึกว่าจะพูดว่าทุกคนจะเป็นห่วงซะอีกนะ”

นัทสึมิขำคิกคัก โดยมีสายฝนเป็นแบ็คกราวด์ด้านหลัง คำถากถางของเขายังคงจิกกัดได้ถึงกึ๋น แต่มันกลับฟังดูนุ่มฟูเพราะน้ำเสียงแสนอ่อนหวานและยิ้มละมุนละไม

“นานแล้วนะครับ ที่ผมได้เห็นสายฝน” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย โดยที่เรมี่ก็ลุกไปหยิบหนังสือในห้องพักมาอ่าน พวกเขาทั้งคู่นั่งข้างกัน ระยะห่างไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไป 

“จริงๆ แล้วถ้าช่วงกลางๆ ปีแบบตอนนี้ เราควรจะได้เห็นฝนทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมปีนี้ถึงต่างออกไป ถ้าตกสม่ำเสมอมันก็คงไม่ตกเหมือนหมูเหมือนหมาขนาดนี้”

นัทสึมิได้ฟังแบบนั้นก็ถอนหายใจยาว ดวงตาของเขายังสะท้อนสายฝนที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะซาลง

“เพราะเราฝืนธรรมชาติล่ะมั้งครับ?”

“ใช่ พอคิดค้นอะไรได้ ก็นำมาใช้ทันที ทั้งๆ ที่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น”

“คนสมัยก่อนคงมีความสุขมากกว่าพวกเราสินะครับ..” นัทสึมิว่าพลางหรี่ตาลง ใบหน้าดูครุ่นคิดบางอย่างจนออร่าเปล่งประกายหายไปชั่วครู่หนึ่ง

“คนเราก็มีทั้งสุขและทุกข์ไม่ต่างกันหรอก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เดี๋ยวร่างกายก็ปรับตัวจนเข้าที่เอง จริงสิ...สมัยก่อนสองพี่น้องลูมิเยร์ คิดค้นการถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ ทุกคนก็ดูจะโอเคกับภาพขาวดำ แต่ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นก็ยิ่งเรื่องมากจนเอาใจไม่ถูก” 

เขาว่าพลางเปิดกล้องโหมดขาวดำ แล้วแอบถ่ายนัทสึมิไว้อีกภาพ

“แต่เพราะแบบนั้น เราถึงไม่เคยหยุดพัฒนานะครับ”

“นั่นสินะ...”

ดวงตาของเขายังคงไล่อ่านตัวหนังสือ บทสนทนาของพวกเขาดูเรียบง่าย แต่กลับเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เรมี่ชอบการหยิบยกประเด็นขึ้นมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสิ่งที่นัทสึมิพูดก็ดูน่าสนใจ เพราะเขาเองก็ไม่เคยตั้งคำถามหรือคิดว่าจะมีคำตอบอย่างจริงจัง ว่าโลกที่คนเราอยู่กับธรรมชาติหรือโลกที่เราอยู่กับเทคโนโลยี อันไหนถึงจะดีกว่ากัน?

เรมี่เดินกลับไปที่ชั้นหนังสือ มองสิ่งที่อยู่ด้านในอยู่ครู่หนึ่ง มีผ้าใบขนาดเล็กแลบออกมาจากชั้นหนังสือ เมื่อเอื้อมมือดึงมันออกมา ก็พบว่าเป็นร่มพับกันฝนขนาดเล็ก เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วหันกลับไปมองนัทสึมิที่กำลังเช็ดผมตนเองอยู่

“เอ้านี่..” ยื่นให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างน้อยถ้าหากกลับไปที่ตึกล็อบบี้ด้านหน้า ก็จะได้เป่าแห้งด้วยเครื่องเป่าและเช็ดตัวไวกว่าใช้ผ้าขนหนูซับแบบนี้ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ไม่มีทางที่คนร่างกายอ่อนแรงแบบนัทสึมิจะไม่ป่วย แต่ขนาดของร่มนั้นก็ไม่ใหญ่มากพอให้ไปได้สองคน

“ไม่ดีกว่าครับ กลับไปด้วยกันนี่ล่ะครับ”

“อะ....”

หนังสือเล่มหนึ่งถูกเลือกหยิบ เขากวาดสายตาอ่านไปมา ลมหายใจสะดุดขัดยามข่าวมากมายถูกตีพิมพ์ไว้หมาดๆ หน้าของเขายับย่นยามเห็นตัวอักษรที่ตีพิมพ์บทวิจารณ์ภาพยนต์ของเขาในทางลบ รวมถึงข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงที่ใส่สีตีไข่จนต้องกุมขมับ แม้จะถูกแทนที่ด้วยอักษรย่ออย่าง ผู้กำกับ R แต่เขาย่อมรู้ดีว่าใครกำลังตกเป็นประเด็นของสังคม

รวมถึงเรื่องวงในที่เขาเข้าไปทำสื่อในคอนเสิร์ตของวง JustMinute ที่ไม่ควรแพร่งพรายออกไป 

‘ผู้กำกับตกอับ จนต้องจ้างไอดอลมาเล่นหนังทำกระแส’

เขาแอบเหลือบมองไอดอลหนุ่มที่ยืนเพลิดเพลินมองสายฝนเงียบๆ พยายามไม่คิดลบต่างๆ นานาทั้งที่ไม่มีหลักฐาน พินิจพิเคราะห์ท่าทีของสต๊าฟสาวและบรรดานักแสดงหญิงที่ส่งสายตาแปลกๆ  ในช่วงนี้ พอประกอบกันแล้วก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงดูคิดลบกันแบบนั้น รวมถึงบทสนทนาในตอนเที่ยงที่แม้จะอยู่ไกลหูไกลตาแค่ไหน สีหน้าของพวกหล่อนก็ฟ้องทุกอย่างหมดแล้ว

ยังไม่นับเรื่องประหลาดที่เขาไม่อยากเก็บมาคิดให้ยืดยาว...

‘ไม่ใช่มั้ง...’

เขารู้สึกเคลือบแคลง มีอะไรติดค้างคาใจอยู่ครามครัน เพราะถ้านัทสึมิเป็นคนทำ นั่นเท่ากับเขากำลังเปิดประตูต้อนรับอสรพิษให้เข้ามาทำลายชีวิตดีๆ นี่เอง...

ความหนาวเย็น ทำให้ร่างกายทำงานไวกว่าปกติ เรมี่รู้สึกปวดท้องเบาโดยยังไม่ทันได้พูดอะไร โชคดีที่มีห้องน้ำในตัวอาคารแบบที่เดินเข้าไปได้เลย แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นซะทีเดียว 

“ฝาก...” เรมี่ยกหนังสือให้นัทสึมิ 

“ไปไหนหรือครับ?”

“ไปเข้าห้องน้ำ...”

นัทสึมิมองตามอย่างงงๆ ตัวเขาเกิดคำถามขึ้นมากมาย ว่าทำไมเรมี่ถึงต้องฝากหนังสือนิตยสารรายสัปดาห์กับตน

“เอ้อ ระหว่างผมเข้าห้องน้ำ อ่านสัมภาษณ์ของคุณมาเรียไปก่อนนะ”

“คะ ครับ...”

พอเห็นว่านัทสึมิเบี่ยงความสนใจจากตัวเขาไปเป็นหนังสือแล้ว เขาจึงเบี่ยงตัวเข้าห้องน้ำในทันที เพราะถึงจะบอกว่าเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เขากลับไม่รู้สึกไว้ใจนัทสึมิขนาดนั้น 

และตัวเขายังมีความลับบางอย่าง ที่ยังไม่อยากให้ใครล่วงรู้....