‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
หลายๆ จุดไม่ได้เฉลย เป็นปลายเปิด เหมาะกับคนหานิยายแนวขบคิดอ่าน
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
ภาพต่างๆ ถูกร้อยเรียงจนกลายเป็นอัลบั้มใหญ่ เขานึกชั่งใจและเปรียบเทียบกับไอเดียที่ตนเองถวิลหา
‘มันยังมีบางอย่างขาดไป...’
หากให้เปรียบเทียบแล้ว ‘ดอกไม้แห่งฤดูหนาวสีชาด’ นั้นไม่ใช่ดอกไม้ใบหญ้าที่เขาเห็นในวันนี้ มีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ายังเป็นไปตามใจหมายอยู่ครามครัน คิริโนะ นัทสึมิ เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา แต่ก็ยังไม่สามารถเติมเต็มอะไรได้
จักรยานถูกถีบปั่นไปตามทาง พอเริ่มตกเย็นแสงธรรมชาติก็เริ่มเหือดหาย เรมี่พับกล้องลงแล้วตะโกนเรียกคนที่มัวแต่ชื่นชมดอกไม้กับผีเสื้อ
“กลับกันได้แล้วมั้ง”
เขากวักมือเรียก พอเห็นอีกฝ่ายดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวจึงชะล่าใจไปอีกคน
“นี่....”
เรมี่เดินเข้าไปหา แล้วเอื้อมมือไปหานัทสึมิ ทว่าจู่ๆ ฝนก็เทลงจนตัวเปียกชุ่ม ร่างกายเย็นเยียบ วิวทิวทัศน์รอบตัวราวกับชโลมด้วยสายน้ำ ราวกับอยู่ท่ามกลางน้ำตก
“นัทสึ...แค่ก... แค่กๆๆ”
เสียงไอดังขึ้น สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากคนถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกอ่อนปวกเปียกจนแทบทรงกายไม่ได้ สัมผัสถึงความหนาวเหน็บเข้ากระดูก แต่มันยังไม่เท่าความร้อนใจในตอนนี้ แวบเดียวที่เขากะพริบตาก่อนสายฝนสาดใส่ ร่างของไอดอลหนุ่มกลับหายไปต่อหน้าต่อตา เหมือนกับถูกชะล้างไปตามสายฝน
เรมี่ไม่อยากพูดพร่ำทำเพลง เขาต้องพาตัวเองเข้าที่ร่มให้ไวที่สุด นึกตำหนิตัวเองไปพลาง สองเท้าก้าวย่างสู่โดมขนาดเล็กที่ใกล้ที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นจุดพักสำหรับนักท่องเที่ยว มีทั้งม้านั่ง ห้องน้ำและชั้นหนังสือ คล้ายกับมุมน้ำชาเล็กๆ ดวงตาของเขาเหม่อลอย พยายามชะเง้อมองออกไปด้านนอกอย่างสุดความสามารถ
“ไปไหนของเขานะ?” พรูลมยาวด้วยความหัวเสีย มือหนึ่งก็คว้าผ้าขนหนูที่ถูกเตรียมไว้หน้าห้องน้ำมาเช็ดผม เขาหันมองสายฝนที่โหมหนักจนทิวทัศน์รอบข้าง ค่อยๆ กลายเป็นสีขาวขุ่น เหมือนกับ ‘หมอก’ ปกคลุมไปทั่ว
หมอก เป็นความหมายของนามสกุลของนัทสึมิ... พอนำมารวมกับชื่อแล้ว จึงได้ความหมายประหลาด แต่ก็ไพเราะ ‘ฤดูร้อนแห่งสายหมอก’ เป็นความตรงกันข้ามที่เขาเองก็ไม่เคยนึกถึง ดวงตาของเขาหรี่ลง พยายามมองเข้าไปในทัศนวิสัยที่พร่าเบลอ
‘ถ้าป่วยหรือเป็นอะไรไป ก็ดีนะ เงินก้อนโตเน้นๆ ไม่ต้องลงแรงทำงานเลย’
ความคิดส่อแววอันตรายผุดขึ้นมาในหัว จนเรมี่ถึงกับต้องส่ายหัวสลัดความคิดสัปดลออก นึกเจ็บใจตนเองที่เผลอคิดร้ายกับคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“คุณเรมี่...”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังข้างหู ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเย็นวาปตรงบริเวณเอว ดวงตาคมหันไปมองตามต้นเสียง สอดผสานกับดวงตาคู่สวยสีแดงฉาน ภาพจำจากตอนถ่ายรายการแล่นปาดเข้ามาในหัว สีแดงแวววาวที่ขัดกับธรรมชาติของสีนั้นดูน่าประหลาดใจ และตำแหน่งของนัทสึมิในตอนนี้ก็อยู่ใกล้เขาราวกับดวงตาปริศนาในตอนนั้นไม่มีผิด แต่ความใหญ่โตของมันกลับใหญ่กว่าของนัทสึมิอย่างเห็นได้ชัด เรียกว่าผิดมนุษย์มนาก็ไม่แปลกนัก
‘แต่มัน...เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?’ เขาคิดในใจก่อนจะไถ่ถามอีกฝ่าย ด้วยความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา
“ไปไหนมาฮึ?”
เรมี่ตะปบแก้มนัทสึมิ จับจ้องเข้าไปในลูกแก้วแวววาวอย่างคาดคั้น ความเป็นห่วงของเขามีมากเท่าความตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โผล่พรวดพราดออกมาแบบนี้ แม้เขาจะรู้สึกชินชาแล้วก็ตาม
“พอมีลมกรรโชกแรง ผมรู้ตัวอีกที ก็อยู่ตรงสวนไม้เลื้อยฝั่งนู้นแล้วครับ”
“โห...”
โซนไม้เลื้อย ไม่ได้อยู่ไกลจากพวกเขามากก็จริง แต่การจะไปโผล่ตรงนั้นได้ อย่างน้อยก็ต้องออกแรงเดินเกือบ 100 เมตร เรมี่จับจ้องใบหน้าหวานที่ดูออดอ้อนกว่าปกติ หางตาลู่หลงเหมือนกับกำลังจะร้องไห้ เนื้อตัวเปียกโชก สั่นเทาด้วยความหนาวไม่ต่างจากเขา
“อย่างน้อยก็ไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มคว้าผ้าขนหนูอีกผืนมาเช็ดผมให้ ในใจของเขาแอบรู้สึกผิดที่ลืมการแจ้งเตือนเมื่อเช้าไปซะสนิท เพราะถ้าจำได้ก็คงไม่ชวนออกมาที่โล่งแจ้งแบบนี้ตั้งแต่แรก และก็ไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าทำไมสวนสาธารณะวันนี้ถึงเงียบผิดปกติ
หืม?....
“นายไม่ได้รับแจ้งเตือนเหรอ?”
กล่าวถามพลางเช็ดหัวลูกแมวตกน้ำจนหมาด เขานึกฉงนใจอยู่ครามครัน เพราะถ้าหากเป็นประชากรในเมืองนี้มานาน ก็น่าจะได้รับการแจ้งเตือนไม่ต่างกันแท้ๆ
“ถึงผมจะทำงานที่นี่ แต่สัมโนครัวของผมยังเป็นที่ญี่ปุ่นครับ”
“อะ...”
จะนึกโทษระบบเฮงซวยของรัฐบาลก็ไม่ได้ เพราะ Ai คงแจกเฉพาะคนที่ยืนยันได้ว่าเป็นประชากรของเมืองจริงๆ เท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวก็จะได้รู้ได้เองผ่านเมนูข่าวสารของนักท่องเที่ยว
“ทำงานที่นี่ตั้งนาน ยังไม่ได้รับการรับรองเลย?”
“เรื่องมันยาวน่ะครับ...”
“อา...”
ถึงเหตุผลของไอดอลนุ่มหน้าใสมันจะน่าสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม เรมี่ก็ไม่คิดที่จะถามต่อ เขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่าอุตสาหกรรมนี้มีด้านมืดหลายส่วน บางครั้งก็เกินกว่าเขาจะจินตนาการ
“ผมคิดมาสักพักแล้วว่าไหนๆ นายก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่ายแล้ว ผมเองก็ควรเก็บประวัตินายไว้ใช่ไหม?”
อย่างน้อย ถ้ามันช่วยให้เรื่องต่างๆ ดีขึ้นได้ นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง? ต่อให้เขาจะยังไม่รู้สึกไว้ใจนัทสึมิ แต่การเพิกเฉยต่อเพื่อนร่วมงานก็ไม่ใช่จรรยาบรรณที่ดีสำหรับเขา
“แบบนั้น...”
“ถือว่าไถ่โทษแล้วกัน”
การจะไปคุยกับผู้จัดการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะจากตัวสัญญาที่เขาเซ้นไปอย่างจำยอมก็พอจะบอกได้ว่าทางต้นสังกัดอยากจะดันนัทสึมิให้มาทางการแสดง ทั้งการทุ่มเทเงิน และเปิดโอกาสให้ได้ผลิตงานตามใจจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมที่เคยตั้งใจไว้ ทุกอย่างมันชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แม้จะไม่รู้เหตุผลลึกๆ แต่ก็ถือว่ากลับลำไม่ทันแล้ว
ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ...
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” นัทสึมิกล่าวเสียงแผ่ว
“หืม? ทำไมล่ะ? พวกสวัสดิการ สิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำนะ”
“ผมมีเป้าหมายอื่นครับ” ยืนกรานหนักแน่น ดวงตาจับจ้องไม่กะพริบ
“เป้าหมาย?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ไว้คุณคิดว่าผมเหมาะกับงานของคุณจริงๆ ค่อยรับผมเข้าทำงานจริงจังดีกว่าครับ”
“อา...ฮะๆ...เรื่องนั้น....”
ผู้กำกับหนุ่มหลุบตา ผ้าขนหนูในมือ จู่ๆ ก็หยุดการเคลื่อนไหว นัทสึมิยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ยังคงเลศนัยแบบที่เขาคาดไม่ถึงเหมือนเดิม
“ตามใจแล้วกันนะ”
ปกติแล้วเรมี่จะเถียงคอเป็นเอ็น แต่กับผู้ชายคนนี้ เขากลับรู้สึกแตกต่าง ไม่ใช่เพราะความเอ็นดู ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหน่าย แต่มีบางสิ่งกำลังเตือนเขาว่าอย่าย่างกรายเข้าไป โดยเฉพาะดวงไฟสีแดงฉานในดวงตาสีโลหิต ‘อย่าให้มันปะทุได้เป็นอันขาด’
“ฮัดชิ่ล..”
คนผิวขาวเริ่มจาม ร่างกายของเขาคงพ่ายแพ้ต่ออากาศและความเย็น และยิ่งเป็นประชากรในยุคที่คุ้นชินกับสายฝนแล้ว การโดนแม้แค่ละออง ก็คงไม่ต่างจากการถูกฉีดไวรัสเข้าเนื้อกาย
“ป่วยล้านเปอร์เซ็นต์...”
“อย่าแช่งกันแบบนั้นสิครับ”
เรมี่เกาแก้ม ดูจากสภาพพวกเขาทั้งสองแล้ว ยังไงเสื้อผ้าที่ชุ่มน้ำแบบนี้ก็รั้งแต่จะทำให้สภาพร่างกายแย่ลง เขาเดินเข้าไปในโซนห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้าเอาผ้าขนหนูที่เหลืออีกสามพื้นออกมาจนเกลี้ยงตะกร้า
“ถอดเสื้อออกไหม?”
“ครับ?”
“ถอดออกแล้วเอาผ้าขนหนูห่อตัวไว้” เรมี่สั่งอ้อมๆ พลางยกกองผ้าขนหนูมาวางไว้บนม้านั่ง
“แล้วคุณล่ะครับ?”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมถึกจะตาย”
เขาอวดอ้างสรรพคุณ ในฐานะผู้กำกับหนังแล้ว ถือว่าทนลมทนแดดกว่าไอดอลหนุ่มเป็นไหนๆ แม้แท้จริงแล้วเขาจะมีเหตุผลอื่นก็ตาม...
ไม่นานนัทสึมิก็ออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพเอาผ้าขนหนูคลุมตัวเอาไว้ ในมือของเขายังเหลือผ้าขนหนูอีกผืนที่ไม่ได้ใช้ จึงยื่นให้เรมี่เงียบๆ
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
เขายังคงดื้อแพ่ง กอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ราวกับไม่รับรู้ความเป้นห่วงของอีกฝ่าย
“คุณเป็นหัวหน้าคน ถ้าขาดคุณไป งานก็จะไม่เดินนะครับ”
“นึกว่าจะพูดว่าทุกคนจะเป็นห่วงซะอีกนะ”
นัทสึมิขำคิกคัก โดยมีสายฝนเป็นแบ็คกราวด์ด้านหลัง คำถากถางของเขายังคงจิกกัดได้ถึงกึ๋น แต่มันกลับฟังดูนุ่มฟูเพราะน้ำเสียงแสนอ่อนหวานและยิ้มละมุนละไม
“นานแล้วนะครับ ที่ผมได้เห็นสายฝน” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย โดยที่เรมี่ก็ลุกไปหยิบหนังสือในห้องพักมาอ่าน พวกเขาทั้งคู่นั่งข้างกัน ระยะห่างไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไป
“จริงๆ แล้วถ้าช่วงกลางๆ ปีแบบตอนนี้ เราควรจะได้เห็นฝนทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไมปีนี้ถึงต่างออกไป ถ้าตกสม่ำเสมอมันก็คงไม่ตกเหมือนหมูเหมือนหมาขนาดนี้”
นัทสึมิได้ฟังแบบนั้นก็ถอนหายใจยาว ดวงตาของเขายังสะท้อนสายฝนที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะซาลง
“เพราะเราฝืนธรรมชาติล่ะมั้งครับ?”
“ใช่ พอคิดค้นอะไรได้ ก็นำมาใช้ทันที ทั้งๆ ที่ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น”
“คนสมัยก่อนคงมีความสุขมากกว่าพวกเราสินะครับ..” นัทสึมิว่าพลางหรี่ตาลง ใบหน้าดูครุ่นคิดบางอย่างจนออร่าเปล่งประกายหายไปชั่วครู่หนึ่ง
“คนเราก็มีทั้งสุขและทุกข์ไม่ต่างกันหรอก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เดี๋ยวร่างกายก็ปรับตัวจนเข้าที่เอง จริงสิ...สมัยก่อนสองพี่น้องลูมิเยร์ คิดค้นการถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ ทุกคนก็ดูจะโอเคกับภาพขาวดำ แต่ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นก็ยิ่งเรื่องมากจนเอาใจไม่ถูก”
เขาว่าพลางเปิดกล้องโหมดขาวดำ แล้วแอบถ่ายนัทสึมิไว้อีกภาพ
“แต่เพราะแบบนั้น เราถึงไม่เคยหยุดพัฒนานะครับ”
“นั่นสินะ...”
ดวงตาของเขายังคงไล่อ่านตัวหนังสือ บทสนทนาของพวกเขาดูเรียบง่าย แต่กลับเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เรมี่ชอบการหยิบยกประเด็นขึ้นมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสิ่งที่นัทสึมิพูดก็ดูน่าสนใจ เพราะเขาเองก็ไม่เคยตั้งคำถามหรือคิดว่าจะมีคำตอบอย่างจริงจัง ว่าโลกที่คนเราอยู่กับธรรมชาติหรือโลกที่เราอยู่กับเทคโนโลยี อันไหนถึงจะดีกว่ากัน?
เรมี่เดินกลับไปที่ชั้นหนังสือ มองสิ่งที่อยู่ด้านในอยู่ครู่หนึ่ง มีผ้าใบขนาดเล็กแลบออกมาจากชั้นหนังสือ เมื่อเอื้อมมือดึงมันออกมา ก็พบว่าเป็นร่มพับกันฝนขนาดเล็ก เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วหันกลับไปมองนัทสึมิที่กำลังเช็ดผมตนเองอยู่
“เอ้านี่..” ยื่นให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างน้อยถ้าหากกลับไปที่ตึกล็อบบี้ด้านหน้า ก็จะได้เป่าแห้งด้วยเครื่องเป่าและเช็ดตัวไวกว่าใช้ผ้าขนหนูซับแบบนี้ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ไม่มีทางที่คนร่างกายอ่อนแรงแบบนัทสึมิจะไม่ป่วย แต่ขนาดของร่มนั้นก็ไม่ใหญ่มากพอให้ไปได้สองคน
“ไม่ดีกว่าครับ กลับไปด้วยกันนี่ล่ะครับ”
“อะ....”
หนังสือเล่มหนึ่งถูกเลือกหยิบ เขากวาดสายตาอ่านไปมา ลมหายใจสะดุดขัดยามข่าวมากมายถูกตีพิมพ์ไว้หมาดๆ หน้าของเขายับย่นยามเห็นตัวอักษรที่ตีพิมพ์บทวิจารณ์ภาพยนต์ของเขาในทางลบ รวมถึงข่าวฉาวเรื่องผู้หญิงที่ใส่สีตีไข่จนต้องกุมขมับ แม้จะถูกแทนที่ด้วยอักษรย่ออย่าง ผู้กำกับ R แต่เขาย่อมรู้ดีว่าใครกำลังตกเป็นประเด็นของสังคม
รวมถึงเรื่องวงในที่เขาเข้าไปทำสื่อในคอนเสิร์ตของวง JustMinute ที่ไม่ควรแพร่งพรายออกไป
‘ผู้กำกับตกอับ จนต้องจ้างไอดอลมาเล่นหนังทำกระแส’
เขาแอบเหลือบมองไอดอลหนุ่มที่ยืนเพลิดเพลินมองสายฝนเงียบๆ พยายามไม่คิดลบต่างๆ นานาทั้งที่ไม่มีหลักฐาน พินิจพิเคราะห์ท่าทีของสต๊าฟสาวและบรรดานักแสดงหญิงที่ส่งสายตาแปลกๆ ในช่วงนี้ พอประกอบกันแล้วก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงดูคิดลบกันแบบนั้น รวมถึงบทสนทนาในตอนเที่ยงที่แม้จะอยู่ไกลหูไกลตาแค่ไหน สีหน้าของพวกหล่อนก็ฟ้องทุกอย่างหมดแล้ว
ยังไม่นับเรื่องประหลาดที่เขาไม่อยากเก็บมาคิดให้ยืดยาว...
‘ไม่ใช่มั้ง...’
เขารู้สึกเคลือบแคลง มีอะไรติดค้างคาใจอยู่ครามครัน เพราะถ้านัทสึมิเป็นคนทำ นั่นเท่ากับเขากำลังเปิดประตูต้อนรับอสรพิษให้เข้ามาทำลายชีวิตดีๆ นี่เอง...
ความหนาวเย็น ทำให้ร่างกายทำงานไวกว่าปกติ เรมี่รู้สึกปวดท้องเบาโดยยังไม่ทันได้พูดอะไร โชคดีที่มีห้องน้ำในตัวอาคารแบบที่เดินเข้าไปได้เลย แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นซะทีเดียว
“ฝาก...” เรมี่ยกหนังสือให้นัทสึมิ
“ไปไหนหรือครับ?”
“ไปเข้าห้องน้ำ...”
นัทสึมิมองตามอย่างงงๆ ตัวเขาเกิดคำถามขึ้นมากมาย ว่าทำไมเรมี่ถึงต้องฝากหนังสือนิตยสารรายสัปดาห์กับตน
“เอ้อ ระหว่างผมเข้าห้องน้ำ อ่านสัมภาษณ์ของคุณมาเรียไปก่อนนะ”
“คะ ครับ...”
พอเห็นว่านัทสึมิเบี่ยงความสนใจจากตัวเขาไปเป็นหนังสือแล้ว เขาจึงเบี่ยงตัวเข้าห้องน้ำในทันที เพราะถึงจะบอกว่าเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่เขากลับไม่รู้สึกไว้ใจนัทสึมิขนาดนั้น
และตัวเขายังมีความลับบางอย่าง ที่ยังไม่อยากให้ใครล่วงรู้....