‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Remii-I‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้
‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’
Remii-I
เรื่องย่อ
ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'
และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง
งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?
-----------------------------
เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง
*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*
หลายๆ จุดไม่ได้เฉลย เป็นปลายเปิด เหมาะกับคนหานิยายแนวขบคิดอ่าน
-------------------------------
Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)
Remii-I
Author: RemyGravity
Cover Illustration: Sun Moon
Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller
จากนักเขียน*
*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*
*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*
“ช่วงนี้สภาพอากาศไม่เป็นใจ จะมีฝนตกยาวติดต่อกันหนึ่งอาทิตย์....”
เสียงของพิธีกรรายการข่าวดังขึ้น ตามด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ จากในครัว ดวงตาสีชมพูลืมขึ้น พลางกวาดไปทั่ว ห้องนอนธีมสีดำขาว ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ล้ำยุคและคงธีมมินิมอลยังคงอยู่เหมือนเดิม ไฟ LED วิ่งไปมาตรงกำแพง เกิดเป็นลวดลายแสนชินตา
เจ้าของห้องผงกหัวขึ้นจากที่นอน พวงแก้มแดงก่ำเพราะพิษไข้ ถึงจะไม่ร้ายแรงมากแต่ก็ขอเลือกวิธีเยียวยาตนเองแบบบ้านๆ มันดีกว่าอัดยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งให้หายดี คนมีการศึกษาทุกคนย่อมรู้ว่าทำแบบนั้น นานวันเข้าก็เหมือนเร่งเวลาให้อายุไขสั้นลง ปกติแล้วเตียงนอนแคปซูลของเขาจะมีฝาแก้วเปิดปิด เพื่อปรับอุณหาภูมิให้นอนสบาย ทว่าในยามที่ต้องอยู่คนเดียว อะไรบางอย่างก็ทำให้เขาต้องหาผ้าห่มมาคลุมนอน
หุ่นยนต์กระป๋องเดินไปมาในบ้าน แค่มองดูพื้นมันวาวก็รู้ได้ในทันทีว่าสะอาดเอี่ยม เหล่าจักรกลสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามเวลาที่ป้อนคำสั่งไว้ มีโหมดพยาบาลเอาไว้ดูแลยามเจ็บป่วย ฉะนั้นถึงมิเรย์ไม่อยู่ เรมี่ก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องการดูแลสุขภาพ
เขาปัดมือเพื่อขยายหน้าจอรายการทีวีเข้ากาย ขยายให้มันใหญ่ขึ้น แล้วเลื่อนไปให้ชิดกำแพง ไม่ต่างจากจอโปรเจ็กเตอร์เครื่องใหญ่
“ข้าวต้มปลาได้แล้วครับคุณเรมี่”
เสียง Ai โทนเรียบดังขึ้น พร้อมหุ่นยนต์ที่มีหน้าจอเป็นหน้าอีโมจิยิ้มแย้มแจ่มใส
“วางไว้เลย”
“ให้ป้อนไหมครับ?”
“ไม่เป็นไร”
ถึงการถูกป้อนด้วยหุ่นยนต์รับใช้จะสะดวกสบายกว่า แต่มันก็เข้าใกล้ความเป็น ‘ง่อย’ ขึ้นทุกวัน แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่น แต่คนทั่วไปกลับปิดกั้นตนเองและยึดติดความสบาย จนสมองไม่สามารถคิดเรื่องซับซ้อนได้ ไม่สามารถตระหนัก ตกตะกอน หรือกระทั่งตั้งคำถามใดๆ คนในยุคนี้ความสามารถด้านการวิเคราะห์ต่ำเตี้ย เพราะถูกป้อนข้อมูลจนเคยชิน หากคำนวนอะไรไม่ได้ ระบบคอมพิวเตอร์ก็อยู่ข้างกายเสมอ แม้จะเป็นการเสี่ยงลงทุนหรือการตลาด ก็ยังมีอีกหลายคน ที่พึ่งพาแต่สมองกลราวกับต้องมนตร์วิเศษ จนหลงลืมว่าพวกมันไม่สามารถมองภาพรวมได้ดีเท่ามนุษย์
ปลาเนื้อขาวถูกช้อนบิออกจนกลายเป็นชิ้นเล็ก เขาตักมันเข้าปากทั้งที่ยังห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม ราวกับเด็กขาดความอบอุ่น ตาก็จ้องมองรายการข่าวที่พูดไปเรื่อย และแน่นอนว่าไม่เข้าหูเลยแม้แต่น้อย เขาก้มหน้าตักข้าวแฉะน้ำเข้าปาก กวาดก้นถ้วยไปมา จนเกลี้ยงภาชนะ แล้วจึงผงกหัวขึ้นมามองหน้าจอ เมื่อชื่อของนัทสึมิถูกกล่าวถึง ตามด้วยหน้าจอตัด transition เข้าสู่ช่วงสัมภาษณ์
“ครับ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเลยล่ะครับ ทุกคนใจดีมาก....”
เรมี่เท้าคางกับโต๊ะ มองรอยยิ้มแสนสดใส ไม่ต่างจากสีผิวของเจ้าตัว
หลังจากพานัทสึมิไปถ่ายภาพที่สวนสาธารณะแล้ว สองสามวันหลังจากนั้นเขาจึงล้มป่วยหนักจนไปทำงานไม่ไหว ในตอนแรกเขาก็คิดว่าตนเองคงจะแข็งแรงพอเอาชนะแค่ความเย็นจากสายน้ำที่เทโครมลงมาจากฟากฟ้า แต่แท้จริงแล้ว มันก็แค่ระยะฟักตัวที่ช้ากว่าที่คิดเท่านั้น
ใบหน้าจิ้มลิ้ม ขัดกับแววตาเย็นชาของนัทสึมิในบางครั้ง ทำให้เขาไม่สามารถแยกออกได้ว่าเจ้าตัวแท้จริงแล้วมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร
“เฮ้อ มันไม่สำคัญหรอกมั้ง...”
พูดกับตนเองไปพลาง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่อง ‘ชั่วคราว’ เป็นการพานพบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และจบลงอย่างง่ายดายเหมือนกับความสัมพันธ์ของเขากับนักแสดงคนอื่น
มันควรจะเป็นเช่นนั้น...
ไม่สิ...
มันเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก...
แต่ตัวตนของนัทสึมิ ย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผลงานชิ้นสำคัญของเขา ตอนนี้ขอแค่ได้ปลดล็อคอะไรบางอย่างก็น่าจะเพียงพอให้สมองโล่งแท้ๆ แต่มันกลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและความรู้สึกผิดบาปที่ทับถมจนหนักหัว ทั้งเรื่องของมิเรย์ อาการป่วยของเขา การที่ต้องสละเวลาทำงานให้ไอดอลที่พร้อมจะแย่งแสงไปจากเขาทุกชั่วขณะ
และชายหนุ่มร่างสูงชะรูดที่อยู่ในรูปภาพ desktop ก็ไม่มีวันกลับมาหาเขาอีกแล้ว ไม่ว่าจะพยายามชดเชยเช่นไรก็ไม่เพียงพอ..
ร่างสูงเอนตัวซบหมอน เหม่อมองไปทั่วห้อง สมองก็พลันนึกย้อนถึงใบหน้าหวาน ที่คอยส่งรอยยิ้มละไมให้เขา ไม่ว่าจะตอนเจอหน้ากันที่งานมีทติ้งครั้งแรก มุมเงยหน้ายามมองฟากฟ้าไกล ริมฝีปากที่เบ้เบะตอนทำเส้นราเมนตีน้ำซุปใส่ตนเอง...
“ถึงจะเป็นนักแสดงที่น่าสนใจแค่ไหน ก็ต้องกลับไปเป็นไอดอลอยู่ดีล่ะนะ” เขาบอกกับตนเอง หลับตาลงเพื่อปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน
ตื้ดดดดด ตื้ดดดด...
“โอ้ย อะไรกันวะ...”
ผงกหัวขึ้นมาจากหมอน ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมารับโทรศัพท์ นิ้วยาวจิ้มปุ่มสีเขียวบนหน้าจอข้างกายเพื่อรับสาย
“ครับ เรมี่ครับ”
“คุณเรมี่ นี่ผมเองนะ ด็อกเตอร์สกาย”
“อะ ครับ” จากน้ำเสียงชวนหงุดหงิด เปลี่ยนเป็นทางการโดยพลัน
“ผมคิดว่าผมหาสาเหตุการ error ของคุณมิเรย์ได้แล้วครับ”
“ครับ เกิดจากอะไรครับ?”
เรมี่มองหน้าจอ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความจริงจัง แม้จะรู้สึกจั๊กจี้ตอนที่อีกฝ่ายเรียกสรรพนามของมิเรย์ว่า ‘คุณ’ ทั้งๆ ที่รู้ดีกว่าใครว่าชื่อนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่มันคงเป็นการให้เกียรติและรักษาจรรยาบรรณอย่างถึงที่สุด
“คุณมิเรย์ มีตัว database หลักมาจากความทรงจำและความรู้สึกนึกคิดของคุณเรมี่ ที่เป็น big data เธอเป็น machine learning ที่ generate การกระทำและพฤติกรรมต่างๆ ได้โดยมีฐานข้อมูลของคุณเรมี่เป็น core เป็นงานที่ใกล้เคียงกับโคลนนิ่ง คุณจำข้อนี้ได้ใช่ไหมครับ?”
“ครับ...”
“แต่พอมีตัว big data ที่ใหญ่หรือซับซ้อนเกินไป ทำให้เธอรับไม่ไหวครับ”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“คุณเรมี่กำลังมีอารมณ์ ความรู้สึก บางอย่างที่ทำให้เธอรับไม่ไหวครับ ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคืออะไร ช่วงนี้กังวลหรือมีอะไรเข้ามาทำให้จิตใจกระวนกระวายหรือเปล่าครับ? เพราะมันน่าจะเกิดจากสุขภาพจิตของคุณด้วยส่วนหนึ่ง”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“ยังไง ตอนนี้พวกผมอาจจะยังแก้ไม่ได้ แต่ถ้าหากคุณสามารถที่จะกำจัดต้นตอไปได้ และทำให้ความซับซ้อนทางด้านข้อมูลลดลง มันอาจจะดีขึ้นนะครับ”
“ครับ ช่วงนี้ลองตัดการเชื่อมต่อกับตัวผมออกก่อนก็ได้ครับ” เขาหลุบตาต่ำ มองสถานะตนเองผ่านทางหน้าจอ
“รับทราบครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือครับ”
สถานะภาพที่เคยเป็นปุ่มสีเขียว ที่มีการ synchronize กับมิเรย์เปลี่ยนเป็นสีเทา เขาเอนตัวนอนลงอีกครั้ง เอาแขนก่ายหน้าผากเงียบๆ
อารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ มันซับซ้อนเกินกว่าตัวเขาเองจะเข้าใจ ถ้าให้แยกหรือจำแนกออกมาว่าความรู้สึกไหนที่รุนแรงมากพอจะครอบงำเขาหรือทำให้คิดไม่ตกมากที่สุด ก็คงจะไม่สามารถหาคำตอบได้ในเร็ววัน แม้จริงๆ แล้วเขาจะพอมีคำตอบในใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับสมองกลที่รับช่วงต่อไป
บางอย่างยังเกินขอบเขตความเข้าใจของเขา ทั้งต่อตนเองและต่อเทคโนโลยีรอบกาย
โปรเจ็กต์มิเรย์...คำตอบตอนนี้มีอยู่แค่สองอย่าง คือการไม่ให้มิเรย์รับส่งข้อมูลต่อ สุดท้ายก็คงไม่ต่างจากหุ่นยนต์กระป๋องทั่วไปที่วงจรความคิดไม่ได้ยืดหยุ่นอะไรนัก หรืออีกคำตอบหนึ่งที่แยบยลกว่า คือจัดการที่ตัวเขาไม่ให้ฟุ่งซ่านจนกลายเป็นปัญหากับทีมวิศวกรมากเกินไป
“คุณเรมี่ครับ...”
“อะ ครับ?”
เขาเผลอเหม่อลอย ครุ่นคิดกับตนเองจนลืมไปว่ายังไม่ได้วางสาย
“หรือว่าคุณ....จะมีความรักครับ?”
เป็นครั้งแรกที่คำกล่าวทักทำให้ลมหายใจของเขาขาดห้วง ดวงตาเบิกกว้าง ผสมปนกับมือไม้ที่ชาจนเกร็ง
“มะ มันจะเป็นแบบนั้นได้ไงล่ะครับ? วันๆ ผมก็ทำแต่งาน ไม่ได้มีเวลาให้คิดถึงเรื่องอื่นเลยครับ”
ประโยคตะกุกตะกักดูมีพิรุธ แต่ถ้าถามหาข้อเท็จจริง ก็คงตอบได้ว่าเขาไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
“งั้นหรือครับ ขออภัยที่ถามอะไรแปลกๆ นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ...”
พวกเขาคุยกันเรื่องมูลค่าความเสียหายของมิเรย์ และงบจากส่วนกลางต่อเล็กน้อย ก่อนที่สายจะถูกตัดไป เรมี่ถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนหลบหนีจากการตามล่าของอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็นได้สำเร็จ เขาไม่ชอบความรู้สึกเหมือนโดนไล่ต้อนจนจนมุมและถูกบีบให้สารภาพเรื่องน่าอาย โยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับ ไม่ว่าจะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ตาม
“ก็แค่หลงเสน่ห์ล่ะมั้ง”
ยกมือเกาท้ายทอยตนเอง พยายามตั้งสติจากประโยคจี้ใจดำ
“เรื่องปกติน่า”
เพราะนัทสึมิเป็นไอดอล และงานที่ไอดอลเชี่ยวชาญที่สุดคือการหว่านเสน่ห์ ให้คนตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และเขาคงทำมันจนเคยชิน จนไม่รู้ว่ามันดึงดูดให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบเรมี่ก็พลอยตกกระไดพลอยโจนไปด้วย เขาเปิดเว็บดูดวงที่เขาเกลียดนักหนาขึ้น นานทีปีหนเบร้าเซอร์ของเขาจะมีประวัติเว็บจิปาถะแบบอื่นนอกจากภาพยนต์ อนิเมชั่น เกมและเพลง ไม่นับส่วนที่เป็นงานหรือความรู้ใดๆ
ไพ่ใบหนึ่งถูกเลือกอย่างขอไปที เขาไม่ทำแม้กระทั่งคิดจะตั้งจิตอธิษฐานหรือรีรอใดๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ขึ้นมาด้วยใบ Justice
“โถ่เว้ย...”
เขาสบถยามได้เห็นผลลัพธ์ตรงหน้า พลางยกมือเกาหลังคอตนเอง สีหน้ายุ่งเหยิงยามพบเจอสิ่งที่ไม่สามารถแปลความได้ตรงตัว
หน้าจอถูกพับเก็บ สบถกับตนเองยามภาพใบหน้าของนัทสึมิลอยเด่นหราในความทรงจำ ไม่ต่างจากหนังที่ถูกฉายซ้ำวนไปมา ชายหนุ่มฟุบหลับตามความเหน็ดเหนื่อย พิษไข้เริ่มเล่นงานซ้ำอีกครั้ง โดยมีหุ่นยนต์กระป๋องเดินไปมาในบ้านเพื่อทำความสะอาด
แมวเทานอนขดตัวในคอนโดแมว ไม่รับรู้ถึงอารมณ์หงุดหงิดของผู้เป็นนาย และบ้านก็กลับสู่ความเงียบเชียบอีกครั้ง...
“ป๊า...”
“เฮ้ย มึง”
“ตื่นๆ”
เสียงของสามหน่อดังขึ้นข้างกาย ทำให้ผู้กำกับหนุ่มลุกขึ้นพรวดพราดด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! เข้ามาได้ไง?” เขาโวยวายลั่นห้อง เขายังอยู่ในชุดนอน สภาพดูรวมๆ แล้วหน้าตาหมองคล้ำสมเป็นคนป่วย ไม่ก็โดนเล่นของใส่...
“คุณหุ่นยนต์เปิดให้” เจเน่รีบตอบ
“อ่าว เออะ ไม่ได้ตั้งค่าให้ต้อนรับแขกเลยนะ”
“เอาน่า ก็เพื่อนกัน คิดอะไรมาก” ป็อปแซวด้วยน้ำเสียงสดใส โดยที่ไนน์ก็ได้แต่ยักไหล่เสริม
“แล้วมากันแค่นี้ใช่ไหม?” เรมี่ถามเพิ่ม
“ใช่ ฮั้นแน่ คิดถึงใครอยู่เหรออออ บอกได้นะพวก” ป็อปแซวต่อ
“ไม่ได้คิดถึงใครหรอกเฟ้ย ก็บุกบ้านคนอื่น จะได้รับมือถูก”
“งื้อ ป๊า... ตอนป๊าไม่อยู่ คุณคิริโนะช่วยงานเจเน่หลายอย่างเลย”
“ระ เหรอ... ดีแล้ว...ไงกูไม่อยู่ ก็ไม่เดือดร้อนมึงนี่ไนน์” เรมี่กอดอกมองผู้กำกับฝ่ายศิลป์
“เออ ทำแทนได้ แต่อย่าบ่อยละกัน” ไนน์ทำหน้าซังกะตาย ในบรรดาทีมงานที่เรมี่สนิท ไนน์เป็นคนที่ดู introvert ที่สุดแล้ว เขาพูดต่อเพื่อรายงานสถานการณ์ “ช่วงนี้หมอนั่นต้องกลับไปทำงานที่สังกัดตนเอง”
“อา นะ....”
“แล้วจะเอายังไงต่อดีป๊า?”
“จริงๆแล้ว.... กำลังคิดว่าควรรื้อใหม่หมดเลย”
“เฮ้ย เอาจริงดิ” ป็อปโพล่งขึ้น ไม่อยากจะเชื่อรูหูตนเอง เพราะเรมี่ส่งพล็อตและบทภาพยนต์ให้กับต้นสังกัดของนัทสึมิไปแล้วและได้มีการเซ็นรับรองตอบกลับมาด้วย
“ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่คิดว่าสำหรับคิริโนะ นัทสึมิ แล้ว หนังตามกระแสแบบ Main stream คงไม่ใช่คำตอบแล้วล่ะ ผมจะลองร่างโปรเจ็กต์ใหม่ทั้งหมด แล้วส่งไปอีกรอบดู”
บางที..........มันอาจจะเวิร์คกว่าที่คิดก็ได้ บทบาทใหม่ที่ไม่ได้มีดีแค่เซอร์วิสแฟนๆ... เสน่ห์เร้นลับที่แม้กระทั่งคนใจแข็งอย่างเขายังต้องอ่อนข้อให้ เขาว่าพลางเปิดภาพที่ได้จากการไปถ่ายทำที่สวนสาธารณะ ใบแล้ว ใบเล่า แล้วเสนอให้กับทีมงานที่เหลือดูพร้อมกัน โดยมีเจเน่คอยพยักหน้ารับอย่างไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้าน ในขณะที่อีกสองคนเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“ถึงตอนแรกกูจะเชียร์ให้มึงทำก็เถอะ แต่ไอดอลยังไงก็คือไอดอลนะ” ป็อปว่า โดยที่ไนน์เองก็ส่ายหัวไปมายามได้ยินไอเดียของเรมี่
“มึงแค่ชอบเขา เขาไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ภาพพวกนี้กูไม่เห็นว่าจะไปมีอะไร” ไนน์สำทับ
“เฮ้ย มันจะถึงกับชอบได้ไงวะ แค่ถูกใจในฐานะนักแสดง ไม่ใช่แค่ภาพนะ คาแรคเตอร์และตอนที่ได้ลองแสดงด้วย พวกนายก็เห็น ใช่ไหม?”
“กูยืนยันคำเดิมนะว่าไอดอลก็คือไอดอล” ป็อปพูดเสียงแข็ง ดั่งต้องการยื่นคำขาด
“กูรู้ แต่มันเป็นหน้าที่พวกเราที่จะต้องขัดเพชรเม็ดงามใช่ไหม?”
สองหนุ่มที่ได้ฟังทำหน้าเจื่อน พวกเขารู้ดีว่าคำพูดเช่นนั้นหมายถึงอีโก้เสียดฟ้าที่ไม่มีทางลดหย่อนลงได้ สวนทางกับร่างกายที่ป่วยสะออดสะแอด
“ป๊าเป็นอะไรอะ? เหงื่อแตกพลักเลย” เจเน่ถาม พลางเอามืออังที่หน้าผากอีกฝ่าย
“พิษไข้... มั้ง...”
ไม่...
เขากำลังตื่นเต้นต่างหาก การการทดลองงานชิ้นใหม่...
ราวกับเฟอร์นิเจอร์รอบกายค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นห้อง บีบอัดกัน แล้วแตกตัวออก เป็นจินตภาพที่แล่นปาดยามไอเดียชิ้นงามผุดขึ้นในสมอง เนื้อตัวหนักอึ้งสวนทางกับความตื่นตัวจนอยากดีดดิ้น หัวสมองเริ่มทำงานหนัก เชื่อมโยงทุกจุดราวกับแผงวงจรไฟฟ้า ตัวอักษรในมโนภาพถูกลบล้าง แล้ววางทับใหม่
‘ถึงจะไม่ใช่ที่สุด แต่ก็จะไม่หยุดคิดค้น’ เขาตั้งมั่นกับตนเองเงียบๆ
“อะไรกันครับ? พล็อตใหม่นี่น่ะ”
นัทสึมิถามขึ้นมาทันที ที่ได้เห็นพล็อตใหม่ของคนหัวรั้น พวกเขาคุยกันผ่านวีดีโอคอล โดยที่ตอนนี้เพื่อนของเรมี่กลับไปกันหมดแล้ว เขาชำเลืองมองนาฬิกาเหนือหัว เลขดิจิตัลเปลี่ยนเป็น 9.33 P.M.
“ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าจะให้นายเล่นแค่หนังเฉพาะกลุ่มคงน่าเสียดายแย่”
“เหรอครับ แล้ว...”
“หืม?”
“อาการคุณเป็นยังไงบ้างครับ?”
“เห นึกว่าจะชิงแฟนเซอร์วิสแบบ ‘หายไวๆ นะครับ คนน่ารัก’ อะไรแบบนั้นซะอีกนะ”
เรมี่หัวเราะในลำคอ คำพูดติดเล่นนั่น ทำให้นัทสึมิยิ้มกว้างจนแทบตาหยี แต่ไม่ทันไรก็เปลี่ยนกลับมาเป็นหน้าบึ้งตึง ดวงตาหรี่มองอีกฝ่ายด้วยท่าทีดูไม่ประสงค์ดี
“ผมพูดอะไรผิด?”
“ที่คุณพูดมา ก็ไม่ได้ผิด แต่มันก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้วว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นนอกเวลางานสักหน่อยครับ ยกเว้นคุณจะป่วยจนสมองฟั่นเฟือน”
“เฮ้ย...”
เรมี่รู้ดีอยู่แล้วว่าจริงๆ แล้วนัทสึมิเป็นคนปากคอเราะร้าย แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับเหนือความคาดหมาย ท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างออกนอกหน้านั้นดูขัดตา เพราะปกติแล้วเจ้าตัวจะเป็นคนยิ้มแย้มไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม ราวกับต้องการจะเชื้อเชิญให้ทุกคนกล่าวมายังโลกของตน
“ขะ ขอโทษ... ไม่น่าเล่นเลย..” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา สีหน้าดูหงอยลงจากตอนแรก
“ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยก็ยังมีพลังงานเหลือมาแกล้งแซวผมแบบนี้ ผมก็สบายใจแล้ว”
“อา....ครับ...”
“คุณควรนอนเยอะๆ ดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้ว แล้วก็กินผักด้วยนะครับ”
“คะ ครับ....ครับ....”
“ดีมากครับ”
เรมี่จ้องมองรอยยิ้มที่เปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิม ตัวเขาแข็งค้างเพราะความเดาใจยากจนสุดกู่ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นท่าทีผ่อนคลายขึ้น
ถึงเขาจะรู้สึกค้างคาใจกับสิ่งที่ด็อกเตอร์เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ แต่เขากลับไม่มีเหตุผลมากพอให้ขับไล่ใสส่งเพื่อนร่วมงานชั่วคราว แม้มิเรย์จะสำคัญกับเขาและยังจำเป็นต้องเรียนรู้นิสัยใจคอของเขาในการเลียนแบบตัวตน แต่กับนัทสึมิที่อยู่ตรงหน้า เขากลับรู้สึกว่าไม่อยากพลัดพรากจาก... ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความลังเล เขามีแรงบัลดาลใจมากมายให้ผลักดันนัทสึมิและไอเดียของเขา แต่มันกลับกลายเป็นเงื่อนไขแห่งความ ‘ไม่มั่นคง’
ในวันแรกที่ไอดอลหนุ่มช่วยออกตัวจัดการปัญหาต่างๆ และมันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นั่นคงเป็นความประทับใจที่มิอาจล่วงเกินเลย สำหรับเรมี่แล้ว เขาเองก็ตามหาคนที่จะมาช่วยเติมเต็มและลุกขึ้นมาต่อสู้ไปพร้อมๆ กัน แต่มันคงเป็นได้แค่ฝันกลางวันสุดน่าหลงใหล และหลังจากต่างคนต่างยิ้มให้กันอยู่เกือบ 30 วินาที เรมี่ก็เป็นฝ่ายชิงพูดก่อน
“อื้อ ฝันดีนะ...”
“ฝันดีครับ”
เรมี่ส่งยิ้มให้นัทสึมิ โดยที่อีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ได้เป็นการตอบกลับเฉกเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มตั้งมั่นกับตนเองไว้ว่าจะขอลองเดิมพันสักครั้ง ไม่ใช่แค่กับวงการภาพยนต์ วงการศิลปะ วงการวิทยาศาสตร์
แต่เป็นจิตใจของตัวเอง
เขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีแดงชาดเงียบๆ ที่น่ารู้สึกผิดแปลกออกไปคงจะเป็นแววตาของอีกฝ่าย ราวกับมันกำลังซุกซ่อนบางสิ่งที่เกินความคาดเดาเอาไว้ และแทบจะไม่มีพิรุธใดให้จับผิดหรือทวงทักได้มากไปกว่าการยิงคำถามตรงๆ
“ทำไมยิ้มแปลกๆ...”
“เปล่านะครับ”
“เหรอ งั้น ไปล่ะ...เจอกัน...”
เขาปิดหน้าจอ พร้อมโน้มตัวลงนอน ควานหาหมอนค้างและตุ๊กตาเน่ามาสุมตัว ร่างกายของเขาหนักอึ้งเพราะอาการป่วย แต่นั่นไม่น่าประหวั่นเท่าความรู้สึกที่คล้ายจะโล่งใจ ทว่าความกังวลยังมีน้ำหนักมากกว่าจนรู้สึกแน่นหน้าอก เส้นใยระโยงระยางสีดำค่อยๆ คืบคลาน เกี่ยวกวัดขาสองข้างระโยงระยางจนคล้ายผ้าห่อหุ้มซากศพ ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังเขาจากมุมอับของห้อง รอบตัวเริ่มผุพังจนเหมือนนาฬิกาถูกเร่งรัด
ภาพของรูริจัง และนักแสดงสาวอีกสองคนล้มลงต่อหน้าต่อตา ตามด้วยสีแดงฉานที่สาดไปทั่วหน้าจอสี่เหลี่ยม เรือนผมสีเงินสะท้อนแสงขาว ถูกย้อมและชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิต ไม่ต่างจากดวงตาของเจ้าตัว
ไม่ได้เรื่อง...
ไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง..
ทำไมนายถึงไม่ทำล่ะ? ทำไมนายถึงไม่ทำล่ะเรมี่!!!?
เสียงแผดกร้าวก้องกังวาล ดวงตาสีแดงนับร้อยกำลังจดจ้องมายังเขา
“เฮือก!”
เขาสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่งทันควัน ใช้หลังมือยกขึ้นเช็ดเหงื่อไคลไหลโทรมกาย ความรู้สึกชาวาปจากการถูกรัดยังคงตราตรึง สมองของเขาเริ่มประมวลผลอีกครั้งท่ามกลางความมืด เนื้อตัวเหี่ยวย่นคล้ายถูกบางอย่างกดทับ และปลายนิ้วกลับซีดเซียวอย่างน่าผิดแปลก
“แค่ฝัน...แค่ฝัน...”
เขาพลูลมหายใจยาว ก่อนจะเปิดหน้าจอเพื่อหาอะไรเล่นไปพลาง อย่างน้อยก็อยากให้มันช่วยประโลมจิตใจเหนื่อยล้า ... เสียงหลอกหลอนยังคงดังก้องกังวาล
แม้คำขอโทษก็ไม่อาจทดแทน...