‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

Remii-I - บทที่ 10 One shoot โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Remii-I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,แฟนตาซี,ไซไฟ,ระทึกขวัญ,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,แฟนตาซี,sci-fic,จิตวิทยา,จิตวิทยาระทึกขวัญ

รายละเอียด

Remii-I โดย RemyGravity @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ ศตวรรษที่ 27 ผู้กำกับหนุ่มอีโก้จัด ผู้ยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุสะเทือนขวัญ จู่ๆ ก็ตกกระไดพลอยโจร ต้องทำงานร่วมกับไอดอลหนุ่ม กองถ่ายจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและปริศนา ที่นักสร้างสรรค์ตัวฉกาจก็ยังคาดเดาไม่ได้

ผู้แต่ง

RemyGravity

เรื่องย่อ

 

‘จงอย่าเชื่อสิ่งที่ตาได้อ่านไป แม้จะอ่านทวนซ้ำแล้วก็ตาม’ 

 

Remii-I

เรื่องย่อ

ในศตวรรษที่ 27 ที่โลกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า เรมี่ ผู้กำกับหนุ่มผู้มีอีโก้สูงเสียดฟ้า ผู้พึ่งผ่านเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญมาหมาดๆ จู่ๆ ก็ได้รับข้อเสนอว่าจ้างสุดแปลกประหลาดจากสังกัดไอดอลแห่งหนึ่ง ที่ต้องการให้ไอดอลดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง นัทสึมิ คิริโนะ ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของเขา 'เท่านั้น'

และแม้เจ้าตัวจะหัวรั้นหรืออยากปฏิเสธงานที่ต้องทำร่วมกับไอดอลมากเพียงไร แต่โชคชะตามักเล่นตลกร้ายเสมอ เพราะเขาดันติดกับดักเผลอตกปากรับคำอย่างไม่ทันตั้งตัว การถ่ายทำจึงต้องดำเนินต่อไป โดยเต็มไปด้วยอุปสรรคและความขัดแย้งทางความคิดยากควบคุม แถมยังมีเรื่องแปลกประหลาดแทรกซึมเป็นระยะๆ จนแทบหัวหมุนเคว้ง

งานนี้ อีโก้ที่เขาภูมิใจนักหนาไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย เพราะภายใต้รอยยิ้มนุ่มละมุนที่ใครๆ ต่างก็หลงใหล มีปริศนาบางอย่าง แอบซุกซ่อนไว้ในนั้น....?

-----------------------------

เรื่องนี้เป็นนิยายทริลเลอร์ จิตวิทยา แก่นของเรื่องไม่ใช่นิยายรักและไม่ใช่นิยาย Boy love มีจุด turn point ที่ไม่เหมาะกับคนหานิยายรักอ่าน มี message สำคัญแฝง

*ปมความรักในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดเป็นเชิงความเสน์หาหรือสนองความต้องการทางอารมณ์ต่างๆ แต่เป็นอีกหนึ่งปมทางจิตวิทยาที่มีผลต่อการพัฒนาของตัวละคร หากเคยดู Poor thing น่าจะพอเข้าใจคอนเซ็ปนี้ครับ*

หลายๆ จุดไม่ได้เฉลย เป็นปลายเปิด เหมาะกับคนหานิยายแนวขบคิดอ่าน

-------------------------------

Remii เป็นภาคก่อนหน้า แต่ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนั้นก่อน เพราะมันมีสปอยล์บางจุดที่ทำให้เสียอรรถรสได้ แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปย้อนเก็บตกครับ (แต่ถ้าเคยอ่าน Remii แล้วก็ไม่เป็นไร)


 

Remii-I

Author: RemyGravity

Cover Illustration: Sun Moon

Gerne: Sci-Fic, Psychology, Thriller

 

จากนักเขียน*

*เขียนจบแล้ว ตั้งใจว่าจะมาอัปบ่อยๆ ครับ*

*เวอร์ Beta ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร ถ้ามีคนอ่านเยอะในระดับหนึ่ง ถึงจะจ้างพิสูจน์ กลัวพิสูจน์แล้วงานกร่อย..เสียเงินฟรี*

สารบัญ

Remii-I-บทที่ 1 Your smile,Remii-I-บทที่ 2 Collapse,Remii-I-บทที่ 3 Light Kiss,Remii-I-บทที่ 4 Vague Shadow,Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 1),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Act 2),Remii-I-บทที่ 5 Looking (Final Act),Remii-I-บทที่ 6 Solid, failure,Remii-I-บทที่ 7 Break,Remii-I-บทที่ 8 Disseminate,Remii-I-บทที่ 9 Don't Stop The Rain,Remii-I-บทที่ 10 One shoot

เนื้อหา

บทที่ 10 One shoot

โต๊ะกาแฟส่วนกลางยังคงถูกใช้งานวนเวียน ทั้งเรมี่และพนักงานทุกคนต่างต้องนัดพบกันบริเวณห้องประชุมกลางจนกลายเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ ชายหนุ่มเอนตัวพิงโซฟา นั่งไขว่ห้างแล้วพินิจพิเคราะห์เอกสารในมือ หลังจากที่ตกลงกันเรื่องพล็อตใหม่ได้แล้ว เขาก็เริ่มถ่ายทำไปได้สักพัก ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีและทีมงานฝั่งวง JustMinute ก็ให้ความร่วมมือดีทุกคน ทั้งนายทุนและ Producer ต่างก็ไม่มีใครขัดข้องต่อไอเดียของเขา ทุกอย่างดูง่ายดาวราวกับเกมเบาสมองไร้การท้าทาย

รวมถึงตัวนัทสึมิที่สามารถเล่นได้ดีกว่าที่เขาคิด เพราะเขาเป็นคนปรับนิสัยตัวละครให้เข้ากับคนแสดง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ดูมักง่ายสำหรับวงการบันเทิง ที่สร้างบทภาพยนต์จากการหาตัวแสดง แทนที่จะมีต้นฉบับก่อนแล้วค่อยไปแคสต์คนที่เหมาะสม แต่สำหรับกรณีนี้กลับแตกต่าง เพราะเขาได้รับสัญญามาก่อน

เขาพบว่าตัวนักแสดงกลับซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้ จนไอเดียเก่าของเขาจมหายไปกับกองไฟล์ เพียงแค่ไม่กี่วันที่ได้อยู่กับนัทสึมิ เรมี่ก็มีไอเดียในการต่อยอดพล็อตหลากหลาย จนในที่สุดก็ได้เปิดกล้องตามใจหมายในที่สุด แต่หลังจากเดินกล้องไปได้ระยะเวลาหนึ่ง เรมี่ก็พบกับอุปสรรคบางอย่าง ฉากที่เขาจินตนาการไว้ กลับไม่มีในฐานข้อมูล และถึงจะถูกสร้างขึ้นภายหลังมันก็คงไม่สัมพันธ์กับงบประมาณที่ควรจะเสีย

“อะไรมึง แค่ป่าเขา ธรรมชาติปกติๆ เอง” ไนน์หันมาถาม ทั้งที่ยังถือแก้วกาแฟไว้ในมือ

“มันไม่มีที่ถูกใจในสต็อคเลย” เรมี่ตอบรับ ทั้งยังเงยหน้ามองเพดานอย่างเหม่อลอย

“มึงจะเอาแบบไหน?”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่แบบที่มีให้ใช้”

“อะไรนะ จะบอกว่ามึงเปิดดูหมดเลยตลอดทั้งคืน?” ไนน์ยักคิ้ว

“ทั้งอาทิตย์เลยต่างหาก...ตั้งแต่ก่อนแก้พล็อตเรื่องอีก”

“เออ ก็ว่าอยู่ คืนเดียวไม่น่ารื้อหมดอะ” ไนน์ถอนหายใจ เพราะคลังข้อมูลเชิงพาณิชย์ที่กองถ่ายสามารถใช้ได้นั้นมีจำกัด หลายๆ เรื่องจึงเป็นการซื้อมาดัดแปลงทีหลังเสียมากกว่า แต่สำหรับคุณชายตาโหลเป็นแพนด้า ที่ไม่ว่าแบบไหนก็ไม่ใช่อย่างที่ชอบ ต่อให้จะเป็นการผสมของ Ai ก็คงไม่มีทางตรงกับภาพในหัว

“โทนร้อน โทนเย็น?” คนถือแก้วกาแฟถามซ้ำอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะสามารถเนรมิตรมันขึ้นมาได้

“เย็น...”

“ไปเชียงใหม่ไหม?”

“หะ?” เรมี่หันไปมองคนที่ยืนพิงพนักเก้าอี้ของเขา รู้สึกประหลาดใจที่ต้องไปไกลถึงเชียงใหม่

“ที่นั่นไม่มีระบบควบคุมสภาพอากาศแบบกรุงเทพเราเพราะเป็นเขตท่องเที่ยว มันอาจจะไม่ตรงกับที่มึงคิด แต่กูว่าการที่มันเป็นธรรมชาติจริงๆ ก็คงไม่ซ้ำกับที่อยู่ในคลังหรอก”

“แต่ในคลังก็มีภาพของเชียงใหม่นะ” เรมี่แย้ง

“มึงดูถูกธรรมชาติมากไปหน่อยมั้ง แค่ผ่านไปวันเดียว อะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ภาพที่มึงเห็นไม่ใช่ CCTV แบบ Real time สักหน่อย”

“เออ ก็จริง...” 

“เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยนะ”

“มันหนาวขนาดนั้นเลยเหรอวะ?.......” เรมี่หันมองคนที่ยืนขำในลำคอ

 

และเมื่อมาถึงที่หมาย เสียงๆ หนึ่งก็ดังก้องไปทั่วบริเวณที่หมอกหนายังคงปกคลุม เนื้อตัวแห้งกร้าน รู้สึกชื่นแฉะตั้งแต่ครั้งแรกที่อากาศกระทบผิว มือเล็กในถุงมือสีม่วงอ่อนลูบต้นแขนตนเองไปมา ดวงตากลมปิดลง ริมฝีปากเบ้เบะ

“ฮัดชิ่ลลลลล”

เจเน่จามเสียงดัง จนเรมี่ต้องลากไปที่คาเฟต์ใกล้ๆ เพื่อสั่งนมร้อนให้ 

“ป๊าไม่หนาวเหรอ?” เด็กสาวตัวเล็กกว่าถามขึ้น เมื่อเห็นคนตัวสูงกว่าใส่แค่ชุดเสื้อแขนยาวและฮู้ดสีเทาทับอีกชั้น 

“หนาวดิ”

ในขณะที่คิริโนะ นัทสึมิ กลับเดินลงมาจากขบวนรถไฟชินคันเซน ในมือก็ถือกระดาษบทหนังไว้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวและสเวตเตอร์แขนยาวเนื้อหนาสีครีม รวมผมด้านหลังหลวมๆ

“อยากไป เชียงใหม่ แฟนตาเซีย” เจเน่อ้อน พร้อมรับนมร้อนมาจากบาร์

“ถ่ายงานให้เสร็จก่อน” เรมี่ยืนกรานหนักแน่น

“ซื้อตั๋วไว้แล้วใช่ไหมป๊า? ใช่มะๆๆ”

“....ใช่... แต่นั่นแหละ ถ่ายงานก่อน...” 

ตะปบมือบนศีรษะกลมแล้วบิดข้อมือให้หันไปมองนักแสดงนำ ผู้เอาแต่ท่องจำบทตลอดการเดินทาง เป็นเชิงว่าให้เหนียมอายคนที่ตั้งอกตั้งใจซะบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับกลับเป็นรอยยิ้มยียวนซะแทน

 

พวกเขาต้องหอบอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นดอยเพื่อเตรียมการถ่ายทำนอกสถานที่ ถึงในยุคนี้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่หรือยุ่งยากเหมือนเมื่ออดีต ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็เป็นภาระไม่ใช่น้อย ทั้งไฟ ดอลลี่ หรือกระทั่งเครนที่สามารถเก็บใส่กระเป๋าขนาดพอๆ กับกระเป๋าเดินทางได้ นวัตรกรรมใหม่ทำให้มนุษย์สะดวกสบายและงอแงมากขึ้นไปในตัว

เรมี่ผู้เดินถือกระเป๋ากล้องคอมแพ็คและอีกมือก็ลากกระเป๋าเดินทางแอบเหลือบมองทีมงานที่หน้าหนิ่วคิ้วขมวด ยามต้องช่วยกันขนของไปที่สถานีกระเช้า คนไหนที่มีกระเป๋าลากก็ถือว่าเป็นบุญ แต่คนไหนที่นำมาแบบสะพายหรือถือก็ต้องตรากตรำหน่อย ทางลาดนั้นไม่ได้ชันหรือเป็นขั้นบันได ไม่ได้มีทางเลื่อนเหมือนตอนอยู่ในตัวเมือง สองข้างฝั่งเป็นต้นไม้ใบหญ้า ร่มรื่นจนต้องพักสูดหายใจเข้าเต็มปอด

“แค่เดินครึ่งกิโลเมตรก็บ่นแล้วแหะ...”

โดยเฉพาะป็อปผู้หอบเหนื่อยเป็นพิเศษ ถึงจะบอกว่าระบบหุ่นยนต์จะมีทั่วประเทศ แต่ถ้าไม่ใช่ของที่ตนเองเป็นเจ้าของก็เท่ากับเสียค่าบริการอยู่ดี ฉะนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องใช้แรงงานมนุษย์จอมเกียจคร้าน

“...เฮ้อ..”

“คุณเรมี่” นัทสึมิรีบวิ่งมาขนาบข้าง พร้อมลากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ตามมาติดๆ

“ครับ?”

“ผมคิดว่าบทตรงนี้ ออกจะแปลกๆ หน่อย ผมขออิมโพรไวซ์เองได้ไหมครับ?”

“ถ้าคิดว่าทำเองได้ก็นะ...”

 

ทีมงานแต่ละคน พากันแบ่งกลุ่มขึ้นกระเช้าตามอัธยาสัย โดยมีกำหนดนัดหมายรวมพลในอีก 1 ชั่วโมงหลังจากนี้ เรมี่ปัดมือบนหน้าจอข้างตัวเพื่อเช็กชื่อแต่ละคน พอครบจำนวนแล้วจึงเป็นตาของตนเองที่จะเข้าไปในกระเช้ารูปทรงเหมือนถ้วยทรงแบนประกบกัน โดยมีเจเน่นั่งฝั่งตรงข้ามและนัทสึมิอยู่ฝั่นเดียวกับเขา

เด็กสาวหยิบหูฟังบลูทูธขึ้นมาอุดหู เพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ ในขณะที่คนตรงกันข้ามเยื้องไปทางฝั่งขวากลับรัวนิ้วมือบนหน้าจอไม่หยุด ธรรมชาติรอบด้านมีผลทำให้หัวสมองของคนทำงานรวดเร็ว จึงมีนิยามยามไอเดียผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดว่า ‘สมองแล่น’

“คุณน่าจะพักบ้างนะครับ”

นัทสึมิท้วงขึ้น ทั้งยังนั่งไขว่ห้างแล้วเท้าคางกับขอบหน้าต่างใส 

“ไม่อะ”

ในขณะที่อีกฝ่ายกลับตอนกลับอย่างไร้เยื่อใย

“ค่อยเป็นค่อยไป ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้นะครับ” น้ำเสียงนุ่มละมุนยังคงเอ่ยต่อด้วยความเป็นห่วง

“นายจะไปเข้าใจอะไร....”

“ถึงผมจะไม่เข้าใจ แต่หักโหมแบบนี้ คุณไม่มีทางแต่งสำเร็จหรอกครับ”

ราวกับถูกจี้จุด มือที่เคยจิ้มแป้นพิมพ์กลางอากาศกลับหยุดชะงัก

“เมื่อกี้ว่าไงนะ....” เรมี่หันมองตาเขียว น้ำเสียงกดต่ำลงจนเจเน่ขนลุกเกรียว

“คุณเอาแต่ฝืนตัวเองแบบนี้ คุณไม่มีวันสร้างงานดั่งใจคุณหวังได้หรอกครับ” 

เรมี่เดาะลิ้น ก่อนจะหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอกเพื่อสงบอารมณ์ เขาพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นมากกว่านี้แต่ถ้าเป็นคนกวนตีนอย่างป็อปคงโดนถีบหล่นกระเช้าไปแล้ว

“นายจะไปเข้าใจอะไรล่ะ...”

“พูดออกมาเถอะครับ”

“เวลาในชีวิตคนเราไม่เท่ากัน ไอดอลอยู่เฉยๆ ก็มีคนวิ่งเข้าหา ต่อให้หนังเรื่องนี้นายแสดงดีเพราะบท คนก็จะโฟกัสแค่นายแสดงดี คิดว่าคนที่เหนื่อยใสตัวแทบขาดคนอื่นๆ ในกองถ่ายของผมจะมีคนโดนจดจำหรือไง อย่างเจเน่แบบนี้”

“ป๊า....” เด็กสาวกะพริบตาปริบ เธอไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ แต่กลับทำอะไรไม่ถูกเสียแบบนั้น

“คนบางคนกลับไปไม่ถึงฝันด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้หรอกนะว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร...” เขาพูดสำทับ ดวงตายังคงจับจ้องไปยังต้นไม้เขียวขจีเบื้องล่าง ทิวทัศน์ที่เขาเคยเห็นผ่านโลก Virtual Reality เท่านั้น แต่แทนที่จะตื่นตากับของจริง เขากลับหัวเสียกับแนวคิดตื้นๆ ของอีกฝ่าย ภาพจำของหลุมศพเพื่อนสนิทเข้าแทรกขึ้นมาในหัว เหตุการณ์นองเลือดที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจลืมเลือน...

“ไอดอลชายน่ะ ถ้าทำตัวดีๆ ตอนแกรดฯ ไปก็มีแต่งานรองรับเต็มไปหมด ทุกที่ก็แทบจะอยากดึงตัวไปปั้นทั้งนั้น กำลังวังชาก็มีมากกว่าผู้หญิง ความเสื่อมโทรมทางร่างกายก็ช้ากว่า นักแสดงหญิงที่นายไม่ชอบขี้หน้าพวกนั้นเขาก็มีเหตุผลของเขา แม้กระทั่งเจเน่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ก็ต้องกอบโกย Prime time ของตัวเอง” 

เรมี่นึกถึงภาพของสองสาวที่นัทสึมิจ้องมองด้วยแววตาที่แตกต่าง เขายังคงพูดจาไร้เยื้อใยกับอีกฝ่ายเมื่อสบโอกาส

“คุณห่วงงานกับห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองซะอีกนะครับ” น้ำเสียงละมุนยังคงตอบอย่างฉะฉาน ไร้ซึ่งความขุ่นเคือง ผิดกับอีกฝ่ายที่สังเกตได้ชัด

“มันช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่อยากเกิดมาให้ใครรักเฉยๆ แล้วจากไปโง่ๆ ....เออ นี่ถามจริงเถอะ ถ้าผมบอกว่าผมจะไม่แต่งเรื่องนี้ต่อแล้ว ผมอยากรู้จริงๆ ว่าจะอยากทำงานกับผมอยู่อีกไหม?”

“ป๊า!” เจเน่รีบแย้ง เมื่อคำพูดของคนโตกว่าเริ่มเลยเถิด

“ประชดผมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ”

 “นั่นสินะ ใบหน้าสวยๆ ใครก็ให้อภั-..”

 

เพี๊ยะ!

ใบหน้าของผู้กำกับหนุ่มหันตามแรงตบไปทางขวา ภาพเบื้องหน้าเจเน่หยุดนิ่งลงราวกับเกมที่ถูกกด pause ดวงตาสีชมพูเบิกโตขึ้น มันวูบไหวเบาคล้ายสติหลุดไปชั่วครู่ ริมฝีปากเผยออ้าเล็กน้อย มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นแตะลอยแดงช้ำเงียบๆ ในขณะที่เด็กสาวทำท่าจะเข้ามาดูอาการอย่างกล้าๆ กลัวๆ

ข้อมือขาวนวนยังคงยกขึ้น เป็นท่าบิดไปอีกฝั่งตามแรงตบ ก่อนจะค่อยๆ รวบเก็บลงอย่างเชื่องช้า นัทสึมิพลูลมหายใจยาว แล้วจึงกลับไปนั่งอย่างสำรวจกิริยาแล้วหันไปทางหน้าต่างฝั่งตนเอง ความเงียบเริ่มโอบล้อมพวกเขาทั้งสาม การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ใจหมายไว้ เรมี่ยังคงนั่งสงบเสงี่ยม เขาจะไม่รู้สึกอับอายใดๆ หากเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีใครรับรู้ ก็ได้แต่หวังว่าเจเน่จะไม่เก็บไปคิดมากในท้ายที่สุด

นัทสึมิหยิบทิชชู่เปียกออกมาจากกล่องขนาดเล็ก แล้วบรรจงเช็ดมือตามนิสัยรักสะอาดของเจ้าตัว แต่มันกลับยียวนกวนประสาทสำหรับผู้ถูกกระทำ พวกเขาก้าวลงจากยานพาหนะ ห้องโดยสารลอยฟ้าวนเข้าชาญชาลา แล้ววกกลับไปตามสายเคเบิ้ลแบบเก่า เรมี่รู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อตัวนักเพราะเขามีความทรงจำไม่ค่อยดีกับเมืองอนุรักษ์นิยม เขาเดินลากกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมสีขาวประดับด้วยลายข้าวหลามตัดไขว้ไปมาสีเทาไปที่ล็อบบี้โรงแรมที่ดูทันสมัยไม่ต่างจากที่พำนักในเมืองกรุง แตกต่างด้วยลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ตามวัฒนธรรมล้านนา น้ำพุทรงกลมใจกลางห้องโถงดูเตะตาเป็นพิเศษ ตามด้วยแหมกไม้ระโยงระยางไปตามระเบียงแต่ละชั้นซึ่งถูกออกแบบมาให้ห้องพักเรียงตัวกันเป็นวงกลม แล้วโหว่ตรงกลาง เขาเงยหน้ามองกระจกแก้วที่ครอบอยู่บนสุด ราวๆ ชั้นที่ 40 เห็นจะได้

“หน้าไปโดนอะไรมา?” 

นั่นคือคำทักทายแรกเมื่อไนน์เห็นคนเดินกุมหน้าออกมาเหมือนคนปวดฟัน

“อย่าถามได้ไหม?”

“สะดุดบันไดแล้วหน้ากระแทกกระจก?” ป็อปเดา

“เออ...” โดยที่เรมี่เองก็ตกปากรับคำส่งๆ ในขณะที่คนกระทำกลับเดินเชิดหน้าไปรวมกลุ่มกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่เริ่มจะคุ้นเคยบ้าง พาให้บรรดาทีมงานผู้ชอบแวะเวียนมาแซวความสัมพันธ์ของเรมี่และนัทสึมิถึงกับต้องเหลียวหลังมองความเมินเฉยดังกล่าว

“ปะ เราแยกย้ายไป ตัวใครตัวมันกัน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยมาเจอกัน” 

ไนน์ตบมือสองสามครั้ง แล้วผลักให้เรมี่เดินนำไป บรรยากาศอึมครึมยังคงไล่หลัง แม้เจ้าตัวจะละสายตาไปนานแล้ว