‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
เช้าวันจันทร์อันแสนน่าเบื่อหน่าย ฉินอวี่ยังคงมาทำงานแต่เช้าเหมือนเดิม เนื่องจากระบบเวรนั่นไม่ได้บังคับว่าต้องห้าม ooc เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเลิกสนใจฉีเฟิงไปเสีย
อันที่จริงเรื่องที่ร่างเดิมชอบฉีเฟิงไม่ใช่ว่าคนในบริษัทจะไม่รู้ แต่พวกเขาไม่ได้แปลกใจกันมากนัก เนื่องจากหัวหน้าหนุ่มคนนี้เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอยู่แล้ว
และแม้แต่ตัวฉีเฟิงเองก็รู้เช่นกัน หมอนั่นถึงได้หลอกใช้งานร่างเดิมจนต้องทำโอทีฟรีหลายรอบ
ขนาดเพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่หนึ่งเดือน ร่างเดิมยังโดนใช้งานหนักมาก ถ้าไม่เกิดเรื่องจนตายไปเสียก่อน คาดว่าเด็กนี่คงได้กลายเป็นแรงงานทาสให้ฉีเฟิงโขกสับอีกนานแน่ ๆ
“ฉินอวี่ พี่ซื้ออาหารเช้ามาฝาก”
เช้านี้ยังคงเหมือนเมื่อวันศุกร์ จางลี่เข้าออฟฟิศมาในตอนสายก่อนจะยื่นถุงขนมให้เหมือนเดิม
“ขอบคุณครับคุณจางลี่”
แน่นอนว่าฉินอวี่ย่อมรับเอาไว้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว ของฟรีมายื่นให้ตรงหน้าแบบนี้จะไม่รับได้ยังไง
อีกอย่าง สีหน้าเจ็บใจของฉีเฟิงก็ช่างทำให้เขามีแรงทำงานขึ้นมาอีกเท่าตัวเลยล่ะ
“ตั้งใจทำงานนะ” เจ้านายสาวมองชายหนุ่มผมทองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนหมุนตัวเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองท่ามกลางสายตาสงสัยของพนักงานรอบด้าน
“แหม อิจฉาจริง ๆ ได้ขนมฟรีทุกวัน” หลี่จิ้งหันมาเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงที่กดให้เบาลง
ใคร ๆ ก็รู้ว่าฉีเฟิงแอบชอบจางลี่ หากไปพูดให้ได้ยินเข้าหัวหน้าสุดหล่อของพวกเธออาจเครียดเอาได้
“พวกพี่ก็ได้เหมือนกันนั่นแหละ” ฉินอวี่พูดพลางเหล่มองถุงขนมบนโต๊ะรุ่นพี่ด้านข้าง
หลี่จิ้งเหลือกตา “แค่ขนาดก็ไม่เหมือนกันแล้วย่ะ ของพวกพี่นี่ลูกเมียน้อยชัด ๆ”
ฉินอวี่ขำคิก จางลี่โคตรลำเอียงจริง ๆ นั่นแหละ
รุ่นพี่รุ่นน้องซุบซิบกันเสียงเบาอยู่พักหนึ่งก่อนที่เสียงกระแอมจะดังขึ้นขัดจังหวะ
“เวลาทำงานขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานนะครับ เพื่อบริษัทของเรา” ฉีเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับพุ่งมายังพวกฉินอวี่อย่างไม่ปิดบัง
“ขอโทษค่ะ” หลี่จิ้งอ้าปากบอกอีกฝ่ายแบบไม่ส่งเสียง
ฉินอวี่ไม่ได้พูดอะไร รีบหันกลับมาตั้งใจกับงานตรงหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองอีกฝ่าย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าหัวหน้าผู้เป็นเป้าหมายภารกิจของตัวเองกำลังขมวดคิ้วมองมาด้วยสายตาไม่พอใจครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
การทำงานอันแสนน่าเบื่อหน่ายหมดไปแล้วครึ่งวัน พักเที่ยงวันนี้ฉินอวี่กับหลี่จิ้งเลือกซื้ออาหารกลางวันมานั่งกินที่โต๊ะของตัวเองแทน
ระหว่างที่ต่างคนต่างจมอยู่ในโลกส่วนตัวของตนเอง ฉินอวี่หันไปมองหญิงสาวโต๊ะด้านข้างเพื่อที่จะแบ่งขนมของจางลี่ให้ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นภาพในโทรศัพท์ของเธอเข้าเสียก่อน
เลวี่...
ใช่แล้ว ไลฟ์ที่หลี่จิ้งกำลังดูอยู่ตอนนี้ก็คือเลวี่ แวมไพร์เจ้าของช่องไลฟ์อันดับหนึ่งที่เขาเพิ่งเสียเงินให้ไปหนึ่งพันคนนั้นนั่นแหละ
ว่าแต่หมอนั่นขยันไลฟ์จัง แม้แต่ตอนกลางวันก็ยังไลฟ์ด้วย ไม่ใช่ว่าแวมไพร์ต้องนอนกลางวันหรือยังไง
ฉินอวี่ตัดสินใจไม่รบกวนหญิงสาว ในสมองใคร่ครวญถึงบางอย่างเงียบ ๆ
กระทั่งตกเย็น เขาจึงเอ่ยพูดขึ้นมาระหว่างที่เดินออกจากออฟฟิศพร้อมกับหลี่จิ้ง “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ พอดีผมเห็นพี่ดูไลฟ์ท่านเลวี่ด้วย พี่ก็ชอบเหมือนกันเหรอครับ”
ฉินอวี่ใช้คำว่า ‘ก็ชอบ’ เพื่อให้เข้าใจว่าพวกเราเหมือนกัน อีกฝ่ายจะได้ลดความระแวงลง และก็เป็นไปอย่างที่ชายหนุ่มต้องการ หลี่จิ้งหันมามองด้วยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็แปลเปลี่ยนไปเป็นความดีใจจนแทบจะอุดปากกรี๊ด
“ฉินอวี่ก็ชอบท่านเลวี่?”
“ครับ” เขายอมรับอย่างหน้าไม่อาย
จากนั้นเขาก็ได้ฟังวีรกรรมฉบับย่อของเลวี่อยู่พักหนึ่ง ซึ่งมันไม่มีอะไรสำคัญเลยสักอย่าง อย่างเช่น เลวี่คนนี้เพิ่งมาไลฟ์ได้แค่หนึ่งปีก็ดังเปรี้ยงเพราะโชว์กัดคอหญิงสาวให้ดู หรือการที่แฟนคลับทะเลาะกันในไลฟ์ถึงขั้นนัดไปตบตีกันข้างนอกเพราะอยากเป็นผู้โชคดีที่ถูกเลือกอะไรประมาณนั้น
“แล้วประวัติส่วนอื่นล่ะครับ อย่างเช่น ชื่อ ที่อยู่ อาชีพ อายุอะไรพวกนี้” ฉินอวี่ยิงคำถามออกไป
“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้เลย อย่างที่รู้กันว่าเว็บนี้รักษาความลับของเหล่าอมนุษย์ดีมาก คิดจะตามสืบมันไม่ง่ายหรอก แต่ก็เคยมีแฟนคลับคลั่งรักตามสืบเหมือนกันนะ ผลปรากฏว่าเธอคนนั้นกลับหายไปแบบไร้ร่องรอยเลยล่ะ บางคนก็เดาว่าโดนทางเว็บสั่งเก็บไปแล้ว แต่บางคนก็เดาว่าเธออาจจะโดนข่มขู่จนต้องเก็บตัว”
“แบบนี้นี่เอง” ฉินอวี่พึมพำเสียงเบา ต้องขอบคุณเว็บจริง ๆ ที่ดูแลอมนุษย์ดีขนาดนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาก่อกวนในชีวิตจริง
ราวกับได้พบเจอเพื่อนที่รู้ความลับของตัวเอง หลี่จิ้งชวนรุ่นน้องสุดหล่อคุยไม่หยุด แม้แต่ความคิดที่จะกลับบ้านก็ยังลืมไปจนหมดสิ้น เธอหยิบพวงกุญแจที่มีรูปถ่ายของเลวี่ออกมาอวดด้วยใบหน้าภูมิใจจนแก้มแดงก่ำ “พี่มีนี่ด้วยล่ะ!”
ฉินอวี่ทำสีหน้าตกใจอย่างสมจริง พลางแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา “พี่เอามาจากไหนครับ ไม่ใช่ว่าห้ามเผยแพร่ออกมาภายนอกเหรอ ว่าก็ว่าเถอะ ผมเพิ่งมาติ่งเขา ตอนนี้ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย”
“อ้อนี่น่ะ...”
สุดท้ายทั้งคู่ก็พากันไปนั่งคุยในสวนสาธารณะไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก คุยไปคุยมากว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ยุงเริ่มกัดแล้วนั่นแหละ
“ตายล่ะ มืดแล้วเหรอเนี่ย เดี๋ยวพี่ต้องกลับแล้วนะกลัวไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย ฉินอวี่ก็รีบกลับล่ะ ขอโทษที่พี่ชวนคุยนานนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็สนุกเหมือนกัน”
ร่ำลาเสร็จทั้งคู่ก็แยกตัวกันกลับบ้านตัวเอง ฉินอวี่มองส่งหญิงสาววิ่งไปไกลจนลับสายตา เขาฉีกยิ้มบางออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยประกายน่าค้นหาจนคนที่อยู่ในบริเวณนั้นพากันมองตาค้าง
ดาราเหรอ หรือไอดอล ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ไหม!
วัยรุ่นในบริเวณนั้นมองหน้ากันไปมา แต่ทันทีที่ควักมือถือออกมา ชายหนุ่มหน้าตาดีผมสีทองก็เดินไปไกลลิบเสียแล้ว
ต้องโทษที่พวกเขามัวแต่ตะลึงจนคิดไม่ทันจริง ๆ
ฉินอวี่อารมณ์ดีมาก แม้ว่าขากลับบ้านจะต้องยืนโหนรถเมล์เป็นชั่วโมงเขาก็ไม่หงุดหงิดแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาได้อีกข้อมูลที่สำคัญมาแล้วน่ะสิ
เว็บไลฟ์ใต้ดินนั้นอันที่จริงมันไม่ได้มีแค่การไลฟ์เพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีหมวดกระทู้เม้าท์มอยอีกด้วย ในส่วนนี้เขาสังเกตเห็นตั้งแต่วันแรกที่เข้าเว็บแล้ว แต่เขาไม่ได้ไปสนใจมัน
ทว่าสิ่งที่ทำให้ฉินอวี่อารมณ์ดีนั้นจริง ๆ แล้วคือหมวดซื้อขายต่างหาก ในวันแรกเขาไม่เห็นหมวดนี้เลย ใครจะไปรู้ว่าการจะเข้าหมวดนี้ได้ต้องมีการทำตามเงื่อนไขบางอย่างให้ครบก่อน
แล้วก็บังเอิญว่าเขาได้ทำเงื่อนไขนั้นสำเร็จไปอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วเสียด้วย
นั่นก็คือการโดเนทเป็นจำนวนยอดหนึ่งพันเหรียญขึ้นไป เมื่อนั้นหมวดลึกลับนี้ถึงจะโผล่ออกมา ส่วนที่ฉินอวี่ไม่เห็นหมวดนี้ตั้งแต่เมื่อวานเป็นเพราะว่าพอเขาเสียเงินไปก็เกิดอาการเจ็บใจจนไม่ได้เข้าเว็บอีกเลย
เป็นเพราะมัวแต่เม้าท์กับพี่สาวหลี่จิ้งเสียนาน ทำให้วันนี้ฉินอวี่กลับมาถึงที่พักเกือบสี่ทุ่ม ทางเดินระหว่างถนนใหญ่มาจนถึงตึกที่พักค่อนข้างเปลี่ยวเอาการ แม้จะมีไฟริมทางส่องสว่างแต่ก็เป็นเพียงหลอดไฟเก๋ากึ๊กที่ส่องแสงอ่อนจางจนแทบจะดับอยู่รอมร่อ
ทั้งที่บริเวณนี้ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ของเมืองหลวง แต่หน่วยงานที่ดูแลกลับทำเหมือนไม่มีโซนนี้อยู่เลย เมื่อไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแล สภาพแวดล้อมจึงค่อนข้างเก่าทรุดโทรมและกลายเป็นจุดซ่องสุมขนาดใหญ่
ฉินอวี่เดินเข้าไปด้วยหัวใจเต้นระส่ำ ทุกย่างก้าวราวกับมีลูกตุ้มมาถ่วงเอาไว้ ถ้าไม่ติดว่าต้องประหยัดเงิน คืนนี้เขาอยากจะไปเปิดห้องในโรงแรมนอนเสียด้วยซ้ำ
บอกตรง ๆ เวลาอย่างนี้เขายอมเจอผียังจะดีเสียกว่า เพราะผีอย่างมากก็ทำได้แค่หลอก แต่คนกลับสามารถทำให้เขากลายเป็นผีได้...
กระทั่งเดินมาถึงบริเวณที่พักอาศัย แสงไฟจากตึกตรงหน้าก็ทำให้ฉินอวี่ใจชื้นขึ้นมาจนเผลอถอนหายใจ ทว่ายังไม่ทันปล่อยลมหายใจออกไปจนสุด จู่ ๆ ก็มีมือหนึ่งมาดึงแขนเอาไว้
“!”
ฉินอวี่หันไปมองช้า ๆ แววตากังวลอย่างปิดไม่มิด ถึงเขาจะเป็นคนที่ทะลุมิติมาเหมือนในนิยายเรื่องอื่น แต่กลับเป็นเพียงแค่เงือกธรรมดา ๆ เพราะระบบเวรนั่นไม่ได้มอบพลังสุดว้าวอะไรให้เลย
“พี่ชาย หลงทางเหรอ”
“...” ฉินอวี่อ้าปากหุบปากอยู่หลายครั้ง แขนที่ถูกจับเอาไว้ออกอาการเกร็งจนอีกคนสังเกตเห็น
“กลัวอะไร” อีกฝ่ายถามน้ำเสียงขบขัน
อาศัยจากแสงไฟในอาคารที่ส่องออกมาทำให้พอมองเห็นเค้าโครงใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน คนที่จับแขนฉินอวี่เอาไว้ดูแล้วอายุน้อยกว่าเขาหลายปีทีเดียว ถึงขั้นที่น่าจะยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ใบหน้าธรรมดาสามัญ ผิวสีแทน แววตาที่มองมาไม่มีวี่แววของการคุกคาม
“ปล่อยแขนผมได้ไหม” น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยออกไปก่อนดึงแขนตัวเองกลับมา
อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้ลำบากใจ ปล่อยมือออกอย่างว่าง่าย “ผมแค่จะถามพี่ว่าหลงมาเหรอ ถ้าหลงทางมาจะได้พาออกไปส่ง ถึงพี่จะเป็นผู้ชายแต่หน้าตาแบบนี้มาเดินมืด ๆ มันไม่ดีนะรู้ไหม”
“...”
ฉินอวี่คอแข็ง ใจหนึ่งอยากบอกว่าตัวเองพักที่นี่ แต่อีกใจก็ไม่กล้าพูดด้วยกลัวว่าคนแปลกหน้าอาจประสงค์ร้าย
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิด เสียงตะโกนจากด้านบนอาคารก็ดังขึ้นมา
“ไอ้ลูกเวรกลับขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ แค่ใช้ให้ไปซื้อเหล้าทำไมมันนานนัก!”
ทั้งคู่หันไปมองด้านบนพร้อมกัน บนระเบียงชั้นสามคือคุณลุงที่เคยช่วยพูดให้ฉินอวี่วันก่อน เขาใจชื้นขึ้นหลายส่วนก่อนหันมามองเด็กหนุ่มข้างกาย “ลูกลุงเหอ?”
“อือฮึ” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างแปลกใจ “พี่รู้จักพ่อเหรอ”
“นิดหน่อย”
พวกเขาคุยกันโดยลืมคนด้านบนที่โวยวายอยู่เสียสนิท กระทั่งลุงเหอเพ่งสายตามองคนที่ลูกชายคุยอยู่ด้วย จากนั้นก็ร้องออกมาเสียงดังอีกครั้ง “เสี่ยวอวี่ไม่ใช่เหรอนั่น ทำไมวันนี้กลับดึกเชียว”
ได้ยินชื่อตนเอง ฉินอวี่ก็พยักหน้าทักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มสุภาพ กระทั่งเดินขึ้นมาบนชั้นสามพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคน เขาจึงตอบคำถามไป “วันนี้ทำโอทีน่ะครับ”
“อืม ขยันหาเงินมันก็ดี แต่กลับดึก ๆ แบบนี้มันอันตรายนะ” ลุงเหอเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
ฉินอวี่มองแววตาของคนแก่ตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ในใจจึงชื้นขึ้นที่อย่างน้อยท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ก็ยังมีคนเป็นห่วงเขา ร่างเดิมโชคดีจริง ๆ ที่ได้ลุงคนนี้คอยกางปีกปกป้อง
หลังจากบ่นเสร็จ ลุงเหอก็ดึงเด็กหนุ่มมายืนตรงหน้าฉินอวี่ทั้งยังตบหัวสั่งสอนไปอีกหนึ่งป๊าบ “นี่ลูกลุงเอง ชื่อเหอเฉียว ก่อนหน้านี้เรียนที่ต่างจังหวัด มันสอบเข้ามหาลัยในเมืองหลวงได้ ลุงก็เลยให้มาอยู่ด้วยกันเสียเลย”
“พี่ชื่อฉินอวี่นะ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มทักทายอีกฝ่าย
เหอเฉียวไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทว่าเอาแต่มองหน้าชายหนุ่มผมทองไม่วางตา “พี่ชายหน้าตาแบบนี้ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
ลุงเหอฟาดหัวลูกชายไปอีกฉาดจนหน้าแทบทิ่ม “ไอ้ลูกเวร ถามบ้าอะไร”
ฉินอวี่ส่ายหน้า “แล้วนายคิดว่าพี่มาอยู่ที่นี่ทำไมล่ะ”
เหอเฉียวทำหน้าครุ่นคิดจริงจังก่อนตอบสั้น ๆ “จน”
ประโยคนี้เอาฉินอวี่อึ้งไป ก่อนขำออกมาเล็กน้อย ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะตอบแบบไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
ไอ้เด็กนี่โคตรตรงเลยให้ตายสิ