‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
คืนนี้ฉินอวี่ฝันอีกครั้ง
ในฝันเป็นฉากที่ร่างเดิมถูกผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเรียกเข้าไปคุย อีกฝ่ายเป็นคุณลุงรูปร่างอ้วนท้วม แม้ใบหน้าจะดูดุดัน แต่จากแววตากลับเห็นได้ชัดว่าเป็นคนจิตใจดี
ทว่าเวลานี้ผู้อำนวยการกำลังทำสีหน้ายุ่งยากใจ
‘สำหรับเธอที่เป็นเงือกแล้ว การออกไปอยู่ข้างนอกมันค่อนข้างอันตราย แต่ช่วยไม่ได้จริง ๆ สถานรับเลี้ยงของเรามีเด็กเข้ามาใหม่แทบทุกอาทิตย์ ค่าใช้จ่ายมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลงเลย ตามกฎ เด็กที่อายุสิบแปดปีขึ้นไปจะต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอกด้วยตัวเอง’
‘ครับ ผมเข้าใจ’ นอกจากเด็กหนุ่มจะไม่ขอร้องอ้อนวอนแล้ว เขากลับพยักหน้าอย่างเต็มใจ 'เป็นผมเสียอีกที่ต้องขอบคุณที่นี่ ที่เลี้ยงผมมาจนโต’
ผู้อำนวยการมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเอ็นดู ใบหน้ายังคงมีร่องรอยของความกังวลที่ปิดไม่มิด 'เธอเป็นเด็กดีฉินอวี่ หลังจากออกไปแล้วหากมีเรื่องให้ช่วยก็ติดต่อมาได้เลยนะ ถ้าช่วยได้ทางนี้ยินดีช่วยเธอเต็มที่’
‘ถ้างั้นวันนี้ผมขออย่างหนึ่งได้ไหมครับ ผมจะขอฝากของสิ่งนี้...’
เงือกน้อยที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะยื่นหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งให้ผู้อำนวยการ มืออวบอ้วนรับมันมาถือไว้อย่างไม่อิดออด
‘นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเธอตอนถูกรับมาที่ศูนย์แห่งนี้’ ผู้อำนวยการพูดต่อ ‘ฉันจะดูแลให้อย่างดี วันไหนอยากได้คืนก็มาเอาคืนได้ทุกเมื่อนะ’
**
เสียงนาฬิกาปลุกยังไม่ทันดังฉินอวี่ก็ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว ใบหน้างดงามยับย่น เส้นผมกระเซิง ดวงตาลืมเปิดได้เพียงครึ่งเดียว ทั้งที่อยากนอนต่อแต่เขากลับหลับไม่ลง
ไม่รู้เพราะอะไรเขาดันฝันถึงสมุดเล่มนั้นอีกแล้ว ครั้นจะบอกว่าคิดไปเอง ฝันครั้งแรกก็พอพูดได้อยู่ แต่ฝันสองคืนติดแบบนี้จะให้ไม่คิดอะไรเลยก็คงไม่ได้
ทะลุมิติก็ทะลุมาแล้ว ไอ้การที่ฝันถี่ ๆ แบบนี้ มันจะต้องเป็นการบอกใบ้อะไรบางอย่างแน่นอน
บางอย่างที่แม้แต่ร่างเดิมก็คงลืมมันไป
เมื่อวานฉินอวี่เพิ่งคิดไปเองว่าจะทำตัวเป็นพนักงานใหม่ผู้ขยันขันแข็ง แต่วันนี้ดันกลืนน้ำลายตัวเองเสียแล้ว
หัวหน้างานของเขาคือฉีเฟิง แน่นอนว่าก็ต้องทักไปแจ้งลาป่วยกับหมอนั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
[หัวหน้าครับ วันนี้ผมปวดท้องมาก ขอลาป่วยหนึ่งวันนะครับ] 05:05
หลังพิมพ์เสร็จก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว
ใช่แล้ว วันนี้เขาจะลองไปที่สถานสงเคราะห์แห่งนั้น หากความฝันนั่นเป็นเรื่องจริง ฉินอวี่ก็จะขอสมุดนิทานเล่มนั้นคืน!
แม้สถานสงเคราะห์จะอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน แต่กลับอยู่กันคนละเขต ทำให้ฉินอวี่ต้องนั่งรถนานถึงสี่ชั่วโมงเต็มกว่าจะมาถึงที่นี่
“รอแป๊บนึงนะครับ” ฉินอวี่พูดกับคนขับแท็กซี่ก่อนจะลงจากรถไป
ดวงสีน้ำเงินมองสำรวจสถานที่ตรงหน้าอย่างทั้งแปลกตาและรู้สึกคุ้นเคยมาจากในส่วนลึกของจิตใจ
ทว่าเขาไม่แปลกใจ ถึงยังไงร่างนี้ก็เคยอาศัยที่นี่มาสิบกว่าปี เพิ่งจะได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกไม่กี่ปี ไม่แปลกที่อาการคิดถึงจะยังคั่งค้างอยู่
สถานสงเคราะห์มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แม้จะอยู่ในเมืองหลวงแต่กลับอยู่ไปทางชายขอบ โซนรอบข้างบริเวณนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ราวกับชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งมันเหมาะแก่การซ่อนตัวและชุบเลี้ยงเผ่าอมนุษย์สุด ๆ
รถราสัญจรไปมาบางตา นาน ๆ ทีจะผ่านมาสักคัน นี่เป็นเหตุผลที่ฉินอวี่ให้คนขับรถจอดรอเขาแม้ว่าอาจจะต้องจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่ม
"เสี่ยวอวี่ไม่ใช่เหรอนั่น" คุณลุงยามเอ่ยทักขึ้นมา แววตาที่มองเด็กหนุ่มผมทองเต็มไปด้วยความดีใจราวกับคนแก่ที่ลูกหลานกลับมาเยี่ยม "มาเยี่ยมผู้อำนวยการเหรอ"
"คุณลุงสบายดีไหมครับ" ฉินอวี่ยิ้มทักทายด้วยความสุภาพ "ผมมาหาผู้อำนวยการน่ะครับ มาไม่นานเดี๋ยวก็กลับแล้ว"
"งั้นเหรอ" คุณลุงยามทำหน้าเสียดาย "ผู้อำนวยการอยู่ในห้องทำงานนั่นแหละ เธอเข้าไปได้เลย"
"ขอบคุณครับ"
ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปด้านในสถานสงเคราะห์อย่างคุ้นเคย บรรยากาศภายในนี้ค่อนข้างเงียบ คาดว่าเด็กทุกคนคงกำลังอยู่ในห้องเรียน
ฉินอวี่มีเป้าหมายชัดเจน เขาอาศัยความทรงจำเดินไปยังทิศของห้องผู้อำนวยการโดยไม่มีความลังเล เมื่อมาถึงก็ยกมือขึ้นเคาะไม่กี่ครั้ง
เสียงจากด้านในตอบกลับมาแทบจะทันที “เข้ามา”
มือบางผลักประตูเข้าไปช้า ๆ เจอเข้ากับผู้อำนวยการที่เคยเห็นในความทรงจำ แม้ว่าอีกฝ่ายจะแก่ลงไปมาก แต่ความอ่อนโยนในดวงตากลับยังคงเหมือนเดิม
“ผู้อำนวยการ” น้ำเสียงนุ่มนวลถูกส่งออกไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ อีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้นมาราวกับรู้อยู่แล้ว
“มาเอาหนังสือคืนใช่ไหม”
"..." ฉินอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าฝันนั้นจะเป็นความจริง อีกทั้งผู้อำนวยการยังเข้าประเด็นได้แบบตรงเผงอีกต่างหาก ชายหนุ่มผมทองพยักหน้า "ครับ ผมมาเอาของที่ฝากไว้"
ผู้อำนวยการมองหน้าเด็กหนุ่มที่เคยดูแลแล้วพลันหัวเราะออกมา “แปลกใจอะไรกัน เธอออกไปตั้งหลายปีนอกจากส่งข้อความมาปีละครั้งก็ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย การที่เธอมาถึงที่นี่ได้ก็มีแค่เรื่องเดียว ฉันพูดถูกไหม”
“ก็ถูกนั่นแหละครับ”
หลังตอบกลับไป ผู้อำนวยการกลับเอาแต่มองฉินอวี่ไม่วางตา ก่อนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มโล่งใจ
“...” ฉินอวี่มองอีกฝ่ายพลางเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจ
คุณลุงท่านนี้มองเขาแล้วทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไงกัน
“ผ่านไปไม่กี่ปีเธอโตขนาดนี้แล้วนะ” ผู้อำนวยการหัวเราะ “ดูเธอตอนนี้สิ กล้ามายืนเลิกคิ้วใส่ฉันแล้ว เมื่อก่อนเธอขี้อายจะตาย มีอะไรก็ไม่ค่อยพูด ชอบเก็บไว้ในใจคนเดียว สบตากับคนอื่นได้เกินสามวิก็ถือว่าเก่งแล้ว”
ฉินอวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าไม่ปรับตัวก็คงอยู่ไม่รอดในสังคมข้างนอกนั่นหรอกครับ”
“นั่นสินะ ดีจริง ๆ ดีจริง ๆ”
สิ่งที่เขาไม่ได้บอกผู้อำนวยการ นั่นก็คือจริง ๆ แล้วเด็กหนุ่มที่อีกฝ่ายเคยดูแลไม่ได้โตขึ้นเลย อีกทั้งยังถูกคนอื่นทำให้ตายไปอีกต่างหาก
หนังสือเล่มนี้เป็นของที่ติดมาในกระเป๋าสัมภาระของเด็กน้อยเผ่าเงือก มันคือสมุดนิทานของชาวเงือก ผู้อำนวยการเคยถือวิสาสะอ่านตอนที่เจอเด็กคนนี้ ทว่านอกจากชายแก่จะไม่โลภมากแล้วเขากลับรู้สึกสงสารเสียมากกว่า
หลังจากรับของที่ฝากเอาไว้กลับคืนมา ฉินอวี่อยู่พูดคุยกับผู้อำนวยการอีกสองสามประโยคก่อนขอตัวกลับโดยบอกว่าตอนนี้แท็กซี่กำลังรออยู่
"ไปเถอะ ว่าง ๆ ก็แวะมาเยี่ยมหรือส่งจดหมายมาบ้างนะ เพราะถึงยังไงเธอก็เปรียบเสมือนลูกชายพวกเรา"
"รักษาสุขภาพด้วยนะครับ" ฉินอวี่เอ่ยลา
เมื่อกลับมาถึงห้อง ฉินอวี่รีบเปิดเนื้อหาข้างในอ่านอย่างอดใจรอไม่ไหว ยิ่งอ่านหัวคิ้วได้รูปก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างอดไม่อยู่
“อะไรเนี่ย”
มันคือนิทานเล่มหนึ่งที่สื่อถึงคุณค่าของเผ่าเงือก ทว่าไม่ใช่คุณค่าทางด้านจิตใจเหมือนนิทานเด็กของมนุษย์ แต่เป็นคุณค่าทางด้านร่างกายของพวกเขาทั้งหมด
กล่าวคือ ร่างกายของเงือกถือเป็นสิ่งล้ำค่าหาใดเปรียบ ผู้ที่ได้ครอบครองจะราวกับขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ปาน
เนื้อเงือกเปรียบเสมือนยาอายุวัฒนะ ผู้ใดได้กินก็จะมีอายุยืนยาวเกือบพันปีเรียกได้ว่าแทบจะเป็นอมตะ เป็นเหตุให้เงือกต้องหลบซ่อนตัวตนให้มิดชิดที่สุด
น้ำตาเงือกหรือไข่มุกเงือก มีสีขาวนวลราวกับน้ำนม มันจะออกมาเมื่อเงือกหลั่งน้ำตา ถือเป็นอัญมณีที่มีค่ามาก เชื่อกันว่าไข่มุกจะคอยปกป้องคุ้มครองเจ้าของ อีกทั้งยังสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริง รักษาอาการป่วยและนำโชคดีมาให้อีกด้วย
และอีกสาเหตุที่ทำให้ไข่มุกเงือกหายาก เนื่องจากเผ่าเงือกไม่ค่อยร้องไห้ เพราะหากต้องร้องไห้จริง ๆ หลังจากนั้นพวกเขาจะเกิดอาการไม่สบายตามมาอีกด้วย
“แบบนี้ก็ไม่ต้องทำงานแล้วสิ แค่เอาตัวเองไปขายก็รวยเละแล้ว” แม้ปากจะพูดเล่น ทว่าใบหน้างดงามกลับซีดเผือดจนแทบไร้สีเลือด
โชคดีจริง ๆ ที่ในเน็ตไม่มีข้อมูลพวกนี้อยู่ด้วย บางทีมันอาจจะโดนองค์กรอะไรสักอย่างปกปิดเอาไว้
เรื่องไข่มุกก็แล้วไปเถอะ แต่เรื่องเนื้อเงือกนี่ฉินอวี่รับไม่ได้จริง ๆ หากในเน็ตมีข้อมูลเรื่องนี้เข้าไปด้วย ไม่ต้องรอให้ฉีเฟิงมาฆ่าเขาหรือระบบมาจัดการหรอก ฉินอวี่คงโดนคนสืบหาตัวตนแล้วตามมาถลกหนังกินตั้งแต่ไลฟ์วันแรกแน่นอน
มือคู่สวยปิดสมุดนิทานดังฉับก่อนโยนส่ง ๆ ไปไว้บนเตียงอย่างหมดความสนใจ เขาหันมาเปิดโน้ตบุ๊คแล้วเข้าไปในเว็บใต้ดินเพื่อหากระทู้ ‘รับจ้างตามใจ’ นั่นอีกครั้ง
ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตัวอินดี้สมชื่อที่ตั้งสุด ๆ ในขณะที่คนอื่นแค่โพสต์ของตัวเองตกลงไปหน้าสองหน้าสามก็จะลบแล้วลงใหม่เพื่อให้มันขึ้นหน้าแรก แต่เจ้าของโพสต์รับจ้างตามใจคนนี้กลับไม่ทำแบบนั้น อีกฝ่ายเลือกที่จะลงโพสต์ครั้งเดียวแล้วปล่อยมันจมลงไป
เหมือนแค่ว่างก็เลยโพสต์แก้เซ็งยังไงยังงั้น
ครั้งนี้กว่าเขาจะหาเจอก็ปาเข้าไปหน้าที่แปดสิบกว่ากันเลยทีเดียว
“หวังว่าเขาจะยังรับงานนะ”
เสียงหวานพึมพำคนเดียว ปลายนิ้วเลื่อนไปกดส่งข้อความหาอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
“สวัสดีครับ ผมสนใจอยากจ้างคุณทำงานสักหน่อย”
โชคดีที่อีกฝั่งดูเหมือนว่าจะกำลังออนไลน์อยู่พอดีจึงตอบกลับมาด้วยความรวดเร็ว
[บลัด : งานอะไร]
นั่นสิ งานอะไร...
ฉินอวี่นิ่งค้างจ้องคำถามของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ใช่แล้ว เขาลืมคิดไปเสียสนิท!
[บลัด :? ยังอยู่ไหม]
เจ้าของแอคเค้าท์ที่ใช้ชื่อว่าบลัดทักฉินอวี่มาอีกครั้ง เพียงแต่เขายังคิดไม่ออกจริง ๆ
“อยู่ครับ”
[บลัด : ท่าทางนายยังไม่ได้คิดเลยสินะว่าจะจ้างให้ไปทำอะไร]
ราวกับอีกฝ่ายมีพลังมองทะลุ เพียงแค่เขาเงียบไปไม่นานก็สามารถคาดเดาได้ทุกอย่าง อีกทั้งยังตรงเผงอีกด้วย!
ไม่รอให้ฉินอวี่ได้ตอบอะไร บลัดก็ส่งข้อความมายาวเหยียด
[บลัด : เอาเถอะ ปกติฉันไม่รับงานมั่วซั่ว แต่ช่วงนี้กำลังเซ็ง ๆ อยู่พอดี เอาเป็นว่าฉันรับงานนายแล้วกัน ค่ามัดจำการทำงาน 20,000 เหรียญ ยอดที่เหลือต้องดูก่อนว่างานที่จะให้ทำระดับความยากอยู่ที่เลเวลไหน ไปคิดรายละเอียดงานมาด้วยล่ะ เจอกันวันอาทิตย์ตอนเที่ยงที่ร้านซันเซ็ทศูนย์การค้าหมายเลขสี่]
"..."
ฉินอวี่งงเป็นไก่ตาแตก
เขาเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายอินดี้ ขนาดไม่รู้รายละเอียดงานก็ยังรับ แถมมัดมือชกอีกด้วย!
นี่สรุปใครจะจ้างงานใครกันนะ?
ฉินอวี่ลองเชิง “แล้วถ้าผมให้ไปฆ่าคนล่ะ”
[บลัด : นั่นขึ้นอยู่กับว่านายเงินถึงไหม]
คำตอบนี้เป็นการบอกกลาย ๆ ว่าอีกฝ่ายทำได้ทุกอย่าง
“เอาก็เอาวะ” มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงต้องลองดูไปก่อน
ฉินอวี่โอนเงินค่ามัดจำสองหมื่นเหรียญให้บลัดด้วยหัวใจเจ็บแปลบ ถึงจะยังมีเงินที่ไม่ได้ถอนอีกครึ่งแสน แต่ดูจากราคามัดจำแล้วเขาคิดว่าค่าจ้างส่วนที่เหลือต้องชวนกระอักเลือดแน่นอน
[บลัด : ได้รับยอดเรียบร้อย ขอบคุณที่อุดหนุน วันอาทิตย์นี้เจอกันตอนเที่ยง]
“...”
ฉินอวี่มองข้อความพูดเองเออเองของบลัดโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาให้กำลังใจตัวเอง หวังว่าจะตัดสินใจถูกที่เลือกคนคนนี้มาทำงานให้
แต่ก่อนอื่น ภายในสามวันนี้คงต้องเร่งมือหาเงินอีกแล้วสินะ ลำพังแค่การไลฟ์ดูดวงกับโดเนทจากคนดู เขากังวลว่ายอดที่ได้มันอาจจะไม่พอให้จ้างบลัดเนี่ยสิ
คิดไปคิดมาสุดท้ายเงือกมือใหม่แบบฉินอวี่ก็นึกออกแค่ตำนานที่เพิ่งอ่านไปเท่านั้น
ไข่มุกเงือก...
เรื่องคนซื้อฉินอวี่มั่นใจว่าต้องมีคนซื้อแน่นอน ไม่รู้เพราะอะไร แต่เขามั่นใจว่าหนึ่งในคนที่ซื้อจะต้องมีคุณเอลคนนั้นด้วยแน่นอน แต่จะให้ขายไข่มุกเป็นเม็ด ๆ เขาก็กลัวว่ามันอาจจะไปล่อเป้าพวกคนประหลาดเข้า
หลังจากครุ่นคิดจนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หลายชั่วโมง ฉินอวี่ก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเขาจะทดลองทำเครื่องประดับที่มีส่วนประกอบของไข่มุกดู และสิ่งสำคัญเลยก็คือห้ามให้คนอื่นรู้ว่ามันมีไข่มุกอยู่ด้วย!