‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]

ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่ - ตอนที่ 15 คนเราต้องใช้หน้าตาให้เป็นประโยชน์ โดย Ferylin @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ

รายละเอียด

‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]

ผู้แต่ง

Ferylin

เรื่องย่อ

ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด

เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย 

เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ 

ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน 

[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]

“ฉิบ”

โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย

สารบัญ

ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-บทนำ เรื่องราวหลังการตาย,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 1 ภารกิจเอาตัวรอด ทำก็ตาย ไม่ทำก็ตาย,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 2 ไม่ชอบอะไรมักได้อย่างนั้น,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 3 เผลอไผล,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 4 หลงตัวเอง,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 5 ท่านเลวี่คนดัง,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 6 ข้อมูลใหม่,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 7 รับจ้างตามใจ,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 8 ลองทายสิ,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 9 ได้โปรดมาโปรยเงินที่ช่องผมบ่อย ๆ นะครับ!,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 10 กลายเป็นคนดังแบบงง ๆ,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 11 ไข่มุกเงือก,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 12 ร้องไห้,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 13 ทดลองผลงาน,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 14 ท่ามกลางคนมากมาย ยังมีเขาที่คอยเป็นห่วง,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 15 คนเราต้องใช้หน้าตาให้เป็นประโยชน์,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 16 ใบหน้าภายใต้หมวก,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 17 อมนุษย์ผู้งดงาม,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 18 เปลี่ยนแปลง,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 19 ทำอาหาร,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 20 ลีเจีย,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่- ตอนที่ 21 WARNING,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 22 ยังมีชีวิต,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 23 เธอรู้จักฉัน อาอวี่,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 24 นายจะให้ฉันไปตายหรือไง,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 25 ทำไมไม่มองฉันเลย,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 26 นับจากนี้ไปขอให้เธอมีแต่ความสุข,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 27 แวมไพร์ตนนี้จะทำงานไวเกินไปแล้ว,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 28 แผนในใจของแต่ละคน,ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่-ตอนที่ 29 ของคู่กัน

เนื้อหา

ตอนที่ 15 คนเราต้องใช้หน้าตาให้เป็นประโยชน์

 

 

สรุปแล้ว ในวันอาทิตย์นี้ฉินอวี่มีนัดถึงสองคนเลยทีเดียว

ในส่วนของบลัด แน่นอนว่าเขาต้องไปอยู่แล้ว แต่กับท่านเลวี่ที่เป็นแวมไพร์อันดับหนึ่งตนนั้น เขาไม่อยากไป...

ก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี่คิดอยากจะไปก็เพราะเสียดายเงินหนึ่งพันเหรียญ ทว่าตอนนี้ที่เขาสามารถหาเงินได้เยอะแล้วจึงเกิดความรู้สึกไม่อยากไปขึ้นมา

เรื่องอะไรที่จะต้องไปประเคนเลือดของเงือกอันแสนล้ำค่าให้แวมไพร์กินเป็นอาหารค่ำด้วยล่ะ!

ถึงกระนั้นเรื่องไม่ไปตามนัดมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ตามมารยาทที่ควรกระทำเขาก็ควรที่จะไปแจ้งอีกฝ่ายให้รู้สักหน่อย

มือเรียวคลิกเมาส์ไปที่ช่องแชตในเว็บใต้ดิน ข้อความของท่านเลวี่ผู้นั้นอยู่ในลำดับท้ายสุด ข้อความยังคงเป็นสีแดง แสดงให้เห็นว่าผู้รับยังไม่ได้เปิดอ่าน

ใช่แล้ว เงือกมือใหม่คนนี้ถึงกับเมินแชตของแวมไพร์อันดับหนึ่งล่ะ!

ด้วยความที่วันนั้นเขาเจ็บใจมากก็เลยไม่เข้าไปดูแชต อีกทั้งหลังจากนั้นก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมไลฟ์ของตัวเอง ทั้งทำงานประจำ ทั้งประดิษฐ์ของ จึงทำให้ลืมนัดของบุคคลนี้ไปเสียสนิท

ฉินอวี่เปิดอ่านแชตของแวมไพร์อันดับหนึ่ง

[เลวี่ : สวัสดีคุณอาอวี่ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของคุณ เพื่อเป็นการตอบแทนคนดูฉันจึงจัดเลี้ยงดินเนอร์สุดหรูให้เป็นการพิเศษ สถานที่นัดหมายคือ Nightmare Grand Hotel ชั้นบนสุด เวลาหกโมงเย็น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบกับคุณ]

“...”

ชื่อโรงแรมที่ดูโคตรลางไม่ดีนั่นมันอะไรกันฟระ คนปกติทั่วไปเขาตั้งชื่อโรงแรมกันแบบนี้เรอะ!

ฉินอวี่มองชื่อโรงแรมพลางหรี่ตาลง สถานที่ตั้งของโรงแรมนี้กับร้านอาหารที่บลัดนัดดันอยู่ใกล้กันกว่าที่คิด “มันจะบังเอิญเกินไปไหม”

แต่ช่างหัวเรื่องใกล้ไกลเถอะ

ต่อให้สถานที่ที่พวกเขานัดคือที่เดียวกัน ฉินอวี่ก็ไม่คิดจะไปเจอเลวี่แน่นอนอยู่แล้ว ปลายนิ้วเรียวสวยพิมพ์ตอบกลับ “ขอบคุณนะครับท่านเลวี่และก็ขอโทษที่แจ้งกะทันหัน แต่นัดครั้งนี้ผมขอยกเลิกนะครับ”

ฉินอวี่ไม่ได้คิดจะรอข้อความตอบกลับ หลังพิมพ์เสร็จก็รีบไปเตรียมตัวเพื่อออกไปเจอบลัดในตอนเที่ยงของวันนี้ทันที

พอเริ่มมีเงินเงือกมือใหม่ผู้รักสบายแบบเขาก็ขอลาขาดจากการโหนรถเมล์อันแสนแออัดและเชื่องช้าเสียเลย

ไม่นานฉินอวี่ก็มาถึงที่หมาย ขาเรียวยาวก้าวลงจากรถแท็กซี่ ดวงตาสีน้ำเงินมองสอดส่องไปรอบบริเวณย่านการค้าขนาดใหญ่แห่งนี้ด้วยความตื่นตา “ใหญ่มาก!”

สถานที่ที่บลัดนัดคือร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าหมายเลขสี่ ร้านรวงตั้งเรียงรายอยู่อย่างหนาแน่น ยิ่งบวกกับว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ผู้คนจึงเยอะมากชนิดที่เบียดเสียดแออัดสุด ๆ

และการที่ผู้คนออกมาเดินกันเยอะขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นตอนเที่ยงวัน นั่นก็เพราะศูนย์การค้าถูกครอบเอาไว้ด้วยโดมขนาดใหญ่

แอร์ตัวยักษ์พร้อมด้วยพัดลมถูกติดตั้งอยู่รอบบริเวณ ตัวผนังโดมเป็นกระจกสีทึบทำให้แสงแดดจากภายนอกส่องเข้ามาด้านในไม่ได้ ภายในนี้จึงแทบไม่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เลย

นอกจากนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ทั้งที่กระจกมันทึบเสียจนมืดไปหมด แต่ข้างในกลับเปิดไฟเพียงแค่สลัว ๆ เท่านั้น ทำให้ในย่านศูนย์การค้าราวกับกลางวันก็ไม่ใช่กลางคืนก็ไม่เชิงยังไงยังงั้น

ในขณะที่ฉินอวี่เดินหาร้านอาหารเขาก็มองสำรวจรอบข้างไปด้วยความสนใจ จนไม่ทันระวังชนคนอื่นเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย!” ใบหน้าบอบบางกระแทกเข้ากับต้นแขนที่แข็งราวกับก้อนอิฐจนเจ็บแปลบ

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังอยู่เหนือศีรษะของฉินอวี่ “เดินยังไงวะ!”

“ขอโทษนะครับ ผมขอโทษจริง ๆ” ฉินอวี่รีบก้มศีรษะขอโทษเป็นการใหญ่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสำนึกผิด

นักเลงร่างยักษ์ผมสีน้ำเงินสว่างแปลกตาก้มลงมองคนตาถั่วที่บังอาจมาเดินชนตนเองเช่นกัน ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มตัวเล็กตรงหน้าชัด ๆ ก็ชะงักค้างไป ใบหน้าที่เคยถมึงทึงพลันแข็งทื่อ

“มะ ไม่เป็นไร” นักเลงพูดตะกุกตะกักก่อนจะสังเกตเห็นว่าจมูกของคนงามแดงเถือก ชายหนุ่มใจอ่อนยวบ “นายล่ะเจ็บไหม”

ฉินอวี่ยิ้ม “ผมก็ไม่เป็นไรครับ”

จริง ๆ แล้วมันเจ็บมากต่างหาก!

ใครจะไปคิดว่าแขนหมอนี่มันจะแข็งเหมือนกำแพงแบบนี้ ถ้าเขาชนแรงกว่านี้จมูกคงได้ยุบแน่นอน

นักเลงร่างโตมองชายหนุ่มผมทองด้วยดวงตาเป็นประกาย “นายกำลังหาอะไรอยู่ ให้ฉันช่วยไหม”

พอประโยคที่ดูเป็นคนดีนี้ถูกพ่นออกมา ก็ทำเอาลูกน้องผมดำที่มาด้วยกันถึงกับหันขวับมองลูกพี่ของตัวเองตาเหลือก

“ผมกำลังหาร้านอาหารอยู่น่ะครับ พอดีนัดเพื่อนเอาไว้”

นักเลงร่างยักษ์อาสาพาเขาไปส่งอย่างมีน้ำใจ ซึ่งฉินอวี่ก็ไม่ขัดข้อง ดีเสียอีกเขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลามางมหาร้านท่ามกลางร้านค้าเป็นพัน ๆ ในศูนย์การค้า

ลูกน้องผมดำมองลูกพี่ของตัวเองด้วยสายตาเหม่อลอย พลางพูดเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าเราต้องไปรายงานตัวกับนายท่านหรอกเหรอ”

 

ให้ตายสิ ลูกพี่คนนี้แค่เห็นคนหน้าตาดีเข้าหน่อยก็มือไม้อ่อนระทวยทุกที!

 

หลังจากเดินด้วยกันมาสักพัก ฉินอวี่ก็ได้รู้ชื่อของคนทั้งสอง ชายร่างยักษ์ผมสีน้ำเงินมีชื่อว่า อาซี ส่วนชายผมดำที่เป็นลูกน้องชื่อ ลูแปง แม้ท่าทางภายนอกจะดูน่ากลัวไปบ้าง ทว่าพวกเขากลับเป็นคนดีมากกว่าที่คิด

ไม่นานคนทั้งสามก็มาถึงร้านอาหารที่ฉินอวี่ต้องการ เขาหันไปยิ้มตาหยีให้อีกฝ่าย “ขอบคุณนะอาซี ลูแปง”

ทว่าอาซีกลับยังคงรู้สึกเสียดายที่จะต้องแยกจากคนงามไวขนาดนี้ “ให้พวกฉันเข้าไปส่งไหม”

“คุณฉินอวี่เขานัดเพื่อนเอาไว้ ลูกพี่จะตามเข้าไปเพื่ออะไร” ลูแปงขัดขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว คอยดูนะเขาจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายท่าน

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมขอตัวก่อนนะ” ว่าจบฉินอวี่ก็เดินฉิวเข้าร้านไปทันที

คล้อยหลังคนงามไปไม่นาน จู่ ๆ อาซีก็สบถออกมา แล้วรีบวิ่งตามเข้าไป “ฉิบหายล่ะ ลืมขอช่องทางติดต่อ”

“ลูกพี่ รอด้วยสิครับ!” ลูแปงตะโกนพลางสับเท้าตามหลังไปอีกคน

ทว่าทันทีที่นักเลงร่างโตตามเข้ามาจนเกือบจะถึงโต๊ะที่ฉินอวี่เดินไป ชายหนุ่มดันสบเข้ากับดวงตาคมกริบคู่หนึ่งอย่างจัง “เอ่อ...”

ปึก!

ลูแปงที่วิ่งตามหลังมาเบรกไม่ทันใบหน้าจึงทิ่มหลังลูกพี่เต็ม ๆ เขาเจ็บจนต้องยู่หน้า ทว่ายังไม่ทันอ้าปากก็ต้องชะงักค้างไปเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ

“ฉิบหาย ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ล่ะ” ลูแปงกระซิบเสียงเบา ใบหน้าซีดเผือด

ทว่าทางด้านอาซีนั้นหน้าเขียวคล้ำไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าเพื่อนที่ฉินอวี่เอ่ยถึงจะเป็นคนคนนี้กันเล่า!

ถึงแม้อีกฝ่ายจะสวมหมวกจนปิดบังไปครึ่งหน้า แต่ดวงตาคมปลาบที่มองมาทางนี้ผ่านปีกหมวก รวมทั้งกลิ่นอายกดดันอันเป็นเอกลักษณ์กลับทำให้พวกเขารู้ได้อย่างชัดเจนว่าคนตรงหน้าคือใคร

นายท่าน!!

คนทั้งสองตัวแข็งทื่อรีบยืดหลังตรงก่อนจะโค้งตัวลงเก้าสิบองศาเป็นการทำความเคารพ จากนั้นก็รีบเผ่นแนบออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ฉินอวี่หันมาก็ไม่เจอใครแล้ว

“หือ?”

ฉินอวี่เอียงคออย่างสงสัย เมื่อกี้เขารู้สึกเหมือนว่ามีคนกำลังยืนอยู่ข้างหลังแท้ ๆ แต่พอหันมากลับไม่เจอใครเลยสักคน

หรือจะคิดไปเอง 

เงือกผู้มีใบหน้างดงามส่ายหัวก่อนหันมาทางชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มทักทาย

อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีดำสนิทไปทั้งตัว หมวกที่อยู่บนศีรษะบดบังใบหน้าของบลัดไปครึ่งซีกจนเห็นแต่ริมฝีปากสีซีด ท่าทางดูลึกลับอย่างกับพวกฆาตกรยังไงยังงั้น

ทว่าเขาไม่ได้แปลกใจ ในเมื่อหมอนี่สามารถฆ่าคนได้ การปกปิดตัวตนจึงแทบจะเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ

“สวัสดี บลัด” ฉินอวี่นั่งลงตรงข้ามพลางเอ่ยทักเสียงใส ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มมีชีวิตชีวา ไม่มีแม้แต่อาการประหม่าเลยสักนิด

การมาพบบลัดครั้งนี้เขาไม่ได้ปิดบังตัวตนและใบหน้าของตัวเอง เหตุผลหลักเลยก็คือต้องการให้อีกฝ่ายเชื่อใจจนยอมทำงานให้ ส่วนอีกเหตุผลก็เผื่อว่าใบหน้านี้จะทำให้บลัดใจอ่อนจนยอมลดราคาให้บ้างก็เท่านั้น

ว่าง่าย ๆ ก็คือ เขาต้องการใช้หน้าตาให้เป็นประโยชน์นั่นเอง!

ดูอย่างนักเลงสองคนนั้นสิ ถ้าคนที่ชนไม่ใช่เขา มั่นใจได้เลยว่าผู้โชคร้ายคนนั้นจะต้องโดนอาซีต่อยจนกรามยุบแน่นอน

“สวัสดี” ชายสวมหมวกทักทายกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ดวงตาภายใต้ปีกหมวกจดจ้องชายหนุ่มผมทองไม่วางตา

ฉินอวี่ยิ้มบางเมินสายตาสำรวจของอีกฝ่าย พลางเรียกพนักงานมารับออเดอร์ “เรามากินไปคุยไปกันเถอะ คุณบลัดจะสั่งอะไรไหม”

“ไม่ล่ะ ตามสบาย”

ฉินอวี่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนบ่นอุบ “นั่งกินคนเดียวแบบนี้ผมลำบากใจนะครับ”

มีอย่างที่ไหนนัดออกมาคุยงานในร้านอาหารแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกินอยู่คนเดียว ไอ้หมอนี่ไม่มีศิลปะในการคบคนเลย

ระหว่างนั่งรออาหาร ทั้ง ๆ ที่ภายในร้านและนอกร้านเต็มไปด้วยความคึกคัก ทว่าบรรยากาศบนโต๊ะนี้กลับมีแต่ความเงียบเชียบจนน่าอึดอัด ฉินอวี่เอ่ยขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว

“ที่คุณบอกว่าทำได้ทุกอย่างนี่จริงใช่ไหมครับ”

“ขึ้นอยู่กับค่าจ้าง”

ฉินอวี่เอ่ยถึงสิ่งที่ขบคิดมาหลายวันนี้ก่อนพูดออกไปอย่างลังเล “ผมไม่ได้อยากฆ่าใคร แต่คุณพอจะมีวิธีทำให้มนุษย์คนหนึ่งกลายเป็นอมนุษย์ไหม”

“...หืม?”

บลัดจ้องคนตรงหน้านิ่ง ชายหนุ่มไม่คิดว่าคน ไม่สิ เงือกที่ดูงดงามขนาดนี้จะสามารถพูดเรื่องโหดร้ายออกมาได้ ชักจะน่าสนใจแล้วสิ

“ว่าไงครับ ทำได้ไหม” ฉินอวี่ถามย้ำอย่างกังวล เขาอุตส่าห์เปิดเผยขนาดนี้แล้วนะ ถ้าบลัดบอกว่าทำไม่ได้เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว

“ทำได้” น้ำเสียงยานคางกล่าวออกมาราวกับกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ “นายอยากให้อีกฝ่ายเป็นตัวอะไรล่ะ”

ฉินอวี่ก้มหน้าลงครุ่นคิด แม้ในโลกใบนี้จะมีอมนุษย์อยู่มากมาย แต่เขาแทบจะไม่รู้จักเผ่าพันธุ์พวกนั้นเลย ที่พอนึกออกก็มีแค่

“แวมไพร์”

ชายในชุดดำชะงักไปเล็กน้อย ริมฝีปากสีซีดฉีกยิ้ม “ทำไมต้องแวมไพร์”

“ก็ผมรู้จักอยู่แค่ไม่กี่เผ่าพันธุ์นี่นา”

อีกทั้งจากนิยายที่เคยอ่านมา เหมือนว่าแวมไพร์จะมีวิธีการบางอย่างเพื่อสืบทอดพลังให้มนุษย์ได้อีกด้วย

“แล้วทำไมไม่ให้คนคนนั้นเป็นเงือกล่ะ”

ฉินอวี่มองอีกฝ่ายเหมือนมองคนโง่ “ถ้าผมรู้วิธีผมคงไม่จ้างคุณให้เปลืองเงินหรอก แพงก็แพง”

บลัดมองเงือกผมทองที่ค้อนใส่ตัวเองวงใหญ่ด้วยความขบขันอย่างปิดไม่มิด ไม่มีแต่ความโกรธที่โดนหลอกด่าเลยสักนิด

“โอเค ฉันทำได้” นิ้วชี้ถูกยกขึ้นมาแตะริมฝีปากด้วยท่าทางดูลึกลับ “แต่ราคาแพงมากเลยนะ”

เพราะเลือดของแวมไพร์ชั้นสูงมีค่ามากยังไงล่ะ

“เท่าไหร่ล่ะครับ” ฉินอวี่ถามออกไป ในใจคิดคำนวณถึงเงินที่มีอยู่ คาดหวังว่ามันคงไม่น่าจะแพงมากเกินไปหรอกมั้ง

“สองแสน”

“ห้ะ!!” ฉินอวี่ตะโกนออกมาเสียงลั่นจนคนในร้านพากันหันมามอง เขารีบกดเสียงเบาอย่างตกใจ “ทำไมแพงขนาดนี้เนี่ย”

“ต้องแพงสิ ถ้าแลกกับการทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายน่ะ” บลัดเอ่ยเสียงเรียบ

ใคร ๆ ก็รู้ว่าบนโลกใบนี้อมนุษย์ยังไม่ค่อยถูกสังคมยอมรับมากนัก แม้ประเทศนี้จะไม่ได้มีกฎหมายกีดกันพวกเขา ทว่าด้วยบริบทของคนส่วนใหญ่ในสังคม เหล่าอมนุษย์ก็ยังไม่ถูกยอมรับอยู่ดี

หากมีคนรู้ว่าคุณเป็นอมนุษย์ นั่นหมายความว่าคุณอาจจะมีชีวิตที่ลำบากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะทั้งสถานศึกษา โรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐ หรือแม้แต่บริษัทหลาย ๆ แห่งก็พร้อมใจกันคว่ำบาตรกีดกันพวกเขาเหล่านั้น

การที่มนุษย์ปกติคนหนึ่งต้องมากลายเป็นตัวประหลาดแบบนี้ ย่อมเหมือนเป็นการผลักอีกฝ่ายให้ตกนรกทั้งเป็น เรื่องนี้ฉินอวี่รู้อยู่แล้ว

ตัวเขาไม่ได้มีความเคียดแค้นอะไรฉีเฟิงเลยสักนิด แต่ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายดันไปทำร้ายเงือกดี ๆ ตนหนึ่งเข้า ถ้าจะบอกว่าเวรกรรมตามสนองก็คงใช่

“ผมตกลง”