‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
“ผมตกลง”
หลังจบประโยคนี้ ฉินอวี่ก็เห็นบลัดยิ้มกว้างกว่าเดิมแสดงออกถึงความพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด
ค่าจ้างทั้งหมดสองแสน หักมัดจำสองหมื่นและค่าสร้อยอีกหนึ่งหมื่นเหลือที่ต้องจ่ายเพิ่มคือแสนเจ็ด เงือกหนุ่มกัดฟันยกโทรศัพท์ขึ้นมาโอนค่าจ้างให้บลัดด้วยหัวใจรวดร้าว
ท่องไว้ เพื่องาน เพื่องาน อย่างน้อยก็ยังเหลือตั้งสามหมื่น “...”
บลัดเอนหลังพิงพนักโซฟา ขาไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาภายใต้หมวกจ้องมองเงือกที่มีสถานะเป็นนายจ้างนิ่ง ๆ “รายละเอียดเป้าหมายและระยะเวลาการทำงานล่ะ”
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี” เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเท่านั้น ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก่อนจะชะงักไป ดวงตาจ้องเขม็งผ่านกระจกใสออกไปด้านนอกร้าน “ส่วนเป้าหมาย...”
ดูเหมือนว่าจะมาได้จังหวะจริง ๆ
บลัดเห็นท่าทางนั้นจึงหันมองตามสายตาไปด้วยอีกคน จากมุมนี้จะเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาทรงเสน่ห์แฝงความเจ้าชู้ กำลังเดินกะหนุงกะหนิงมากับสาวน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มที่มีหน้าอกล้นทะลักคนหนึ่ง
“หมอนั่นเหรอ?” คิ้วเข้มภายใต้หมวกเลิกขึ้นอย่างสนใจ
“อือ” ฉินอวี่ใจลอย แววตาที่มองฉีเฟิงแสดงออกว่ารังเกียจคนแบบนี้อย่างสุดหัวใจ
เวลาปกติชอบแสดงท่าทางสุภาพบุรุษเพื่อทำให้คนอื่นรู้สึกดี อีกทั้งในออฟฟิศใครไม่รู้บ้างว่าฉีเฟิงชอบจางลี่ ไม่สิ มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่รู้ นั่นก็คือร่างเดิมที่แสนซื่อบื้อคนนั้นไง
เอาเป็นว่า คนแทบทั้งบริษัทรู้ว่าฉีเฟิงชอบคุณหนูจางลี่ลูกสาวท่านประธาน แล้วภาพที่เขาเห็นตอนนี้มันคืออะไรกัน
หญิงสาวคนนั้นถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจะเป็นเด็กใหม่แผนกบัญชีที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้สามเดือน จากท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมถึงขั้นกอดแขนโอบไหล่ ใช้เท้ามองก็รู้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันแบบไหน
“ไอ้เลวเอ๊ย” ฉินอวี่สบถ หันหน้ามาพูดกับบลัดด้วยน้ำเสียงโมโห “คุณเริ่มงานได้วันไหน”
บลัดหัวเราะหึ “วันนี้เลยเป็นไง”
ฉินอวี่คลายสีหน้าโมโหลง “เยี่ยมไปเลยครับ”
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น อาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟพอดี ฉินอวี่ที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยลงมือด้วยความรวดเร็วปานพายุคลั่ง
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องล่ะนะ!
ในขณะที่กินข้าว ฉินอวี่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนตรงข้ามเอาแต่จับจ้องมือของเขาไม่วางตา
ฝ่ามือนี้บลัดเคยเห็นแล้วผ่านทางไลฟ์ แต่การมองผ่านกล้องกับการได้เห็นของจริงนั้นช่างต่างกันมาจริง ๆ
ในไลฟ์มือของเงือกอยู่ในสภาพมีเกล็ดทั่วบริเวณ ส่วนในตอนนี้มือของอีกฝ่ายไร้ซึ่งเกล็ดแต่ก็ยังคงสวยงามมากอยู่ดี ผิวขาวละเอียดเนียนนุ่มเหมือนก้อนหยก นิ้วทั้งสิบเรียวยาวเห็นข้อต่อชัดเจน ที่มือซ้ายมีขี้แมลงวันเม็ดเล็ก ๆ แต้มอยู่หนึ่งจุดทว่ามันกลับไม่ได้ทำให้มือข้างนี้ดูด่างพร้อยแม้แต่นิดเดียว
ฉินอวี่เช็ดปาก “อิ่มแล้วครับ เราไปกันเลยมั้ย”
“อืม” บลัดพยักหน้าก่อนเดินนำออกไป
กว่าฉินอวี่จะกินเสร็จก็ผ่านมาแล้วครึ่งชั่วโมง แน่นอนว่าพวกฉีเฟิงเดินหายไปนานแล้ว แต่เขามั่นใจว่าบลัดต้องมีวิธีตามตัวพวกนั้นแน่
และเขาก็เดาถูก บลัดกำลังหลับตาก้มหน้าลงเงียบ ๆ พลางใช้ประสาทสัมผัสที่ค่อนข้างไวของตัวเองในการค้นหาเป้าหมายภารกิจ ไม่นานก็เจอคนทั้งคู่
ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงลืมขึ้น “โรงแรมไนท์แมร์”
“...” ฉินอวี่ชะงัก
โรงแรมนี้อีกแล้ว
ที่เมืองนี้มันมีอยู่โรงแรมเดียวหรือไงเนี่ย!
อาการชะงักของเงือกข้างกายทำให้บลัดหันไปมองอย่างสงสัย “มีอะไร”
ฉินอวี่ส่ายหน้า “เปล่า”
ใครจะไปบอกกันล่ะว่าเขาก็โดนแวมไพร์อันดับหนึ่งนัดเจอที่นี่น่ะ
เป้าหมายอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีทั้งคู่ก็มาถึงโรงแรมที่ว่าจนได้
ฉินอวี่ยืนตะลึงตาค้างกับขนาดของโรงแรมอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา โรงแรมแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากกว่าที่เขาเคยเห็นมาทั้งชีวิต สไตล์การตกแต่งภายนอกก็ว่าหรูหราแล้ว ทว่าเมื่อเข้ามาด้านใน เงือกมือใหม่ก็แทบจะถูกเครื่องประดับภายในนี้สะท้อนจนตาบอดกันเลยทีเดียว
ฉินอวี่ทำหน้านิ่ง ดวงตากวาดไปทั่วอย่างสำรวจ เขาพึมพำเสียงเบา “ต้องแพงมากแน่เลย”
บลัดที่เดินอยู่ด้านข้างนั้นหูดีมาก ชายหนุ่มพยักหน้า “แพงสิ อย่างน้อยคืนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่น”
“นะ หนึ่งหมื่น!” ฉินอวี่ตาเหลือก
โอเค เขารู้ว่าหัวหน้ายังไงก็เงินเดือนเยอะกว่าพนักงานใหม่อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเยอะถึงขนาดทำตัวอู้ฟู่แบบนี้ได้สบาย ๆ
ซึ่งบลัดก็คิดแบบเดียวกัน “ดูท่าไอ้หมอนี่จะเงินเหลือเฟือดีนะ”
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้คือโรงแรมหรู การรักษาความปลอดภัยจึงเข้มงวดมาก หากไม่มีคีย์การ์ดจะไม่สามารถขึ้นลิฟต์ของโรงแรมได้ และต่อให้มีคีย์การ์ดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปแวะได้ทุกชั้น
ในเมื่อจ่ายเงินค่าจ้างไปแล้ว ฉินอวี่เลยปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของบลัดไปเสีย ส่วนตัวเองก็ทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี
ไม่รู้ว่าบลัดพูดอะไรกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ไปบ้าง สายตาที่พวกเธอมองมายังฉินอวี่ถึงได้ดูแปลกประหลาดแบบนั้น จะยิ้มก็ไม่ใช่ ออกไปทางประหลาดใจเสียมากกว่า
ไม่นานบลัดก็เดินมาพร้อมกับโบกคีย์การ์ดไปมา “ไปเถอะ หมอนั่นอยู่ชั้นสามนี่เอง”
โรงแรมแห่งนี้ยิ่งชั้นสูงมากเท่าไรราคาก็ยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น ชั้นสามนี้ราคาต่อคืนอยู่ที่หนึ่งหมื่นสี่พันเหรียญ แค่ได้ยินราคาก็ทำเอาฉินอวี่อยากพ่นเลือดใส่หน้าคนจริง ๆ
ไอ้พวกคนรวยเอ๊ย!
แน่นอนว่าต่อให้รู้ว่าพวกฉีเฟิงพักห้องไหนหรือว่าชั้นอะไร แต่พวกเขาไม่ได้เข้าไปจัดการอีกฝ่ายตรง ๆ ทว่ากลับเปิดห้องที่ติดกันแทน
ฉินอวี่มองบลัดด้วยสายตาระแวง ขาแข็งยืนอยู่นอกห้องไม่ยอมตามเข้าไปด้านใน
บลัดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “ยืนบื้ออะไร”
ทว่ายังทันที่ฉินอวี่จะได้อ้าปาก ประตูห้องด้านข้างพลันเปิดออกมากะทันหัน ชายหนุ่มผมทองเบิกตากว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ทันใดนั้นแขนก็ถูกมือแกร่งกระชากให้เข้ามาด้านในพร้อมกัน
“ฉิบ” ฉินอวี่ลูบจมูกที่กระแทกไหล่อีกฝ่ายพลางสบถออกมา
วันนี้มันวันอะไรกัน จมูกเขาโดนทำร้ายไปสองรอบแล้วนะ นี่ถ้าเสริมดั้งมาซิลิโคนคงได้ออกมาสูดอากาศไปแล้ว
“โง่หรือไง”
เสียงนี้ดังอยู่เหนือศีรษะของฉินอวี่พอดี ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น จากมุมนี้จึงทำให้เขาเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกชัดเจน
“...” ทำไมรู้สึกคุ้น ๆ วะ
“มองพอแล้วก็ถอยออกไปด้วย” บลัดพูดเสียงขรึม “นายทำให้ฉันหิว”
“นาย คุณ” ปลายนิ้วเรียวสวยชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างกับคนเห็นผี
เชี่ย! นี่มันอันดับหนึ่งท่านนั้นไม่ใช่หรือไงกัน
บลัดถอดหมวกออกพลางยิ้มทรงเสน่ห์ “สวัสดีอีกครั้ง อาอวี่”
ทว่าฉินอวี่ที่อึ้งอยู่นั้นกลับพูดไม่ออกไปนานแล้ว บลัดพอใจกับท่าทางนี้ของอีกฝ่ายจึงหัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “ตกใจเว่อร์เกินไปล่ะ”
เสียงหัวเราะสั่นประสาททำเอาชายหนุ่มผมทองสติกลับเข้าร่าง ริมฝีปากปากเบ้ลงอย่างขัดใจ “ทำไมต้องหลอกผมด้วย”
“หลอกอะไร นายไม่ถาม ฉันก็แค่ไม่ได้บอก”
ก็จริงอีก...
ฉินอวี่ฟึดฟัด ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะดวงสมพงษ์กับแวมไพร์อันดับหนึ่งขนาดนี้ เล่นเว็บใต้ดินวันแรกโน้ตบุ๊คก็ดันค้างจนไปโดเนทให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ พอจะจ้างคนมาช่วยจัดการฉีเฟิงก็ดันจิ้มได้แวมไพร์อีก
นี่ท่านเลวี่เขาว่างมากจนต้องมารับจ๊อบเสริมเลยหรือไงกัน
ฉินอวี่หน้าง้ำ “แต่คุณรู้อยู่อยู่แล้วตั้งแต่แรก เห็นผมไม่รู้เรื่องมันคงตลกมากสินะ”
“ก็ตลกดี” เลวี่หัวเราะชอบใจ “จะเลิกจ้างตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ พอดีฉันไม่มีนโยบายคืนเงินด้วยสิ”
“...”
หลังจากนั้นทั้งคู่ต่างก็เงียบไป พอดีกับที่เสียงจากห้องด้านข้างหายไปเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่ฉีเฟิงออกมาจากห้องเป็นเพราะสั่งรูมเซอร์วิสเอาไว้นั่นเอง
ฉินอวี่ที่ไม่มีอะไรทำจึงนั่งสำรวจอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย “คุณไม่เหมือนในไลฟ์เลย”
“แล้วฉันเป็นยังไง” เลวี่เองก็นั่งไขว่ห้างมองเงือกหนุ่มน้อยอยู่เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้าอย่างไม่มีใครยอมใคร
“ก็คุณในไลฟ์ดูขรึม ๆ สูงส่ง เอื้อมไม่ถึง แต่ตอนนี้ดูขี้เล่นเข้าถึงง่ายมากกว่า” พูดไปก็ขมวดคิ้วไป เขาไม่รู้จะอธิบายนิสัยของคนตรงหน้ายังไงดี
“แล้วนายชอบแบบไหน”
ฉินอวี่ตอบทันควัน “ไม่ชอบสักแบบ”
“ใจร้ายมาก” เลวี่ไม่โกรธซ้ำยังหัวเราะเสียงดัง “นี่ฉันยังไม่ได้จัดการที่นายเบี้ยวนัดวันนี้เลยนะ ทำไมถึงปฏิเสธล่ะ”
ฉินอวี่พูดตามความจริงอย่างไม่ไว้หน้า “อ้อ ผมก็แค่ไม่อยากกลายเป็นอาหารให้ใครบางกินก็เท่านั้น อีกอย่างเรื่องโดเนทผมก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนั้นคอมฯ ดันค้างซะก่อน”
“แบบนี้ก็แสดงว่านายไม่ได้ชอบฉันน่ะสิ” เลวี่ส่ายหน้าทำน้ำเสียงผิดหวังที่ดูไม่จริงใจสุด ๆ
“แล้วทำไมผมต้องชอบคุณด้วยไม่ทราบ!”
“ก็ฉันหล่อ”
“...” ฉินอวี่กลอกตามองบน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณจะเริ่มงานตอนไหน”
แวมไพร์ผมเทาที่ตอนนี้ผมสั้นประบ่าทำสีหน้าครุ่นคิด “คืนนี้แล้วกัน”
“ทำไมต้องกลางคืน”
“ก็วันนี้ดันมีคนเทนัดฉันน่ะสิ ฉันก็เลยมีเวลาทั้งคืนเลยยังไงล่ะ” เลวี่ยักไหล่ “ไว้ค่อยแอบไปจัดการไอ้หมอนั่นตอนดึก ๆ ก็ได้”
“คุณว่างแต่ผมไม่ได้ว่างด้วยนะ”
ช่วงค่ำเขายังต้องไลฟ์ไหนจะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าอีก ไม่มีเวลามาอยู่รอทั้งคืนหรอก
“นั่นสินะ นายต้องไลฟ์ช่วงหัวค่ำนี่นา” เลวี่ทำน้ำเสียงเสียดาย
“แล้วคุณไม่ไลฟ์หรือไง เห็นว่าช่วงนี้คุณไลฟ์โต้รุ่งไม่ใช่เหรอ”
เพราะตอนนี้พี่หลี่จิ้งแทบจะกลายสภาพเป็นวิญญาณอยู่แล้ว
“ปกติฉันไลฟ์ไม่ค่อยเป็นเวลาอยู่แล้ว เช้าบ้าง ดึกบ้าง แล้วแต่อารมณ์ ไม่ไลฟ์สักวันก็ไม่เสียหาย” เลวี่พูดจบก็หรี่ตายิ้ม ๆ “แอบมาดูไลฟ์ฉันก็ไม่เห็นทักทายกันบ้างเลยนะ”
“ไม่ได้ดูสักหน่อย”
ในเมื่อเลวี่บอกว่าจะจัดการตอนดึก ฉินอวี่จึงไม่อยากอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาอีกต่อไป “ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า”
“แล้วแต่นายเถอะ” เลวี่ไม่คิดจะรั้ง ดวงตาที่เคยเป็นสีน้ำตาลเริ่มแดงเข้มขึ้น “มีเรื่องหนึ่งที่ฉันควรเตือนนายสักหน่อย”
“...?”
“ฉันไม่รู้ว่านายโง่หรือบื้อกันแน่ แต่ควรรู้เอาไว้ด้วยว่าเงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่ค่อนข้างหายาก ในประเทศนี้หากให้นับจริง ๆ แล้วก็มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ การที่นายเที่ยวไปเปิดให้คนนู้นคนนี้รู้ว่าตัวเองเป็นเงือกมันไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับตัวนายเลยนะ”
ฉินอวี่เบิกตากว้างพลางยืนฟังอีกฝ่ายเงียบ ๆ
“อย่างเช่นถ้าวันนี้คนที่นายจ้างไม่ใช่ฉัน แต่เป็นพวกนักล่าค่าหัวหรือพวกนายหน้าค้าอมนุษย์ รับรองได้เลยว่าหน้าตาแบบนายได้ถูกจับไปขายซ่องแน่นอน”
“ไม่สิ ซ่องอาจจะดูดีด้วยซ้ำ เพราะมันยังมีพวกโรคจิตที่ทะเยอทะยานอยากเป็นอมตะอยู่อีกเยอะเหมือนกันนะ”
“คุณหมายถึง...” ฉินอวี่ปากสั่น มองอีกฝ่ายตาโต
“หากได้กินเนื้อของเงือกจะทำให้เป็นอมตะ นายก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดีนะ”
เงือกมือใหม่ถอยกรูดไปจนแทบจะติดประตูห้อง นัยน์ตาสีน้ำเงินมองแวมไพร์อย่างหวาดระแวง
ไอ้หมอนี่มันรู้ได้ไง เรื่องนี้แม้แต่ในเน็ตยังไม่มีเลยนะ!
แวมไพร์ผมเทามองท่าทางนั้นแล้วก็หัวเราะลั่น “ทำท่าอะไรของนาย ถ้าจะจับนายฉันไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาพูดเรื่องแบบนี้หรอกนะ”
“ที่จะบอกก็คือ ตอนนี้นายตัวคนเดียวไม่มีใครหนุนหลัง นายควรระวังตัวให้มากกว่านี้ ถ้ายังอยากมีชีวิตสงบสุขก็อย่าเที่ยวเอาหน้าจริงไปบอกใครก็ใครว่าตัวเองเป็นเงือก”
“คุณรู้เรื่องเนื้อเงือกได้ไง” ฉินอวี่ถามอย่างระแวง
“ฉันเป็นแวมไพร์อยู่มาแล้วเป็นร้อยปีเชียวนะ” เลวี่แสยะยิ้มพลางพูดอย่างลำพอง “อีกอย่างทั้งความเป็นอมตะหรือเงินฉันก็มีหมดแล้วทุกอย่าง สำหรับฉันนายก็เป็นแค่ปลาน้อยน่ารักตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ เลิกทำท่าระแวงได้แล้ว”
ฉินอวี่หรี่ตา ทำปากมุบมิบ “ไม่ขาดเงินแต่ไลฟ์แทบทุกวันแถมยังคิดเงินค่าจ้างมหาโหดเนี่ยนะ”
แน่นอนว่าแวมไพร์หูดี ย่อมได้ยินทุกคำที่ฉินอวี่พูดอยู่แล้ว “ฉันก็แค่เบื่อเลยหาอะไรทำแก้เซ็ง อีกอย่างเลือดฉันก็มีค่ามากนะ ถึงจะเทียบไม่ได้กับไข่มุกหรือเนื้อของเงือกก็เถอะ”
แม้จะยังคงระแวงแวมไพร์ตรงหน้า ทว่าเมื่อคิดตามที่อีกฝ่ายพูดฉินอวี่ก็เห็นด้วยจริง ๆ เขาคิดตื้นเกินไปที่เอาตัวตนจริงมาติดต่อคนอื่นแบบนี้
“ขอบคุณที่เตือนครับ” พูดจบก็เตรียมที่จะออกจากห้อง ทว่าหมวกใบหนึ่งกลับลอยมากระแทกเข้ากลางหน้าผากเต็ม ๆ
“เอาไปใส่ซะ”
“ขอบคุณ” ฉินอวี่ไม่ปฏิเสธความหวังดี สวมหมวกเสร็จก็ออกจากห้องไปทันที