‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
ในส่วนของเรื่องอาหาร แน่นอนว่าฉินอวี่เคยถามเลวี่มาแล้ว ปกติแวมไพร์ดำรงชีพด้วยการดื่มเลือด นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้โดยทั่วกัน ทว่าแวมไพร์เทียมที่เปลี่ยนมาจากมนุษย์นั้นสามารถกินอาหารที่ทำจากเลือดได้เช่นกัน ขอเพียงแค่อาหารนั้นมีส่วนประกอบของเลือด ต่อให้จะสุกแล้วพวกเขาก็สามารถใช้มันทดแทนการดื่มเลือดได้
เพียงแต่วิธีนี้จะใช้ได้แค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
หลังจากเลือดของแวมไพร์หลอมรวมเข้ากับร่างมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นแวมไพร์เทียมก็จะไม่สามารถกินอาหารปกติได้อีกต่อไป ซึ่งกระบวนการหลวมรวมนั้นจะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยปกติแล้วจะอยู่ที่หนึ่งสัปดาห์จนถึงหนึ่งเดือน
ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ เขาภาวนาแค่ขอให้ฉีเฟิงไม่กลายสภาพสมบูรณ์ก่อนไปประเทศลีเจียก็พอ เพราะหากกลายสภาพก่อน แน่นอนว่าคนแบบฉีเฟิงย่อมไม่ไปประเทศนั้นเพื่อหาเรื่องตายอยู่แล้ว และก็ขอให้อีกฝ่ายไม่กลายสภาพช้าจนกลับมาประเทศเฉินด้วย
ทางที่ดีคือต้องกลายสภาพตอนอยู่ที่นั่น ให้เหมือนกับตอนที่ร่างเดิมเคยประสบ
เมนูที่ฉินอวี่เลือกคือต้มเครื่องใน โดยเน้นปริมาณเลือดหมูค่อนข้างเยอะกว่าปกติ แน่นอนว่าพนักงานออฟฟิศผู้กินแต่อาหารกล่องแบบเขาย่อมทำอาหารไม่เป็น แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับโลกที่ยุคอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูแบบนี้น่ะนะ
เงือกมือใหม่ทำอาหารตามขั้นตอนในเน็ตอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ลืมเปิดไลฟ์ไปด้วย
ใช่! ไลฟ์นั่นแหละ ตอนนี้ช่องเขามันแทบจะกลายเป็นช่องจับฉ่ายไปแล้ว แต่ใครสนกันล่ะ
[แค่หายใจก็อ้วน : วันนี้อาอวี่มาแนวไหนเนี่ย ไลฟ์ทำอาหารตอนค่ำแบบนี้จะฆ่าพวกเราหรือไง]
[พนักงานทาส : น่ากินจังเลย ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าในหม้อมีแต่เลือด]
[คนผ่านทาง : พี่ชายทำเมนูอะไรคะ]
ฉินอวี่อ่านคอมเมนต์ มือใส่เครื่องปรุง ปากก็พูดไปด้วย “เมนูเครื่องในตุ๋นครับ พอดีอยากกินขึ้นมาน่ะ มันต้องตุ๋นหลายชั่วโมงผมก็เลยเอามาทำพร้อมไลฟ์ไปด้วยเลย ไม่โกรธกันนะ”
[นอนเช้า : ใครจะโกรธลงกัน เปลี่ยนมาเป็นไลฟ์ทำอาหารพวกเราก็ไม่ขัด นายทำดูน่ากินมาก!]
[ชอบกินชาเขียว : อาหารก็บ้าน ๆ แต่พอเห็นมือที่เคลือบไปด้วยเกล็ดคู่นี้ทำอาหารแล้วรู้สึกว่ามันดูมีคลาสเฉยเลย!]
[ชอบกินปลา : ก็เพลินไปอีกแบบนะ แต่อยากดูดวงมากกว่า]
ฉินอวี่อมยิ้ม “ผมทำแค่นี้แหละ เดี๋ยวกลับมาดูดวงให้ทุกคนต่อแน่นอน”
ฉินอวี่คุยเล่นกับคนดูไปเรื่อย ๆ และในตอนที่กำลังปิดฝาหม้อหลังจากทำขั้นตอนสุดท้ายเสร็จ พลันมีข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา
[เอล : อยากกิน]
(เอล : พลุ x2)
ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยังโดเนทพลุหลากสีมูลค่าหนึ่งหมื่นอีกสองลูกใหญ่ กินเวลาหน้าจอไปถึงยี่สิบวิ เรียกคอมเมนต์โอดครวญจากคนดูไม่หยุด
[อย่าให้รวยบ้างแล้วกัน : โอ๊ยพ่อคุณ ลูกเดียวก็กลั้นหายใจรอจนเหนื่อย นี่เล่นสองลูกเลยเหรอ]
[ชอบกินหัวไชเท้า : รวยเกิ๊น ฉันเพิ่งมาใหม่ อยากทราบว่าคุณเขาเป็นใคร]
[พนักงานทาส : ฉันจะบอกให้ คุณคนนี้เขาเป็นท่านประธานที่โดนเสน่ห์เงือกน้อยตกยังไงล่ะ เธอมาทีหลังคงไม่รู้ว่าคุณเขาโดเนทแบบนี้ทุกวันนั่นแหละ]
[มองคนหล่อ : เดี๋ยวนะ มีแค่ฉันเหรอที่คิดว่ามันผิดปกติ ปกติคุณเอลไม่เมนต์นะ ขนาดอาอวี่ชวนคุยเขายังไม่ตอบเลย แต่เพราะแค่อยากกินอาหารถึงกับยอมเมนต์เลยเหรอ]
แน่นอนว่าฉินอวี่ก็คิดเหมือนกับเมนต์นี้ ก่อนหน้านี้นอกจากเมนต์สั้น ๆ เพื่อซื้อสร้อยกับยืนยันเรื่องสร้อยให้เขา คุณเอลก็ไม่เคยคอมเมนต์ในไลฟ์อีกเลย
ริมฝีปากบางอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่ตอบอะไรกลับไป ทว่ามือกลับสลับหน้าจอไปที่ช่องแชตส่วนตัวแล้วพิมพ์อย่างรวดเร็ว “พรุ่งนี้ผมส่งให้นะครับ ถ้าไม่อร่อยอย่าว่ากันนะ”
ข้อความตอบกลับมาแทบจะทันที
[เอล : ไม่ว่า]
ฉินอวี่มองข้อความนี้ด้วยหัวใจพองโต
หลังทำอาหารเสร็จ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องกลับมารับดูดวงต่อ มือเรียวสวยฉาบทับไปด้วยเกล็ดสีฟ้าอ่อนบางเบาสับไพ่อย่างคล่องแคล่ว เริ่มทำนายให้ลูกค้าไปเรื่อย ๆ
**
ช่วงเช้าหลังจากเรียกรถมารับกล่องอาหารไปส่งให้ใครบางคนเรียบร้อย ฉินอวี่ก็หิ้วกล่องข้าวใบใหญ่ไปที่ทำงาน
กระทั่งพักเที่ยง หลี่จิ้งที่ตั้งใจจะชวนรุ่นน้องไปทานอาหารเที่ยงกลับพบว่าบนโต๊ะของอีกฝ่ายมีกับข้าววางอยู่แล้ว
“นี่เมนูที่นายทำเมื่อคืนเหรอ” เธอกระซิบถามเสียงเบา
ดวงตาจ้องมองอาหารตรงหน้าเขม็ง ทั้งสีและกลิ่นของต้มเครื่องในมันช่างหอมฉุยชวนให้น้ำลายสอ เมล็ดข้าวเรียงตัวสวยไม่แฉะและไม่แข็งจนเกินไป
อยากกิน!
รุ่นพี่สาวมองจนน้ำลายแทบจะหยดลงมาอยู่แล้ว
“กินไหมครับ” ฉินอวี่ถามอย่างใจกว้าง “แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากหรือเปล่านะครับ พอดีเพิ่งทำครั้งแรก”
“กินสิ กินแน่นอน!” หลี่จิ้งรีบตอบรับ ไม่มีการวางท่าอะไรทั้งนั้น “แค่มองก็รู้แล้วว่าอร่อย”
ฉินอวี่ขำ “พี่ก็พูดเกินไป”
โชคดีที่เขาคิดเผื่อมาแล้วว่าหากนำมาให้ฉีเฟิงคนเดียวอาจจะดูประหลาดไปหน่อย เขาจึงต้มเครื่องในเสียหม้อใหญ่และหิ้วมาด้วยในปริมาณสี่ที่
สองที่คือของฉินอวี่กับหลี่จิ้ง ส่วนอีกสองก็ยกให้กับหัวหน้าผู้แสนดียังไงล่ะ
ฉินอวี่ไม่ใช่คนดีถึงขนาดที่จะมานั่งทำอาหารให้คนที่คิดร้ายกับตนเอง แต่ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้ไอ้หมอนี่ตายไปก่อนก็เท่านั้น
เหลือเวลาอีกแค่สองอาทิตย์ก็จะต้องไปคุยงานที่ประเทศลีเจียแล้ว เขาไม่อยากให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นก่อนเวลา
จู่ ๆ ฉีเฟิงก็ได้กลิ่นหอมของอาหารมาจากทางเด็กใหม่ที่ตัวเองไม่ชอบหน้า แม้จะไม่อยากสนใจ ทว่ามันมีกลิ่นบางอย่างที่พิเศษออกไปจนทำให้ชายหนุ่มต้องลุกขึ้นมายืนมอง
ทั้งที่เป็นแค่เมนูบ้าน ๆ ราคาถูก ไม่เคยอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แต่ฉีเฟิงกลับรู้สึกอยากกินจนทนแทบไม่ไหว
คงเพราะเราไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแน่ ๆ
สามสี่วันมานี้ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แม้จมูกจะได้รับกลิ่นหอมของอาหารที่ชอบกินเป็นประจำ แต่พอตักใส่ปาก รสชาติที่ลิ้นสัมผัสได้กลับคล้ายกลืนขยะอย่างไรอย่างนั้น
ฉีเฟิงรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถขาดอาหารได้ เขาหิวจนไส้แทบขาด พยายามฝืนยัดเข้าไปหลายต่อหลายครา แต่สุดท้ายก็อาเจียนออกมาจนหมด แม้แต่หมอก็ตรวจไม่พบสาเหตุของอาการที่เป็น
ฉินอวี่ที่แอบชำเลืองมองหัวหน้าอยู่นานแล้วจึงแอบยิ้มออกมา แสร้งทำเป็นหันไปเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ น้ำเสียงใสเอ่ยถามอย่างมีมารยาท “หัวหน้าจะกินด้วยกันมั้ยครับ”
ฉีเฟิงทำหน้าดูถูก “ไม่ล่ะ”
“แย่จัง ผมอุตส่าห์ทำมาเผื่อหัวหน้าด้วยแท้ ๆ แบบนี้ต้องเอาไปให้คนอื่นสิเนี่ย” ฉินอวี่ถอนหายใจ
หลี่จิ้งส่งสายตาค้านประมาณว่า ‘นายทำมาเผื่อเขาจริงดิ’
เธอเอ่ยแทรก “ถ้าเขาไม่กินเดี๋ยวพี่กินเองก็ได้”
นับตั้งแต่วันนั้น หลี่จิ้งก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบหัวหน้า ซึ่งแน่นอนว่าฉีเฟิงย่อมรับรู้ได้ แต่เขาไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
ทว่าช่วงนี้ ฉีเฟิงกลับรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกขัดหูขัดตาไปหมดเสียทุกอย่าง “ในเมื่อนายพูดแบบนั้น ฉันจะฝืนกินให้ก็ได้”
หัวหน้ามีสีหน้าไม่ยินยอม ทว่าก็ยื่นมือมากระชากกล่องอาหารแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีน้ำเงินมองตามแผ่นหลังผอมแห้งของอีกฝ่าย ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย เอาเข้าจริงฉินอวี่ก็แอบสงสารฉีเฟิงอยู่บ้างเหมือนกัน คงเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนที่โดนอีกฝ่ายทำร้ายโดยตรงละมั้ง
แต่หากไม่ทำแบบนี้ คนที่จะต้องตายก็คือตัวเขาเองนี่แหละ
ช่วยไม่ได้ ใคร ๆ ก็รักชีวิตตัวเองกันทั้งนั้น
แน่นอนว่าคนแบบเขาถ้าไม่อยากทำก็จะไม่ทำ เขาไม่มีทางมานั่งทำอาหารให้ฉีเฟิงทุกวันแน่ ๆ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าหลังจากที่กินอาหารมื้อนี้เข้าไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่โง่จนคิดอะไรไม่ได้ล่ะนะ
ซึ่งฉีเฟิงก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง หลังจากวันนั้นอีกฝ่ายมักจะหอบหิ้วกล่องข้าวมาที่บริษัทด้วยทุกวัน เมนูที่เอามาส่วนใหญ่จะเป็นเมนูที่มีเลือดเป็นส่วนประกอบ ถึงแม้ผิวของเขาจะยังซีดไร้สีเลือดอยู่ แต่สีหน้ารวมทั้งรูปร่างเองก็กลับมาดูดีขึ้นมาก
แต่อะไรที่มันเกินพอดีมักจะตกเป็นเป้าสนใจได้ง่าย ตอนนี้คนทั้งออฟฟิศมีใครไม่รู้บ้างว่าฉีเฟิงชอบกินอาหารที่มีเลือด
ชายหนุ่มรุ่นน้องเดินเข้าไปหาหัวหน้าพร้อมรอยยิ้ม “วันนี้ก็กินเมนูเลือดหมูอีกแล้ว หัวหน้าชอบเหรอครับ”
ฉีเฟิงตอบเสียงเรียบ “อืม ช่วงนี้ต้องบำรุงร่างกาย”
รุ่นน้องพยักหน้า “อ้อ ใช่ ๆ ก่อนหน้านี้หัวหน้าป่วยนี่เนอะ”
“พูดจบยัง” ฉีเฟิงถอนหายใจเสียงดัง แสดงออกถึงความเบื่อหน่อยสุดขีด พักหลังมานี้ไม่ว่าใครก็ขัดหูขัดตาเขาไปหมด คนพวกนี้วัน ๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่สอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านอยู่ได้
คอยดูนะ ถ้าได้เลื่อนตำแหน่งเมื่อไหร่ พ่อจะไล่ออกเรียงตัวเลย
เมื่อโดนหัวหน้าแสดงท่าทางไม่ดีใส่ ชายหนุ่มพลันยิ้มแห้ง “ผมไม่กวนแล้วดีกว่า”
คล้อยหลังพนักงานหนุ่มผู้โชคร้าย หญิงสาวสี่ห้าคนที่จับกลุ่มรวมกันอยู่ไม่ไกลและได้เห็นฉากนี้ก็กระซิบกันเสียงเบา
“เดี๋ยวนี้หัวหน้าดูอารมณ์ร้ายจังเลย”
“ใช่ เอาแต่กินอาหารที่มีแต่เลือดทุกวัน นี่มันแปลกมากเลยนะ”
“ฉันก็มีอาหารที่ชอบจนกินได้ทุกวันเหมือนกัน แต่นี่เขากินมาเป็นอาทิตย์แล้วอะ”
“ตอนเย็นฉันเจอหัวหน้าเดินเข้าซูเปอร์ทุกวันเลย ให้ทายว่าเขาซื้ออะไร” หญิงสาวคนหนึ่งทำน้ำเสียงลึกลับ จากนั้นก็เฉลย “ปิ๊งป่อง เลือดจ้า เลือดสดเป็นถุง ๆ ทั้งหมู วัว ไก่ เป็ด เรียกได้ว่าแทบทุกสายพันธุ์เลยล่ะ”
“อึ๋ย ขนลุก”
“จะว่าไปแล้ว พักหลังมานี้พวกเธอว่าหัวหน้าดูแปลก ๆ ไปไหม ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารนะ แต่พวกรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูเปลี่ยนไปมากด้วย”
“ฉันก็ว่าแปลกนะ ทั้งที่กินอาหารบำรุงขนาดนั้น แต่ผิวดันซีดเหมือนคนไม่มีเลือด ดูแล้วเหมือนคนใกล้ตาย ไม่ก็พวกผีดิบอะไรทำนองนั้น”
“ชู่ว เลิกเดามั่วซั่วเถอะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก”
“ว่าแต่คุณจางลี่รู้เรื่องนี้หรือยัง”
“จะไปรู้ได้ยังไงกัน ต่อหน้าคุณหนูจางลี่หัวหน้าแทบจะเป็นคนละคน”
ฉินอวี่นั่งฟังวงนินทาเงียบ ๆ จะว่าไปแล้วก็แปลก ทั้งที่ฉีเฟิงดูจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ แต่พออยู่ต่อหน้าจางลี่เขากลับเก็บงำนิสัยตัวเองเสียเงียบกริบ
ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมรับเสียอย่าง ร้อยปากพูดก็ไม่มีใครเชื่อ
และถึงจะมีคนไปฟ้องเจ้านาย แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่ได้ส่งผลกระทบต่องานในบริษัทจางลี่และท่านประธานก็ไม่ได้สนใจมากนัก
เหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะต้องไปประเทศลีเจียแล้ว ฉินอวี่จิตใจว้าวุ่นจนแทบนอนไม่หลับ ตอนทำงานเขาไม่มีสมาธิ แม้แต่ตอนไลฟ์ก็ยังเผลอใจลอยอยู่บ่อยครั้ง
สถานการณ์ตอนนี้มันราบรื่นเกินไป
ทั้งที่บอกว่าเป็นภารกิจเอาตัวรอดและเอาคืนฉีเฟิง แต่เขากลับรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
เงือกมือใหม่กดปิดไลฟ์ด้วยความเหม่อลอย พักหลังมานี้แม้แต่จะเข้าไปเช็กยอดเงินเขาก็ลืมทำไปแล้ว
แชตส่วนส่วนตัวเด้งขึ้นมา
[เอล : เป็นอะไรไป ช่วงนี้นายดูไม่ค่อยสดใสเลย]
ฉินอวี่ชะงัก คุณเอลสังเกตถึงขั้นไหนกันแน่เนี่ย ขนาดไลฟ์เห็นแค่มือก็ยังรับรู้อารมณ์ของเขาได้
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ”
[เอล : อย่าคิดเยอะเกินไปจนเสียสุขภาพล่ะ]
“...”
[เอล : เสียดายที่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ประเทศเฉิน รอเสร็จธุระกลับไปแล้วฉันจะพาไปเลี้ยงข้าวนะ]
ธุระที่ว่าคงจะเสร็จช่วงปีใหม่อย่างที่เคยบอกก่อนหน้านี้สินะ...
แม้จะไม่เห็นสีหน้า แต่ตัวอักษรในแชตกลับแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด ฉินอวี่ยิ้มบาง “ได้ครับ ผมจะรอนะ”
เขาเองก็อยากเจอพ่อบุญทุ่มคนนี้เหมือนกัน
สัปดาห์ต่อมา ในที่สุดก็ถึงเวลาชี้วัดความเป็นความตาย ฉินอวี่มองเจ้านายทั้งสองด้วยความหนักใจ
อีกแค่นิดเดียว