‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
สัปดาห์ต่อมา ในที่สุดก็ถึงเวลาชี้วัดความเป็นความตาย ฉินอวี่มองเจ้านายทั้งสองด้วยความหนักใจ
อีกแค่นิดเดียว ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของภารกิจแล้ว...
จางลี่มองสีหน้าของพนักงานใหม่พลางกล่าวออกมาอย่างใจดี “ถ้านายไม่อยากไปพี่ก็ไม่บังคับนะ”
“ผม-”
ทว่าฉินอวี่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฉีเฟิงกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“นี่เป็นผลดีกับนายนะฉินอวี่ คิดดูสิ ในบริษัทมีตั้งกี่คน แต่คนที่ได้โอกาสนี้มีแค่นายคนเดียว ถ้าอยากก้าวหน้ามากกว่านี้ก็ควรจะไปเรียนรู้งานนะ”
ฉินอวี่มองหัวหน้าพลางค่อนขอดในใจ
แน่ใจเหรอว่าคุณอยากให้ผมก้าวหน้า อีกอย่างโอกาสหายากแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าคุณหรือไงที่ยื่นให้เพราะมีแผนร้ายน่ะ
ถ้าไม่มีเรื่องภารกิจมาเกี่ยวข้อง มีหรือที่เขาจะไป
จางลี่เองก็ไม่เต็มใจ เดิมทีเธอคิดจะส่งฉีเฟิงไปคนเดียว ระยะหลังมานี้หัวหน้าคนนี้ทำให้เธออึดอัดมากจริง ๆ ทุกครั้งที่เธออยากไปส่งฉินอวี่หรือแม้แต่จะเข้าไปคุย อีกฝ่ายก็จะหาข้ออ้างตามไปด้วยทุกครั้ง สายตาที่มองมาก็ทำให้เธอรู้สึกขนลุกขนพองสุด ๆ
ถึงการไปดูงานจะไปแค่หนึ่งอาทิตย์ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอสบายใจที่ไม่ต้องเห็นหน้าเขา ใครจะไปคิดว่าฉีเฟิงกลับชี้ตัวว่าจะพาฉินอวี่ไปด้วยเสียอย่างนั้น
จางลี่อยากค้านใจจะขาด แต่พอนึกถึงเรื่องที่ฉีเฟิงบอก เธอก็พูดไม่ออก
การไปดูงานต่างประเทศมันส่งผลดีกับหน้าที่การงานของฉินอวี่จริง ๆ นั่นแหละ
“ให้เจ้าตัวตัดสินใจเถอะ” จางลี่ถอนหายใจ
เงือกมือใหม่ที่ไม่รู้ตัวว่าทำให้คนอื่นกลุ้มใจ หันมองเจ้านายสลับไปมา ทำท่าคิดไม่ตก หลังจากผ่านไปสองนาทีก็ตอบออกมา “ผมไปครับ”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นคนฉลาด” ฉีเฟิงยิ้มแย้ม เอื้อมแขนมาโอบบ่าพนักงานใหม่อย่างเป็นกันเอง
มือหนาขึ้นข้อกระดูกบีบแขนเพรียวบางของฉินอวี่อย่างแรงจนเขาคิ้วกระตุก
ถึงแม้ฉีเฟิงจะผอมแห้งกว่าแต่ก่อน ทว่าด้วยในร่างกายมีเลือดของแวมไพร์อยู่ พละกำลังจึงค่อนข้างมากกว่าปกติ ฉินอวี่เดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้หัวหน้าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่
เขาแกะมืออีกฝ่ายออกก่อนจะรีบชิ่งทันที “งั้นผมออกไปทำงานต่อนะครับ”
ครั้งนี้ฉินอวี่ไม่ได้เดินตามเส้นทางเดิมจากในความทรงจำมากนัก อีกทั้งเขาก็ไม่ค่อยได้สุงสิงกับจางลี่เท่าร่างเดิม โชคดีจริง ๆ ที่ทุกอย่างมันยังคงดำเนินไปในทิศทางเดียวกันกับครั้งก่อน
เงือกมือใหม่กลับบ้านมาไลฟ์ดูดวงตามปกติ และวันนี้เขาตั้งใจที่จะบอกข่าวนี้กับคนดูด้วยเช่นกัน
“พอดีว่าช่วงสัปดาห์หน้าผมต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศกับบริษัท เลยจะงดไลฟ์เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์นะครับ”
[พนักงานทาส : ไม่จริง!! อาอวี่อยู่แบบนี้แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง]
[มองคนหล่อ : เคยชินกับการได้ดูไลฟ์คุณทุกวัน ถ้าไม่ได้ดูฉันต้องเฉาตายแน่ ๆ]
[เหมียว : ไปประเทศอะไรคะ]
“เรื่องนี้บอกไม่ได้จริง ๆ ครับ”
เขาเป็นเงือก อีกทั้งยังต้องไปประเทศที่แอนตี้อมนุษย์ และก็ไม่รู้ว่าในช่องของเขามีใครมาดูบ้าง ขืนบอกไปอาจจะเป็นการชักศึกเข้าตัวเองเสียเปล่า ๆ
คนดูพากันโอดครวญร่ำร้องจะขาดใจ
[รักอาอวี่ : ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ เสร็จงานแล้วรีบมาไลฟ์ด้วยนะ ฉันคิดถึง!]
“ได้สิครับ ผมก็คงคิดถึงพวกคุณแน่ ๆ”
[ชอบกินเนื้อ : เรียกร้องของฝากจากอาอวี่!!]
[…+1]
[…+100]
ฉินอวี่ขำคิกคัก รับปากทีเล่นทีจริง รู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีจริง ๆ ที่เลือกมาไลฟ์ เพราะมันทำให้เขาได้เจอกับคนดูที่น่ารักมากขนาดนี้
“อยากได้ของฝากงั้นก็ต้องโดเนทแล้วล่ะ ผมยิ่งจน ๆ อยู่ด้วย”
สิ้นคำ หน้าจอพลันมีโดเนทของคนดูขึ้นมาไม่หยุด ทว่าก็ยังไม่วายมีคนแซว
[ชอบกินเนื้อ : ถ้าอาอวี่ที่ได้โดเนทวันล่ะหมื่นจน งั้นพวกเราไม่เป็นคนยากไร้เลยเหรอเนี่ย]
เงือกมือใหม่ขำลั่น น้ำเสียงไพเราะใสกังวาน แม้เสียงที่ถูกส่งผ่านอินเทอร์เน็ตจะเพี้ยนไปบ้าง แต่มันก็ยังเพราะมากอยู่ดี
เสียดายก็แต่เงือกตนนี้ดันร้องเพลงไม่เป็น ไม่อย่างงั้นมั่นใจได้เลยว่าเพลงของอาอวี่จะต้องติดท็อปชาร์ตเพลงยอดฮิตแน่นอน!
ฉินอวี่คุยเล่นสลับกับดูดวงให้คนดูไปด้วยจนกระทั่งถึงเวลาปิดไลฟ์ ช่องแชตส่วนตัวก็แจ้งว่ามีคนส่งข้อความมา
[เอล : สรุปแล้วนายไปประเทศไหน บอกไม่ได้เหรอ]
ทั้งที่เพิ่งคิดไปว่าการบอกเรื่องนี้กับคนอื่นมันอันตราย แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นคุณเอลเขากลับรู้สึกเชื่อใจอีกฝ่าย “ลีเจียครับ”
[เอล :...]
อีกฝั่งเงียบหายไปพักหนึ่งจนฉินอวี่แปลกใจ “คุณเอล?”
[เอล : รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นประเทศแบบไหน]
“รู้ครับ”
[เอล : แล้วทำไมถึงไป]
ฉินอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังโดนดุอยู่เลย “ผมต้องทำงานนี่นา” ประโยคนี้ออกอาการออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งถอนหายใจอย่างอ่อนใจ
[เอล : เอาเถอะ เดินทางปลอดภัย ไว้เจอกัน]
“ไว้เจอกันนะครับ” ฉินอวี่ยิ้มกว้าง
ณ สนามบินหลัก
ก่อนขึ้นเครื่องมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่มาส่งพวกเขา นั่นก็คือจางลี่กับหลี่จิ้งที่สนิทกับเด็กใหม่
หญิงสาวรุ่นพี่ตรงเข้าไปดึงแขนรุ่นน้อง ใบหน้ายับยุ่ง “จะไม่เป็นไรใช่ไหม”
เรื่องการไปดูงานที่ต่างประเทศ คนทั้งบริษัทรับรู้กันหมด หลี่จิ้งเคยแย้งฉินอวี่แล้ว ทว่าหนุ่มรุ่นน้องกลับเอาแต่ยิ้มแล้วบอกว่านี่เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก เป็นประสบการณ์ติดตัวไปตลอดชีวิต นั่นจึงทำให้เธอพูดอะไรต่อไม่ออก
แต่ไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กังวล
หลี่จิ้งถึงขั้นกินข้าวไม่ลงไปหลายมื้อเลยเมื่อรู้ว่าฉินอวี่จะต้องไปประเทศลีเจีย
ประเทศนี้เป็นประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ แผ่นดินรายล้อมไปด้วยน้ำทะเล การจะไปที่นี่มีแค่เดินทางด้วยเครื่องบินหรือไม่ก็เรือเท่านั้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ประเทศนี้ไม่ใช่ที่ที่อมนุษย์ควรไป!
บนโลกนี้มีทั้งประเทศที่เปิดเสรีไม่มีกฎหมายจับอมนุษย์ และประเทศที่ไม่เปิดเสรี หากอมนุษย์เหยียบย่างเข้าประเทศนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับออกมาอีกตลอดกาล
และลีเจียคือประเทศอย่างที่สอง อมนุษย์ที่ถูกจับได้จะต้องถูกจำคุกตลอดชีวิต!
“ผมจะระวังตัวครับ” ฉินอวี่กุมมือหลี่จิ้งก่อนจะกระซิบเสียงเบาอย่างติดตลก “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นแค่ผมกระโดดลงน้ำก็ได้แล้ว”
หลี่จิ้งมองตาขวาง “ทำเป็นเล่นไป”
ฉินอวี่ไม่ได้รับปากว่าตัวเองจะไม่เป็นไร เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำสำเร็จไหม แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะทำให้เต็มที่
“ใกล้ได้เวลาเครื่องออก พวกนายควรเข้าไปข้างในได้แล้ว” น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจดังมาจากด้านหลัง
คนพูดคือจางลี่นั่นเอง เธอยืนมองฉินอวี่กุมมือหลี่จิ้งด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ ด้านข้างก็มีฉีเฟิงที่ยืนมองจางลี่อยู่อีกที
ช่างเป็นภาพที่น่าปวดหัวเสียจริง
หลี่จิ้งยังคงกังวล “ถึงแล้วติดต่อมาด้วยนะ”
“ได้ครับ”
หลังจากนั้นเรื่องราวทุกอย่างนับได้ว่าค่อนข้างราบรื่นเหมือนในความทรงจำของร่างเดิม ถึงแม้ฉีเฟิงจะไม่พอใจศัตรูหัวใจถึงขั้นวางแผนร้ายเอาไว้ แต่พอเป็นเรื่องงานอีกฝ่ายกลับตั้งใจทำเต็มที่ ถึงจะมีบางครั้งที่แกล้งให้เขาปล่อยไก่ต่อหน้าคู่ค้าสร้างความอับอายไปบ้าง ทว่าทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี ช่วงนี้ฉินอวี่จึงไม่ได้ระวังตัวมากนัก
ระหว่างที่อยู่ในประเทศลีเจีย เขาไม่ไลฟ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ยังคงแชตหาหลี่จิ้งกับคุณเอลแทบทุกวัน
หลี่จิ้งนั้นวัน ๆ เอาแต่ถามว่ากินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ ถูกฉีเฟิงรังแกไหม เป็นห่วงเป็นใยจนแทบจะไม่ใช่พี่สาวแต่เป็นแม่อีกคนไปแล้ว แต่ฉินอวี่ก็ตอบกลับเธอไปด้วยความใจเย็น ไม่มีแม้แต่ความรำคาญเลยสักนิด
เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดี ชาติก่อนเป็นเพราะร่างเดิมเอาแต่มองฉีเฟิง ไม่คิดจะสนใจคนรอบข้าง เวลามีคนชวนคุยก็มักจะเป็นการถามคำตอบคำ สุดท้ายทำงานมาหลายเดือนเด็กหนุ่มก็ไม่มีเพื่อนเลยสักคน
แม้แต่ตอนที่ถูกจับขังคุก ก็ยังต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและตายไปโดยไม่มีใครสนใจเลยสักคน
พอเปลี่ยนมาเป็นฉินอวี่ที่ไม่ได้สนใจฉีเฟิง อีกทั้งยังใส่ใจคนรอบข้าง เขาจึงได้รับมิตรภาพดี ๆ แบบนี้มา
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วร่างเดิมก็ไม่ผิดหรอก เด็กคนนั้นใช้ชีวิตอยู่แต่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาจนอายุสิบแปด เพิ่งจะออกมาใช้ชีวิตข้างนอกได้ไม่กี่ปี พอมีความรักก็เลยปักใจมาก เสียก็แต่ดันไปรักคนผิดนี่แหละ
ฉินอวี่นั่งเหม่ออยู่คนเดียวภายในห้องพักที่ทางบริษัทจัดไว้ให้ โชคดีอีกอย่างก็คือพวกเขาอยู่กันคนละห้อง ต้องขอบคุณความใจป๋าของจางลี่จริง ๆ ทำให้ไม่ต้องไปนอนรวมกับฉีเฟิงที่อาการเริ่มคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นทุกวัน
ตกดึกฉินอวี่มักจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องพักด้านข้างเป็นประจำ ห้องของเขาอยู่ติดลิฟต์ ทำให้ทุกคนที่พักในชั้นนี้ต้องเดินผ่านหน้าห้องเขาก่อน
ฉินอวี่เคยแอบมองผ่านช่องตาแมวตรงประตู เห็นหัวหน้าที่มีใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดเดินลงลิฟต์ไป จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็จะกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่มีเลือดฝาด ริมฝีปากแดงก่ำ
รอยหยดเลือดจุดเล็ก ๆ ตรงปกเสื้อเปิดเผยสิ่งที่อีกฝ่ายไปทำมาจนหมดสิ้น
ดูท่า ฉีเฟิงคงจะกลายเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์แล้ว
เพียงแต่น่าจะยังไม่รู้ตัว เพราะเขามีดวงตาเหม่อลอย แม้แต่รองเท้าก็ไม่ใส่ ท่าทางเหมือนคนไม่มีสติ กระทำทุกสิ่งไปด้วยไปด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ
วันมะรืนก็จะถึงกำหนดกลับประเทศเฉินแล้ว ฉินอวี่ต้องหาทางกระตุ้นฉีเฟิงสักหน่อย
อันที่จริงเขาสามารถแจ้งทางการตอนนี้ได้เลย รับรองว่าคนพวกนั้นจะต้องรีบพุ่งมาอย่างไวแน่นอน คติของประเทศนี้คือจับผิดดีกว่าปล่อยให้อมนุษย์รอดไปได้ ต่อให้มีคนโทรไปหน่วยงานเพื่อแกล้งอำเล่น พวกเขาก็ไม่ลังเล จับก่อนค่อยว่ากัน
แต่ฉินอวี่ไม่ทำแบบนั้น เพราะหลังจับฉีเฟิงไปแล้วเรื่องมันคงไม่จบแค่นั้น เขาที่บินมาพร้อมกับแวมไพร์ย่อมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขสอง ไม่มีทางได้กลับบ้านดี ๆ แน่ ฉะนั้นเขาจะรอให้ถึงช่วงเวลาเดิมที่ฉีเฟิงเคยจัดการร่างเดิม เขาถึงจะลงมือ
มองจนกระทั่งหัวหน้าเดินผ่านไปแล้ว เสียงเปิดปิดประตูดังขึ้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเข้าห้องเรียบร้อย ฉินอวี่จึงเดินกลับมานั่งหน้าโน้ตบุ๊คราคาถูกของบริษัท
หน้าจอเปิดแชตที่คุยค้างเอาไว้
[เอล : ตอนนี้เธออยู่เมืองไหน พักที่ไหน]
“ถามทำไมครับ คุณจะมาหาเหรอ ไหนว่าทำธุระอยู่ต่างประเทศไงครับ” ฉินอวี่กระเซ้า ก่อนชะงักไป อย่าบอกนะ... “คุณอยู่ลีเจียเหรอ”
[เอล : อืม]
“พูดเป็นเล่น” อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
[เอล : ฉันไม่เคยพูดเล่น ว่ายังไง ตอนนี้อยู่ไหน]
ฉินอวี่ชั่งใจ จากนั้นก็ตัดสินใจบอกที่อยู่ของตัวเองไป ในใจแอบรู้สึกคาดหวังขึ้นมาเล็ก ๆ ว่าจะได้เจอคนคนนี้สักครั้ง
ทว่าจวบจนวันสุดท้าย คุณเอลก็ไม่โผล่หน้ามาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้สึกของการคาดหวังแล้วผิดหวังแบบนี้เขาประสบมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ดันรู้สึกเสียใจมากกว่าปกติอย่างบอกไม่ถูก ฉินอวี่ถอนหายใจก้มหน้ามองแก้วเหล้าในมือ
“ฉินอวี่ กินสิ!”
“ครับ” เจ้าของชื่อยกแก้วขึ้นมาจิบ
ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในห้องส่วนตัวในร้านอาหารที่ฉีเฟิงเปิดให้เป็นพิเศษโดยอ้างว่าต้องการเลี้ยงฉลองที่เจรจาสำเร็จ
และเป็นช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของภารกิจในครั้งนี้อีกด้วย!