‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
ภายในห้องอาหารส่วนตัวมีเพียงแค่หัวหน้าและลูกน้องเท่านั้น แสงไฟสีนวลสลัวรวมทั้งเพลงที่เปิดคลอไปกับบรรยากาศไม่ได้ทำให้ฉินอวี่คลายอาการตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย
ความตั้งใจของฉีเฟิงยังคงเหมือนเดิมกับชาติที่แล้ว นั่นก็คือการมอมเหล้าและแบล็กเมลลูกน้องที่เป็นดั่งเสี้ยนหนามตำใจ
มีหรือที่ฉินอวี่จะไม่รู้ เขาจึงพยายามกินเหล้าให้น้อยที่สุดเพื่อประวิงเวลา แต่ฉีเฟิงกลับไม่พอใจ “ฉันอุตส่าห์เลี้ยงทั้งที ทำไมไม่กินล่ะ นี่นายรังเกียจกันหรือไง”
ก็ใช่ไง
ฉินอวี่สบถในใจ ยกแก้วขึ้นจิบอึกใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย “ผมแค่ไม่อยากเมา”
ฉีเฟิงดวงตาสว่างวาบ “ถ้าไม่เมาวันนี้ไม่กลับ!”
หัวหน้าชูแก้วขึ้นสูงก่อนจะกระดกลงไปรวดเดียวเป็นการโชว์ ใบหน้าไร้สีเลือดไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี่มองแล้วก็ได้แต่เบะปาก ทั้งที่เขากินไปนิดเดียวก็เริ่มรู้สึกว่าหน้าร้อนเลือดลมพลุ่งพล่านไปทั้งตัว แต่แวมไพร์เทียมตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลยแม้แต่น้อย
โคตรไม่ยุติธรรม
ฉีเฟิงอารมณ์ดีมาก ในช่วงครึ่งเดือนมานี้เขากินอะไรก็ไม่อร่อยซ้ำยังอาเจียนออกมาจนหมด ทว่ากลับกินเหล้าได้เสียอย่างนั้น ถึงจะรู้สึกว่ามันจืดไปหน่อยแถมยังไม่รู้สึกเมาทั้งที่ดื่มไปหลายขวด แต่เขาไม่ได้สนใจ เพราะวันนี้ตนจะมอมเหล้าไอ้เด็กใหม่คนนี้ต่างหาก
ใครใช้ให้คุณหนูจางลี่เอาแต่สนใจมันกันล่ะ!
ถ้าไม่มีฉินอวี่สักคน คุณหนูจางลี่จะไปมองใครได้
ดวงตาสีเขียวทอประกายหม่นแสงมีสีแดงเลือดวาบขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจางหายไป แวมไพร์เลือดผสมจ้องมองรุ่นน้องที่ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนจนกลายเป็นสีแดงก่ำ
ฉินอวี่เป็นคนหน้าตาดี ทั้งที่เป็นผู้ชายแต่กลับมีใบหน้างดงาม คิ้วคางอ่อนละมุนแต่ไม่ได้ดูหวานเหมือนผู้หญิง ยังคงมีความคมชัดของใบหน้าในแบบผู้ชายบางส่วน
เสียดายก็แต่เจ้าเด็กนี่ดันมีข้างล่างเหมือนตน ไม่อย่างนั้นมีหรือที่จะรอดพ้นปากเขาไปได้ ฉีเฟิงมองอยู่นาน จากนั้นก็ต้องเบิกตากว้างเล็กน้อย
“ร้อน” ฉินอวี่หน้าแดงก่ำ เหงื่อชุ่มเต็มศีรษะจนเส้นผมแนบไปกับหน้า
ทั้งที่ในห้องอาหารเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำ แต่ไม่รู้ทำไมแค่กินเหล้าไปสองแก้วเขากลับร้อนจนเหมือนอยู่กลางทะเลทรายแบบนี้
หรือว่าเงือกจะไม่ถูกกับแอลกอฮอลกันนะ
มือเรียวยกชายเสื้อขึ้นทำท่าจะถอดออก ทว่าชั่วอึดใจก็ลดมือลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองไม่ได้อยู่คนเดียว ฉีเฟิงทำหน้าเสียดาย มือล้วงโทรศัพท์ออกมากดอัดคลิป “ฉินอวี่สนุกไหม”
ไม่...
“สนุก อึ๊ก ครับ” เจ้าของชื่อตอบกลับด้วยท่าทางมึนเมาที่ดูสมจริง
“ถ้าสนุกงั้นเต้นให้ดูหน่อยสิ เดี๋ยวฉันเปิดเพลงให้”
ทุกอย่างยังคงเหมือนในความทรงจำของร่างเดิม เพลงทำนองสดใสที่เปิดคลอในตอนแรก ถูกเปลี่ยนไปเป็นทำนองแด๊นซ์หนักหน่วงพาให้บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที
ฉินอวี่หรี่ตามองโทรศัพท์ที่หันมาทางตัวเอง แกล้งยกมือขึ้นมาปัด “หัวหน้าอย่าถ่ายสิครับ น่าอายออก”
“น่าอายตรงใหน” ฉีเฟิงยิ้มกว้าง ตื่นเต้นจนนั่งแทบไม่ติดเบาะ
“ไม่เอาครับ”
ฉินอวี่ลุกขึ้น ทำท่าจะเข้าไปแย่ง แต่ไม่นึกว่าแข้งขาดันอ่อนยวบจนล้มใส่ฉีเฟิงเต็มแรง แก้วน้ำรวมทั้งจานบนโต๊ะถูกปัดตกแตกหลายใบ เขาไม่ทันระวังจึงโดนบาดเข้าแผลหนึ่ง
เลือดไหลซึมออกจากปากแผลบนฝ่ามือแทบจะทันที ความเจ็บนี้ทำให้เขาสมองโล่งขึ้นหลายส่วน จากนั้นก็ต้องสบถในใจ ฉิบหายล่ะ
ฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมองคนที่ตัวเองนั่งทับด้วยความหวาดระแวง ดวงตาสีเขียวแปลเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในพริบตา เขี้ยวยาวสีขาวโผล่พ้นริมฝีปากออกมา
ฉีเฟิงลำคอแห้งผาก เอ่ยเสียงยาน “ฉิน อ วี่”
“หัวหน้า!” ฉินอวี่ตะโกนพลางรีบลุกออกจากตัวแวมไพร์
ครั้งนี้เขาตกใจจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาคิดจะหาทางกระตุ้นฉีเฟิงก็จริง แต่ไม่ได้คิดว่าจะใช้เลือดตัวเองเสียหน่อย ปกติคนผู้นี้ก็ตัวใหญ่กว่าเขาอยู่แล้ว ตอนนี้พอเปลี่ยนเป็นแวมไพร์แค่มือเดียวก็สามารถหักคอคนได้แล้ว
“เลือดนายหอมมาก” ฉีเฟิงยังคงมีสติสัมปะชัญญะ แต่กลับไม่สามารถหักห้ามใจจากกลิ่นเลือดอันแสนยั่วยวนตรงหน้าได้
แวมไพร์มองเลือดไหลออกจากมือขาวผ่องหยดลงบนพื้นพลางแลบลิ้นออกมาเลียปากแห้งผากไม่หยุด ขาก้าวยาว ๆ เข้าไปหาลูกน้อง “ฉินอวี่”
จะเรียกทำไมนักหนาวะ
ฉินอวี่ตั้งท่าจะวิ่งไปที่ประตูห้องอาหาร ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายมาดักหน้าได้ในเสี้ยววิ “ฉิบ”
เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ทำไมต้องเลือกให้ไอ้หมอนี่เป็นแวมไพร์ด้วยนะ จะทำร้ายคนอื่นแต่ผลดันย้อนเข้ามาหาตัวเองเสียอย่างงั้น!
เมื่อทางออกถูกดักเอาไว้ ฉินอวี่จึงวิ่งกลับไปที่โต๊ะอาหารพลางกวาดตามองหาของที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ จากนั้นก็คว้าเอามีดหั่นสเต๊กขึ้นมาชี้ไปตรงหน้าแวมไพร์
ฉีเฟิงหัวเราะหึหึ “เล่นของมีคมมันไม่ดีนะ”
แวมไพร์ออกแรงดีดขาพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าฉินอวี่ มือหนากำเข้าไปที่ข้อมือเรียวอย่างแรงจนมีดหล่นลงบนพื้น
“โอ้ย” ฉินอวี่ครางออกมาอย่างเจ็บปวด หยาดน้ำเม็ดใสเอ่อคลอหางตา “หัวหน้าผมเจ็บนะ”
ฉีเฟิงไม่สนใจ มือหนึ่งกำข้อมือเล็ก อีกมือหนึ่งบีบคางจนชายหนุ่มผมทองต้องแหงนคอขึ้น ดวงตาแดงฉานจ้องลำคอขาวผ่องตาไม่กระพริบ เส้นเลือดภายใต้ผิวหนังเต้นตุบตับไปตามจังหวะการสูบฉีดของเลือด ปากอ้าออกเผยเขี้ยวแหลมคมดั่งอสรพิษ
ลมหายใจเย็นเฉียบเป่ารดต้นคอในระยะเผาขน ฉินอวี่ขนลุกทั่วร่าง ก่อนจะใช้มือข้างที่ยังว่างหยิบขวดเหล้าบนโต๊ะแล้วฟาดใส่ศีรษะอมนุษย์ตรงหน้าอย่างแรง
เพล้ง!
“ก็บอกว่าเจ็บไงวะ!”
อีกฝ่ายชะงักไป ฉินอวี่รีบผลักแวมไพร์ออกแล้วประเคนลูกถีบไปที่จุดอ่อนไหวของผู้ชายแบบไม่ยั้งแรง
“อุก” ฉีเฟิงตัวงอ ใบหน้าซีดเผือดเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ เขาเค้นเสียงอย่างโกรธเคือง “ไอ้ เด็ก เวร”
เมื่อเป็นอิสระ ชายหนุ่มผมทองจึงวิ่งไปทางประตูอีกครั้ง ประจวบเหมาะกับที่พนักงานรีบเปิดประตูเข้ามาดูเพราะได้ยินเสียงดังจากภายใน
“คุณลูกค้าเป็นอะไร--- กรี้ด!!”
ยังไม่ทันพูดจบพนักงานก็ต้องตกใจจนร้องกรี้ดออกมา ขาอ่อนยวบนั่งกองไปกับพื้น ดวงตาเบิกค้างมองสภาพเละเทะภายในห้องอาหารอย่างทำอะไรไม่ถูก
ส่วนฉินอวี่นั้นแย่กว่ามาก เพราะทันทีที่ประตูเปิดออก เส้นผมของเขาก็ถูกกระชากจากทางด้านหลังแล้วเหวี่ยงจนร่างไปกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ
“แคก!” เขาเจ็บจนพูดไม่ออก ได้แต่นอนกุมเอวคุดคู้อยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร
เจ็บโว้ย!
ฉีเฟิงย่างสามขุมเข้ามา “หมดฤทธิ์หรือยัง ถ้ายอมดี ๆ ก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”
ถ้ายอมให้แกกัดมีหวังฉันโดนสูบเลือดจนแห้งพอดีน่ะสิ ฉินอวี่อยากด่าคนมาก แต่ติดที่ตอนนี้เขาเจ็บจนเบลอไปหมด
ท่ามกลางสติพร่าเลือน แวมไพร์ย่างสามขุมเข้ามาใกล้อีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงปืนหนึ่งนัดพลันดังขึ้น
ปัง!
“อะไรอีกวะ!” ฉีเฟิงสบถ
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเราคือหน่วยปราบปรามอมนุษย์ ยกมือขึ้นแล้วนั่งลงซะ”
แวมไพร์ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป ถึงจะโดนยิงเข้าที่แขนจนเลือดอาบแต่มีหรือที่มันจะกลัว ดวงตาสีแดงก้มลงมองฉินอวี่ก่อนส่งเสียง “ชิ” ออกมาอย่างเสียดาย จากนั้นก็กระโดดหนีออกไปจากหน้าต่างทันที
“รีบตามไปเร็ว”
“เรียกหน่วยสนับสนุนปิดล้อมเมืองเอาไว้”
เสียงมากมายพูดคุยกันกระหึ่ม มีใครบางคนเข้ามาประคองคนเจ็บขึ้นมาจากพื้น “เป็นอะไรไหม”
“...”
ทว่าฉินอวี่กลับพูดไม่ออก ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
ไม่ใช่ว่าเขาเจ็บจนพูดไม่ออก แต่ตอนนี้ภารกิจมันกำลังจะล้มเหลวเพราะฉีเฟิงหนีไปได้!
ครั้งก่อนตอนได้รับภารกิจ ระบบมาเพียงแค่เสียงเท่านั้น ทว่าครั้งนี้ตรงหน้าเขากลับปรากฎตัวอักษร WARNING สีแดงตัวใหญ่เป้งขึ้นมา
[แจ้งเตือนภารกิจล้มเหลว : เป้าหมายฉีเฟิงหนีจากการจับกุมไปได้ ผู้ปฏิบัติภารกิจฉินอวี่จะต้องถูกลงโทษด้วยการทำลายดวงวิญญาณ]
[แจ้งเตือนภารกิจล้มเหลว : เป้าหมายฉีเฟิงหนีจากการจับกุมไปได้ ผู้ปฏิบัติภารกิจฉินอวี่จะต้องถูกลงโทษด้วยการทำลายดวงวิญญาณ]
[แจ้งเตือนภารกิจล้มเหลว : เป้าหมายฉีเฟิงหนีจากการจับกุมไปได้ ผู้ปฏิบัติภารกิจฉินอวี่จะต้องถูกลงโทษด้วยการทำลายดวงวิญญาณ]
เสียงประกาศดังขึ้นถึงสามครั้งติด ฉินอวี่ตาเหลือกก่อนจะหมดสติไปทันที
“นี่...!” คนในอ้อมแขนสลบไปแล้ว ชายหนุ่มยกมือชุ่มเลือดของคนผมทองขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยถามลูกน้องคนสนิท “มีผ้าสะอาดไหม”
“ผมช่วยครับ” ชายสวมแว่นผมสีดำย่อตัวลงตรงหน้าเจ้านาย
ข้อมือเรียวถูกคนที่โอบอยู่ประคองส่งให้ลูกน้อง ผ้าเช็ดหน้าผืนบางซับบาดแผลบนฝ่ามือด้วยความระมัดระวัง ขณะกำลังประฐมพยาบาลดวงตาคู่คมพลันสังเกตเห็นรอยแต้มอันคุ้นเคยที่หลังมือของคนในอ้อมแขนเข้า
ขี้แมลงวันเม็ดเล็กตัดกับผิวขาวอย่างชัดเจน
ใช่จริง ๆ ด้วย
ดวงตาสีอเมทิสต์หยีลงเล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกยิ้ม พาให้ลูกน้องคนสนิทตกตะลึงจนนิ่งไป “ท่านเอลเลียส?”
ผู้เป็นเจ้านายกระชับอ้อมแขนแน่น ก่อนจะอุ้มคนที่หมดสติขึ้นมา “ฉันจะพาเขากลับบ้านก่อน จัดการทางนี้เสร็จก็กลับไปรายงานด้วย”
ฟินน์ชะงัก “เอ่อ ไม่พาเขาไปโรงพยาบาลเหรครับ”
“บอกให้จาคอปตามหมอไปที่บ้าน” เอลเลียสสั่งจบก็อุ้มคนบาดเจ็บเดินออกไปโดยมีเจ้าหน้าที่ในชุดสีดำสนิทคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้
เลขาผู้พ่วงตำแหน่งเบ๊จิปาถะยืนเกาหัวด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่าเจ้านายจะพาคนบาดเจ็บที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยกลับบ้านทำไม
ท่านเอลเลียสคิดจะทำอะไรกันแน่?
ทำไมถึงทำท่าเหมือนรู้จักอีกฝ่ายมาก่อน
แล้วไปรู้จักกันตอนใหนล่ะ...
ในสมองของเลขาอัดแน่นไปด้วยคำถาม แต่สงสัยไปก็ไม่ได้รับคำตอบ ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่รีบจัดการงานเร่งด่วนตรงนี้ก่อน
ฟินน์เอ่ยสั่งการหน่วยปราบปรามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นี่เป็นหน่วยปราบปรามอมนุษย์กองพิเศษขนาดย่อยที่ขึ้นตรงต่อเอลเลียสและฟังแต่คำสั่งของเขาเท่านั้น ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโตมาจากใหนก็ไม่มีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งพวกเขาได้
“ไปบอกร้านให้เอาไฟล์กล้องวงจรปิดของวันนี้มาให้หมด”
“ไล่กล้องวงจรตามเส้นทางที่เจ้านั่นไป ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเข้ามาในประเทศตอนใหน และไปที่ใหนมาบ้าง”
“หากพบผู้ต้องสงสัยไม่ต้องถามแต่ให้จับกลับมาก่อน ใช่ไม่ใช่ค่อยสอบสวนอีกที”
หลังจากจัดการเรื่องทางนี้อยู่ค่อนคืน เลขาหนุ่มก็รีบแจ้นกลับบ้านอย่างรวดเร็ว และถึงแม้จะเรียกว่าบ้าน แต่ที่จริงแล้วมันคือคฤหาสน์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่บนหน้าผาทางทิศตะวันตกของลีเจียต่างหาก
สถานที่เกิดเหตุอยู่ค่อนข้างไกลจากคฤหาสน์ ต้องใช้เวลาเดินทางถึงสามชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย
ฟินน์ขยับแว่นตากรอบเงิน เปิดประตูลงจากรถเดินเข้าไปข้างในอย่างคุ้นชิน หมอประจำตัวของเจ้านายเดินสวนออกมาพลางพยักหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม “นายท่านอยู่ที่ห้องนอนแขกปีกซ้ายบนชั้นสองนะ”
เนื่องด้วยที่นี่คือคฤหาสน์ขนาดย่อมที่อิงต้นแบบมาจากปราสาทโบราณ หากให้เดินหาเองคงต้องเดินกันเป็นชั่วโมง ฟินน์รีบก้มหัวให้อย่างมีมารยาท “ขอบคุณครับ”
ทว่าพอเขาเดินเข้ามาในห้องนอนแขกก็ต้องอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านเอลเลียส...ทำอะไรครับ?”