‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
“คุณพอจะมาที่ลีเจียได้ไหม”
[เลวี่ : นายจะให้ฉันไปตายหรือไง ตอนนี้ข่าวพวกนายดังไปทั่ว เที่ยวบินไปลีเจียมีแต่เข้าไม่มีออก แถมคนที่จะเข้าไปยังต้องโดนตรวจสอบเข้มงวดยิ่งกว่าปกติอีกด้วย]
จริงดังที่อีกฝ่ายว่า ตอนนี้ทุกพื้นที่ในประเทศเข้มงวดมากจริง ๆ ในโทรทัศน์ก็ยังออกข่าวแต่นี้ทั้งวัน และคงจะเป็นแบบนี้ไปจนกว่าฉีเฟิงจะโดนจับนั่นแหละ แต่เขาก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วเหมือนกัน
“แล้วผมจะทำยังไงดี”
[เลวี่ : มีอะไรหรือเปล่า ถ้านายไม่บอกสาเหตุที่ต้องการให้ฉันไป ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะช่วยยังไง]
“ผมต้องการให้ช่วยจับฉีเฟิง” ฉินอวี่ชั่งใจก่อนจะพิมพ์เพิ่ม “ภายในเดือนนี้”
[เลวี่ : ครั้งก่อนก็ทำให้หมอนั่นเป็นอมนุษย์ ครั้งนี้ยังจะจับอีกเหรอ ใจร้ายเกินไปแล้ว]
ประโยคนี้คล้ายกับการต่อว่า แต่ข้อความนี้เขากลับคล้ายว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะอย่างนึกสนุกของอีกฝ่ายยังไงยังงั้น
ในเมื่อแวมไพร์ช่วยไม่ได้ เขาก็หมดธุระกับหมอนี่แล้ว ในขณะที่เตรียมจะพิมพ์บอกลา ข้อความพลันเด้งขึ้นมา
[เลวี่ : จริง ๆ เรื่องนี้ก็พอจะมีวิธีอยู่ แต่มันแพงมากเลยล่ะ]
เรื่องหน้าเลือดนี่ไว้ใจแวมไพร์อันดับหนึ่งได้เลย ไหนบอกว่าไม่ขาดแคลนเงิน ทำไมคุยกันทีไรมีแต่เขาเสียเงินทุกที แม้จะบ่นในใจทว่ามือก็ยังคงพิมพ์ตอบอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น
“วิธีอะไร”
[เลวี่ : ฉันสามารถส่งลูกน้องฝีมือดีที่เป็นมนุษย์ไปให้ได้ ส่วนค่าดำเนินการ ลดให้สุด ๆ ได้เต็มที่สี่แสนเหรียญ]
สี่แสน!!
“สาบานว่านี่ลดแล้ว”
ฉินอวี่เกินอาการมือสั่นขึ้นมา รู้สึกว่ายิ่งจ้างยิ่งแพงขึ้นแบบก้าวกระโดดจริง ๆ แบบนี้มันไม่ค้ากำไรเกินไปหน่อยหรือไง!
[เลวี่ : ลดแล้วจริง ๆ ปกติถ้าต้องทำงานนอกประเทศเรตราคาจะอยู่ที่เกือบล้านเลยนะ นายคิดดูสิฉันต้องส่งลูกน้องไปที่ลีเจียมีทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก ฉันไม่ทำการค้าการกุศล แน่นอนว่าย่อมต้องมีค่าแรงของคนที่ส่งไป ฉันเห็นนายเป็นคนกันเองหรอกนะ ค่านายหน้าฉันก็เก็บแค่สิบเปอร์เซ็นต์เอง]
พอเลวี่พูดมาอย่างนี้ ฉินอวี่จึงว่าอีกฝ่ายไม่ลงแต่หลังจากที่จ้างทำงานครั้งก่อน ได้เงินค่าไข่มุกมาหนึ่งแสน รวมทั้งเงินจากการดูดวงและโดเนทพอหักลบแล้วเขาก็มีเพียงแค่สองแสนกว่า ๆ เท่านั้น ยังขาดอีกตั้งเกือบครึ่ง
“ขอจ่ายครึ่งหนึ่งก่อนได้ไหม พวกนายรีบมาก่อน”
เขาพิมพ์อย่างไม่คาดหวัง ไม่คาดว่าเลวี่กลับใจกว้างขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
[เลวี่ : ได้สิ]
หลังจากคุยตกลงธุระกับจบ ฉินอวี่จึงลุกเดินออกไปสูดอากาศที่ระเบียงห้อง ในสมองครุ่นคิดถึงวิธีหาเงินเพิ่มไม่หยุด
ถ้าอยากได้เงินไว ๆ ก็มีแต่ต้องขายไข่มุกหรือทำสร้อยขาย แต่ตอนนี้เขาดันมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ เพราะงั้นวิธีนี้ตัดออกได้เลย
คิดไปคิดมาก็เหลือแต่การไลฟ์เท่านั้น
เงือกมือใหม่ยกมือที่มีผ้าพันแผลขึ้นมามองเงียบ ๆ แผลนี้ยังใหม่มากไม่เหมาะที่จะโดนน้ำ อีกทั้งบนโลกใบนี้ไม่ขาดแคลนพวกคนช่างเดา หากพวกนั้นเห็นแผลที่มือแล้วเอาไปโยงเข้ากับผู้เสียหายในเหตุการณ์ ไป ๆ มา ๆ มันก็อาจจะเป็นการเปิดเผยตัวตนเอาได้
หากตัวตนเปิดเผย ไม่ใช่แค่ฉินอวี่ที่ซวย แต่คนที่ให้การช่วยเหลือเขาอย่างคุณเอลก็จะพลอยซวยไปด้วย แม้อีกฝ่ายดูจะมีอำนาจมาก ทว่าเขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้คุณเอลเลยจริง ๆ
คิดอยู่นานก็ยังหาทางออกไม่ได้ ฉินอวี่ที่โดนจำกัดบริเวณออกอาการเบื่อสุด ๆ เนื่องจากไม่มีอะไรทำ
หลังจากเดินวนในห้อง กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงจนผ้าห่มเละเทะ ทว่าก็เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น
“เบื่อ!!!”
เสียงตะโกนดังลั่นทำให้ฟินน์ที่เฝ้าอยู่นอกห้องรีบเปิดประตูเข้ามาทันที ในมือหอบหิ้วโน้ตบุ๊กเข้ามาด้วย ท่าทางดูทุลักทุเลสุด ๆ “คุณอวี่เป็นอะไรครับ”
คนบนเตียงพลิกตัว เส้นผมสีอ่อนยุ่งเหยิง “ผมเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
ออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ ไลฟ์ก็ไม่ได้ โทรทัศน์ก็มีแต่ข่าวเดิม ๆ ไม่มีอะไรให้เขาทำเลย ความรู้สึกของการติดคุกก็คงเป็นอย่างนี้สินะ
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองเงือกที่หน้าบูดแต่กลับยังดูน่ามอง พลางยกมือขยับแว่น “อดทนอีกสักสามสี่ชั่วโมงนะครับ วันนี้ท่านเอลเลียสบอกว่าจะกลับมาไว”
ฉินอวี่งึมงำ “เขากลับมาแล้วผมจะหายเบื่อเหรอ”
เขาไม่ได้ตั้งใจกวนประสาท เพียงแค่พูดไปตามที่คิดเท่านั้น
ฟินน์เงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา “ผมก็ไม่รู้ครับ”
“คุณมีงานอะไรให้ผมช่วยทำไหม” เงือกผมทองเงยหน้ามองเลขาหนุ่มทั้งที่ตัวเองยังนอนแผ่อยู่บนเตียง ผ่านไปยังไม่ทันสองวันดีแต่เขากลับเหมือนตัวขี้เกียจไปแล้ว
จะไปมีได้ไงล่ะครับ ขืนใช้คุณทำงานท่านเอลเลียสได้กินหัวผมพอดี
ฟินน์คิดในใจ สมองแล่นเร็วจี๋อย่างใช้ความคิดว่าจะทำยังไงให้เงือกน้อยของเจ้านายหายเบื่อ ไม่นานชายหนุ่มก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมา
หลังจากเดินหายออกไปจากห้องนอนแขก ไม่นานฟินน์ก็กลับมาพร้อมกับเอกสารและหนังสือประวัติศาสตร์กองโต
“คุณจะให้ผมเรียนหนังสือ?” ฉินอวี่เงยหน้ามองเลขาอย่างไม่เชื่อสายตา
เอาจริงดิ นี่มันไม่น่าเบื่อกว่าเดิมหรือไง
ฟินน์ยิ้มบาง “ผมคิดว่าคุณอาจจะอยากรู้ก็ได้” พูดจบก็เดินไปนั่งลงตรงชุดโซฟาภายในห้องของเงือกเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขาเสียเลย
และก็เป็นอย่างที่เลขาว่า ฉินอวี่ที่ตอนแรกตั้งใจจะอ่านแค่ผ่าน ๆ กลับจมลงไปในหนังสือตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
นี่เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของลีเจียเริ่มตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศ ผ่านการรบราฆ่าฟันชิงดินแดนกับเหล่าอมนุษย์จนสุดท้ายมนุษย์ที่มีจำนวนมากกว่าก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
อมนุษย์ถูกกีดกันออกจากสังคม ถูกเหยียบย่ำ นานวันเข้าพวกเขาเหล่านั้นก็แทบไม่เหลืออยู่ในประเทศนี้อีกแล้ว หรือต่อให้ยังมีก็ต้องหลบซ่อนอยู่ในหลืบไปทั้งชีวิต
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี่สนใจ เรื่องที่เขาสนใจก็คือประวัติราชวงศ์ในช่วงเวลาปัจจุบันมากกว่า เพราะมันมีเอลเลียสอยู่ด้วย!
นี่มันหมายความว่ายังไงน่ะเหรอ
ก็หมายความว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายยังไงล่ะ!
“นะ นี่” ฉินอวี่กางหนังสือ ดวงตาเบิกกว้างมองภาพถ่ายชายหนุ่มหน้าตาดีผู้มีดวงตาสีม่วงอันแสนคุ้นเคยในชุดเต็มยศซึ่งปรากฏอยู่ในแผนผังตระกูล ใต้ชื่อมีกำกับเอาไว้ว่า เจ้าชายลำดับที่ 1
เงือกที่อ้าปากหวอจนดูตลกหันไปหาฟินน์ก่อนชี้นิ้วไปยังคนในภาพ “เรื่องจริงเหรอครับ”
เลขาหนุ่มอมยิ้ม “แล้วทำไมถึงไม่ใช่เรื่องจริงล่ะครับ”
ในเมื่อท่านเอลเลียสแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับเงือกตนนี้ การให้อีกฝ่ายรู้ฐานะของท่านเอาไว้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
อีกอย่างท่านเอลเลียสก็ไม่ได้สั่งห้ามพวกเขาปากโป้งเรื่องของตัวเอง ในเมื่อท่านไม่บอก งั้นเขาที่เป็นเลขาก็จะบอกให้เองนี่แหละ!
มีผู้ช่วยที่ฉลาดขนาดนี้ ท่านเอลเลียสก็ไม่ต้องเหนื่อยมานั่งอธิบายตัวเองแล้ว
เอลเลียสที่กำลังทำธุระอยู่ในวัง “แคก ๆ!”
“...” ฉินอวี่ยังคงอึ้งไม่หาย
มิน่าถึงมีพ่อบ้านที่เหมือนหลุดมาจากการ์ตูน มิน่าถึงมีบ้านริมทะเลที่ใหญ่ขนาดนี้ มิน่าถึงบอกว่ามีหน่วยปราบปรามที่ขึ้นตรงกับตัวเอง มิน่าถึงมีเงินเปย์เขาขนาดนั้น
ฉินอวี่มีแต่คำว่า ‘มิน่า’ เต็มหัวไปหมด ตอนแรกเขาเดาเอาไว้แค่ว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นพวกผู้ดีเก่าหรือฝ่ายการเมืองที่ยศสูง ๆ แต่ไม่คาดเลยว่าจะเป็นเจ้าชายไปได้!
สุดท้ายอาการเบื่อก็หายเป็นปลิดทิ้งเพราะตลอดช่วงบ่ายของวันฉินอวี่ใช้เวลาไปกับการหาข่าวของเอลเลียสแทน และเนื่องจากคนคนนี้เป็นเจ้าชายที่มีใบหน้าหล่อเหลา เลยเป็นที่จับตามองจากสื่อและหญิงสาวทั่วประเทศ ขึ้นแท่นชายหนุ่มที่อยากแต่งงานด้วยที่สุด
ทว่าแม้อายุของอีกฝ่ายจะเข้าใกล้เลขสามแล้ว เจ้าชายท่านนี้กลับไม่มีข่าวออกเดตเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงบางครั้งจะมีสำนักข่าวไร้จรรยาบรรณเต้าข่าวจับคู่ให้อยู่บ่อยครั้ง เอลเลียสก็ทำเพียงแค่ส่งคนไปจัดการเท่านั้น
ไม่รู้ทำไม เรื่องนี้กลับทำให้ฉินอวี่รู้สึกอยากยิ้มอย่างบอกไม่ถูก
ช่วงสี่โมงเย็น เอลเลียสก็กลับมาถึงบ้านอย่างที่ฟินน์บอกเอาไว้ จากมุมห้องตรงนี้จะมองเห็นทั้งวิวทะเลและทางเข้าคฤหาสน์พอดี ที่ด้านล่าง ชายหนุ่มร่างสูงลงจากรถ ก่อนจะยื่นเสื้อสูทตัวนอกให้จาคอปที่มายืนรอรับ
ขณะกำลังเดินเข้าบ้าน ราวกับสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ เอลเลียสเงยหน้ามองไปยังตำแหน่งห้องนอนแขก ดวงตาสองคู่สบประสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์ยิ้มบางให้ ทว่าคนแอบมองกลับหลบสายตาแล้วมุดหน้าเข้ามาในห้องแทน
ฟินน์ที่แม้จะนั่งทำงานแต่ก็ยังคอยสังเกตเงือกตลอดเวลาหรี่ตาลงอย่างสงสัย เมื่อกี้ไม่ใช่ว่ากำลังชมวิวอยู่หรือไง ไหงตอนนี้ทำหน้าประหลาดแบบนั้น “เป็นอะไรไปครับ”
“เปล่า” ฉินอวี่งึมงำ
ตอนนี้พอรู้ว่าคุณเอลเป็นเจ้าชาย อยู่ ๆ เขาก็เกิดอาการไม่กล้าสู้หน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องพักก็ดังขึ้น ฟินน์ขยับแว่นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู “ท่านเอลเลียส”
“ฟินน์” น้ำเสียงทุ้มต่ำมีความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “นายมาอยู่ห้องอาอวี่ได้ไง”
“ก็คุณบอกให้ผมคอยดูแลเขาไม่ใช่เหรอครับ ช่วงนี้เขาบาดเจ็บ ผมคิดว่าอยู่ใกล้ ๆ เอาไว้จะได้ช่วยเหลือสะดวก” เลขาอธิบายอย่างเป็นหลักการ ก่อนจะผายมือเชิญเจ้านายเข้ามา “อีกอย่างคุณอวี่เขาก็บอกว่าเบื่อด้วย”
“อาอวี่เบื่อเหรอ” คราวนี้คำถามพุ่งตรงมาที่แขกเพียงหนึ่งเดียว
เงือกมือใหม่นั่งหลังตรง ใบหน้าหันไปทางผู้สูงศักดิ์แต่กลับไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ “นิดหน่อยครับ”
แน่นอนว่าอากัปกิริยาแบบนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นแม้จะเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก แต่ฉินอวี่ดูผ่อนคลายกว่านี้มาก
ระหว่างที่เขาไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ดวงตาคมปรายมองเลขาที่ยืนทำหน้านิ่งเหมือนปกติ ก่อนจะเบนไปมองคนตัวขาวในห้อง หัวคิ้วคมขมวดเข้าหากัน “ฟินน์ นายกลับไปได้แล้ว”
“ครับ” เลขาหนุ่มที่ได้เลิกงานไวย่อมขานรับด้วยความยินดี
ถึงจะบอกให้กลับไป แต่ที่จริงแล้วเขาก็พักอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เช่นกัน เพื่อให้สะดวกต่อการช่วยงานเอลเลียสได้ทุกเมื่อ
ภายในห้องไม่มีคนอื่นอีก มีเพียงเจ้าของคฤหาสน์และแขกผมทองเท่านั้น เอลเลียสเดินไปหาฉินอวี่ แต่ทั้ง ๆ ที่เข้ามาใกล้ขนาดนี้แล้ว อีกฝ่ายกลับไม่ยอมมองกันเลยสักแวบ
กระทั่งเดินมาถึงโต๊ะ ดวงตาคู่คมก็เจอเข้ากับกองหนังสือเจ้าปัญหาเข้า ชายหนุ่มถอนหายใจพลางนั่งลงตรงหน้าเงือก “รู้แล้วเหรอ”
ฉินอวี่พยักหน้าอย่างซื่อตรง “ครับ”
“แล้วทำไมไม่มองฉันเลย”
ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย” ผมแค่ทำตัวไม่ถูก”
เอลเลียสถอนหายใจอีกหน น้ำเสียงแสดงออกชัดว่าปวดใจ “เธอเป็นแบบนี้ฉันเสียใจนะ”
หน้าอกฉินอวี่วูบโหวง เขารีบหันมองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ จากนั้นก็เจอเข้ากับใบหน้าคมที่แม้จะเรียบเฉย ทว่าดวงตากลับไม่สามารถปกปิดความรู้สึกเสียใจอย่างที่พูด
“ผมขอโทษ ผมไม่รู้จะทำตัวกับคุณยังไงดี”
มือเล็กกำแน่น ก่อนหน้านี้เขาตกใจก็จริง แต่พอหายจากอาการตกใจมันกลับกลายเป็นความไม่สบายใจแทน อีกทั้งยังมีความรู้สึกถึงความต่างของฐานะที่แทรกเข้ามา
เจ้าชายเลยนะ เจ้าชาย!
“เธอก็ทำตัวแบบเดิมสิ” เอลเลียสพูดพลางลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งเบียดบนโซฟาตัวเดียวกับเงือก มือหนาถือวิสาสะกุมมือเล็กกว่าเอาไว้แน่น “ฉันอยากให้เธอมองฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ได้ไหม”
ฉินอวี่ตกใจกับความใกล้ชิดกะทันหันนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกอยากผลักไสเลยสักนิด ดวงตาสีน้ำเงินก้มลงมองมือที่กุมกันอยู่พลางพูดเสียงค่อย “ผมจะพยายามครับ”
“เด็กดี”
ฉินอวี่ “แล้วคนอื่นล่ะครับ เขาจะไม่ว่าเอาเหรอ”
“ใครจะมาว่าอะไร” เอลเลียสก้มมองคนด้านข้างด้วยสายตาลุ่มลึก ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มบาง
“ก็ที่ผมมาตีเสมอเจ้าชายอย่างคุณแบบนี้ ผมกลัวว่าคนอื่นเขาจะว่าเอาได้ อีกอย่างคุณก็เป็นถึงเจ้าชายลำดับหนึ่ง....”
ฉินอวี่หยุดไปราวกับมีอะไรมาอุดคอเอาไว้ คิ้วสีอ่อนขมวดเข้าหากัน
พูดถึงเจ้าชายลำดับหนึ่ง ย่อมหมายถึงการสืบทอดต่อจากกษัตริย์คนก่อน ในอนาคตก็ต้องขึ้นครองบัลลังก์และแต่งงานมีลูกตามประเพณี
ไม่รู้ทำไม พอนึกถึงตรงนี้แล้วเขากลับรู้สึกจุกอกอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย” เอลเลียสกระชับฝ่ามือที่กุมแน่นขึ้น เอ่ยเสียงขำขันในลำคอ “จริงๆ นะ เชื่อฉันสิ ถ้าโกหก ฉันอนุญาตให้เธอตีได้เลย”
ฉินอวี่มองคนตรงหน้าอยู่นานมาก ก่อนจะพยักหน้า “งั้นจากนี้ผมไม่เกรงใจแล้วนะ”
เอลเลียส “ได้”