‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
ในเมื่อคุณเอลบอกให้ทำตัวแบบเดิม งั้นคงไม่ผิดใช่ไหมถ้าเขาจะรบกวนอีกฝ่ายสักหน่อย
“จากนี้ผมไม่เกรงใจแล้วนะ”
“ได้”
สิ้นคำตอบรับ ฉินอวี่จึงโพล่งออกไปแบบขวานผ่าซาก “ผมอยากจะขอยืมเงินสักสองแสน”
“...?” เอลเลียสชะงัก คิ้วเลิกขึ้นสูงอย่างแปลกใจ
เงือกมือใหม่รีบร้อนอธิบาย “พอดีก่อนหน้าที่จะมาไลฟ์ผมลำบากมาก เงินเดือนแทบไม่พอกิน เลยไปยืมเงินเพื่อนมาน่ะครับ แล้วตอนนี้เขาก็ทวงแล้ว”
ฉินอวี่แต่งเรื่องอย่างหน้าไม่อาย ใครจะไปกล้าบอกกันล่ะว่าจะเอาเงินไปจ้างแวมไพร์ให้มาจับแวมไพร์น่ะ
เขารีบยกสามนิ้วขึ้นมาตรงหน้าเป็นท่าให้คำมั่น “คุณไม่ต้องกังวลว่าผมจะโกงนะครับ ยังไงผมก็ยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก รอไว้มือหายดีเมื่อไหร่ผมจะรีบไลฟ์หาเงินมาคืนแน่นอน!”
“ได้สิ” เอลเลียสพยักหน้าทันที ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มพอใจ “จนกว่านายจะหาเงินมาคืนครบก็ต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน”
“ขอบคุณมากนะครับ”
ปัญหาเรื่องเงินคลี่คลายไปได้แล้ว ฉินอวี่จึงยิ้มกว้างออกมาอย่างน่ารัก ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้มือข้างหนึ่งของตัวเองยังโดนกุมเอาไว้
เอลเลียสมองเงือกน้อยนิ่ง ๆ ประกายสีม่วงในแววตาอ่อนแสงลงจนดูอ่อนโยน ใบหน้าเจือรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
อันที่จริงเขาไม่คิดที่จะเอาเงินคืนจากอาอวี่เลย แต่ถ้าหากเรื่องนี้ทำให้สามารถรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ไม่ว่าวิธีอะไรเขาก็ไม่เกี่ยง
เอลเลียสถามเสียงนุ่ม “จะห้าโมงแล้ว หิวหรือยัง”
เมื่อโดนถามแบบนี้ ฉินอวี่ก็เริ่มรู้สึกว่าท้องร้องขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เขาพยักหน้า “หิวแล้วครับ”
“งั้นไปกันเถอะ” เอลเลียสลุกขึ้นยืน พลางประคองฉินอวี่ให้เดินไปพร้อมกัน
“ไม่ได้กินในห้องเหรอครับ”
ไหนว่าสองสามวันนี้เขาโดนกักบริเวณไม่ใช่หรือไง
“วันนี้เห็นว่าเธออาการดีขึ้นบ้างแล้ว ออกไปสูดอากาศหน่อยก็ดี”
เอลเลียสไม่ใช่คนใจร้าย การต้องมาขังเงือกเอาไว้ทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะอยากลงไปเล่นทะเลก็นับว่าโหดร้ายมากแล้ว ยิ่งมารู้ว่าอาอวี่เบื่อมากที่ต้องอยู่แบบนี้เขาก็ยิ่งปวดใจ
ถึงจะยังไม่อนุญาตให้ลงทะเลได้ แต่แค่ไปนั่งกินข้าวก็ไม่เป็นไร
ฉินอวี่สะดุ้ง เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำตัวเหมือนคนพิการ มือเล็กรีบแกะมืออีกคนออกจากไหล่ “ผมดีขึ้นแล้วอย่างที่คุณว่านั่นแหละครับ คุณปล่อยผมเดินเองเถอะ”
ที่จริงแล้วเขายังเจ็บเอวอยู่ แต่ก็ไม่ได้เจ็บถึงขนาดเดินไม่ไหว ถ้าแค่เดินช้า ๆ ก็พอจะไหวอยู่
เอลเลียสไม่ดึงดัน ปล่อยมือออกจากไหล่เงือกน้อย ขาเรียวยาวก้าวช้า ๆ เพื่อเดินเคียงข้างอีกฝ่าย จนกระทั่งมาถึงบันได
ฉินอวี่ลงไปหนึ่งขั้นก็นิ่วหน้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ มือลูบไปที่เอวเพื่อคลายอาการปวดที่เกิดจากการลงน้ำหนัก
เชี่ย ปวดฉิบ
ไอ้เวรฉีเฟิง!
เอลเลียสมองคนเก่งอยู่นาน จนกระทั่งลงไปขั้นที่ห้า เห็นหยดเหงื่อเม็ดกลมเริ่มผุดซึมออกมาตามไรผมของเงือกน้อย เขาจึงอมยิ้มขำ เดินแซงหน้าไปก่อนจะหันหลังย่อตัวให้ “ขึ้นมาเร็ว”
“ทำอะไรครับ” ฉินอวี่ตกใจ ขาแข็งทื่ออยู่กับที่
“ถ้าปล่อยให้เธอเดินเอง ดูท่าวันนี้น่าจะไม่ได้กินข้าวแต่จะได้กินยาเพิ่มแทนนะ”
ฉินอวี่เม้มปากขัดใจ แต่ก็ยื่นแขนไปเกาะหลังอีกฝ่ายด้วยอาการเกร็งเล็กน้อย ปากพร่ำพูดไปเรื่อยเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย “ได้ขี่หลังเจ้าชายด้วยอะ ตอนนี้ผมคือคนที่โชคดีที่สุดในประเทศเลยมั้ยเนี่ย”
เอลเลียสขำ “โอกาสนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ นะ”
เพราะก็มีแค่นายนี่แหละที่ฉันยอมแบบนี้
ฉินอวี่อมยิ้ม ยื่นแขนเข้าไปโอบรอบลำคอคนเบื้องหน้า “ขอบคุณนะครับ”
เอลเลียสมีความอดทนอย่างยิ่ง พอรู้ว่าฉินอวี่ยังเจ็บเอวอยู่ เขาจึงก้าวลงบันไดไปทีละก้าวช้า ๆ เส้นผมสีดำขยับไหวอยู่ตรงปลายจมูกจนเงือกด้านหลังจั๊กจี้ กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ พาให้รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัว
ดวงตาสีน้ำเงินราวกับท้องทะเลลึกมองคนที่ตนกำลังขี่หลัง สลับกับมองทิวทัศน์รอบคฤหาสน์หรูไปด้วย ภายในหัวใจมีความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมา
ดีจังที่ได้เจอคนคนนี้ แบบนี้ยิ่งทำให้ไม่อยากตายเข้าไปใหญ่เลย
ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จให้ได้!
เมื่อออกมาด้านนอกฉินอวี่จึงได้เห็นคฤหาสน์ที่ตนมาอาศัยเต็มตา ไม่สิ ไซซ์นี้ต้องเรียกว่าปราสาทแล้ว!
ปราสาทมีทั้งหมดสามชั้น ตัวผนังด้านนอกทำจากอิฐสีเหลืองอ่อน หลังคาทรงสามเหลี่ยมแหลม หน้าต่างติดกันถี่ ๆ ลักษณะคล้ายกับปราสาทในยุโรป บริเวณรอบด้านเป็นสนามหน้าและพุ่มไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างดี มันมีขนาดที่ใหญ่และกว้างมาก ทว่าจากการที่เขาอยู่มาหลายวัน กลับเห็นคนอาศัยในนี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ที่นี่อยู่กันกี่คนเหรอครับ”
น้ำเสียงหวานกระซิบถามข้างหู พาให้ชายผมดำรู้สึกเหมือนใจถูกเป่า “ถ้าหลัก ๆ ก็สามคน ฉัน จาคอป ฟินน์ ส่วนพวกหน่วยปราบปรามจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอาศัยที่ปีกคฤหาสน์ฝั่งขวา คอยอารักขาเงียบ ๆ เธอไม่เห็นหรอก”
“อยู่กันน้อยจัง แล้วกว้างขนาดนี้คุณจาคอปทำความสะอาดคนเดียวไหวเหรอครับ”
นี่คือเรื่องที่ฉินอวี่สงสัย เพราะทุกจุดที่เดินผ่านมาถูกทำความสะอาดอย่างดีเยี่ยม แม้แต่หยากไย่บนเพดานสูงก็ยังไม่มีเลย ไหนจะสวนพวกนี้อีก
คุณจาคอปแก่จนศีรษะขาวโพลนขนาดนั้น หากบอกว่าอีกฝ่ายทำคนเดียวก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย
“ปกติมีคนของวังมาทำให้อาทิตย์ละรอบน่ะ”
“อ๋า” เงือกผมทองครางในลำคอ
เขาลืมไปได้ยังไงว่าคนที่ตัวเองขี่หลังอยู่เป็นถึงเจ้าชายของประเทศนี้!
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ เหนื่อยหรือยัง” เอลเลียสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
ฉินอวี่ขำคิกคัก “ควรเป็นผมสิที่ต้องถาม ผมไม่ได้เดินเองด้วยซ้ำ”
เอลเลียสมีร่างกายที่แข็งแรงมากจริง ๆ แม้จะเดินออกมาไกลทั้งยังแบกคนเอาไว้ด้วย ก็ยังไม่มีอาการหอบเลยสักนิด
พื้นที่คฤหาสน์หลังนี้กินเนื้อที่กว้างมากทีเดียว ตัวคฤหาสน์ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน หันหน้าออกไปทางทะเล โดยด้านหน้าและฝั่งขวาจะติดทะเลมีคลื่นมากระทบกับหินผาจนเกิดเสียงน้ำกระทบตลอดเวลา ส่วนทางซ้ายจะเป็นทางเชื่อมลงไปยังชายหาด
ซึ่งเอลเลียสบอกว่าที่ดินของชายหาดแถบนี้เป็นของเขาทั้งหมด
จะรวยไปไหน!
วันนี้เจ้าของพื้นที่พาแขกไปทางด้านขวาของคฤหาสน์ ตรงบริเวณนั้นมีศาลาทรงโค้งขนาดไม่ใหญ่มากอยู่หลังหนึ่ง เสาของศาลามีแปดต้นแกะสลักลวดลายงดงามเอาไว้ รอบบริเวณรายล้อมไปด้วยสวนพืชไม้นานาพรรณ เมื่อมองออกไปไกลจะเห็นน้ำทะเลสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเย็นทอประกายสีส้มเกิดเป็นภาพงดงามจับตา
ฉินอวี่เผลอกอดคอเจ้าชายแน่นขึ้นอย่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า “สวยมากเลย”
“ชอบไหม”
“ชอบสิครับ ใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว”
ถ้าเขามีบ้านแบบนี้นะ พ่อจะอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนเลย!
“ชอบก็ดีแล้ว” เอลเลียสวางฉินอวี่ลงกลางศาลา ก่อนจะยื่นมือไปดึงเก้าอี้ออกให้
“ขอบคุณครับ” แม้ปากจะขอบคุณ ทว่าเขากลับไม่อยากนั่งเสียอย่างนั้น ดวงตาสีน้ำทะเลลึกเอาแต่มองสอดส่ายไปทั่ว ทำท่าอยากเดินสำรวจมากกว่านั่งกินมื้อเย็น
เอลเลียสกระตุกยิ้มเอ็นดู รีบดันไหล่เงือกน้อยให้นั่งลง “รอหายเจ็บเอวก่อนนะ ถึงตอนนั้นนายอยากเดินสำรวจที่ไหนก็ไปได้เลย หรือจะลงไปเล่นในทะเลก็ได้ ยังไงคนนอกก็เข้ามาในแถบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว”
“จริงเหรอครับ” ฉินอวี่ตาเป็นประกาย ทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย
บนโต๊ะมีอาหารถูกเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว ล้วนแต่เป็นเมนูที่ทำจากสัตว์ทะเลทั้งสิ้น
“เหมือนผมกินเพื่อนตัวเองเลย” ฉินอวี่กระเซ้า ทว่าน้ำลายทำท่าจะไหลออกมารอมร่อ
เอลเลียสตักอาหารใส่จานคนตรงหน้า “จาคอปทำสุดฝีมือเลยนะ ลองชิมสิ”
ฉินอวี่เองก็ตักคืนเช่นกัน เลยกลายเป็นว่า นายตักให้ฉัน ฉันตักให้นาย ทำเอาทั้งคู่ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกัน
เมื่อมีอาหารเลิศรส รวมทั้งบรรยากาศที่แสนวิเศษพานทำให้มื้อนี้อร่อยมากกว่าที่ฉินอวี่เคยกินมาทั้งชีวิตเสียอีก ดวงตาสองสีสบประสานกันเป็นพัก ๆ ยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยอุ่นซ่านเหมือนกำลังอยู่ในเตาผิงก็ไม่ปาน
โครงหน้าหล่อเหลาคมคายท่ามกลางพระอาทิตย์ตกยามเย็นดูราวกับต้องมนต์สะกด ฉินอวี่เผลอมองหลายครั้งจนอีกฝ่ายสังเกตได้
เอลเลียสถามเสียงนุ่ม “มีอะไร หืม?”
“ผมแค่คิดว่าคุณหล่อมาก”
เจ้าชายที่โดนชมตรง ๆ อึ้งไปเล็กน้อย “เธอก็งดงามมากเหมือนกัน”
งดงามจนไม่อยากให้ใครได้เห็น
ทั้งคู่กินอาหารพร้อมกับชื่นชมทิศทัศน์ไปด้วย บางครั้งก็หันมาคุยกันเสียงเบา บรรยากาศผ่อนคลายสบายใจนี้ทำเอาจาคอปกับฟินน์ที่แอบมองดูอยู่ไกล ๆ รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
“ตั้งแต่ทำงานกับท่านเอลเลียสมา นี่เป็นครั้งแรกเลยครับที่เห็นเขายิ้มบ่อยขนาดนี้” เลขาหนุ่มค่อนข้างปลื้มใจมากเลยทีเดียว
กระนั้นคนที่ปลื้มใจมากกว่ากลับเป็นพ่อบ้านชราที่เลี้ยงเจ้าชายมาตั้งแต่เล็ก
“จริง ๆ ท่านเอลเลียสเป็นคนอ่อนโยน แต่พอราชินีจากไปก็เหมือนนำพาเอาความรู้สึกของท่านไปด้วย พอเห็นแบบนี้แล้วทำเอาคนแก่อยากร้องไห้เลยทีเดียว” พ่อบ้านชราพูดพลางยกผ้าซับหางตาแห้ง ๆ “ไม่ได้การล่ะ สุดสัปดาห์นี้จะต้องไปเคารพสุสานราชินีเพื่อบอกกล่าวสักหน่อย”
ฟินน์เหล่มองคนด้านข้างด้วยสายตาว่างเปล่า นี่ก็เว่อร์เกิ๊น!
กว่าคนทั้งสองจะทานอาหารกันเสร็จพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นเหนือท้องทะเล แสงจากหลอดไฟที่ประดับไว้รอบบริเวณศาลาทำให้บริเวณนี้ไม่มืดจนเกินไป ทั้งยังดูสวยงามไปอีกแบบ
ฉินอวี่เอนหลังพิงเก้าอี้ มือลูบท้องที่ป่องไปมา “อิ่มจะตายแล้ว”
“ใกล้ได้เวลาแล้วล่ะ” เอลเลียสพึมพำ ดวงตาเบนไปทางหนึ่งอย่างไม่เป็นที่สังเกต
“อะไรเหรอครับ?”
ยังไม่ทันได้คำตอบ ท้องฟ้าพลันปรากฏพลุหลากสีขึ้นมานับสิบนัด สะเก็ดไฟแตกกระจายราวกับดอกไม้นานาพรรณ ฉากหลังเป็นดวงจันทร์ทอสีเหลืองนวลเหมือนอยู่ในห้วงฝัน
“อาอวี่” เสียงทุ้มเอ่ยเรียก “ปีนี้และนับจากนี้ไปขอให้เธอมีแต่ความสุขนะ”
“คุณ...” ฉินอวี่อึ้งงันพูดไม่ออก
“ก่อนหน้านี้เธอบาดเจ็บอยู่ฉันเลยไม่ได้ฉลองด้วย ช้าไปหนึ่งวันคงไม่โกรธใช่ไหม”
เงือกผมทองก้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนหยาดน้ำตรงหางตา เสียงหวานพึมพำ “จะไปโกรธได้ไงครับ”
ให้ตายสิ การที่คุณทำแบบนี้มันจะทำให้ผมอยากอยู่ที่นี่ไปตลอดนะ