‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ชาย-ชาย,รัก,ยุคปัจจุบัน,ข้ามเวลา,แฟนตาซี,แฟนตาซี,โรแมนติก,นิยายวาย,yaoi,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ภารกิจเอาตัวรอดของเงือกมือใหม่‘ฉินอวี่’ ทะลุมิติมาพร้อมกับภารกิจสุดปวดหัว เดิมทีเขาคิดจะทิ้งภารกิจแล้วรอไปเกิดใหม่ แต่ระบบเฮงซวยดันบอกว่าหากภารกิจล้มเหลววิญญาณจะแตกดับ [ฉินอวี่ : แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้าง!!]
ฉินอวี่ ทะลุมิติมาเข้าร่างของหนุ่มน้อยที่มีหน้าและชื่อคล้ายตัวเอง ต่างกันตรงที่ร่างนี้เป็นเงือกและตายไปเพราะรักคนผิด
เขาเลยต้องมารับช่วงต่อพร้อมกับได้ภารกิจจัดการคนเฮงซวยที่เป็นต้นเหตุให้เจ้าของร่างต้องตาย
เขาไม่ใช่คนชอบสู้รบกับใครเสียด้วยสิ
ในขณะที่คิดว่าจะปล่อยให้ภารกิจล้มเหลวแล้วรอไปเกิดใหม่ ระบบเฮงซวยดันดักคอเสียก่อน
[ระบบ : หากตายครั้งนี้จะเท่ากับวิญาณแตกสลาย ไม่มีทางได้ไปผุดไปเกิดอีกตลอดกาล]
“ฉิบ”
โอเค ไอ้ระบบนี่ตัดทางรอดเขาจนหมดแล้วเรียบร้อย
ปกติช่วงสิ้นปีฉินอวี่จะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานจนเมาหัวทิ่ม หรือไม่ก็จัดทริปขึ้นเขาไปสูดอากาศบริสุทธิ์ เขาเคยคิดว่าช่วงเวลาเหล่านั้นมีความสุขมากแล้ว แต่ตอนนี้พอเอามาเทียบกับสิ่งที่เอลเลียสทำให้ มันช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ผมก็ขอให้คุณมีความสุขมาก ๆ สมหวังทุกสิ่งที่ต้องการนะครับ”
“อืม ฉันต้องสมหวังแน่นอน” เอลเลียสพยักหน้า นัยน์ตาทอประกายอ่อนโยนก่อนจะหันมามองหน้าเงือกน้อยข้างกาย
พลุหลากสีรูปร่างต่าง ๆ ถูกจุดขึ้นไปลูกแล้วลูกเล่าอย่างต่อเนื่อง กินเวลายาวนานหลายสิบนาที ฉินอวี่เงยหน้ามองแบบไม่ละสายตาแม้แต่นิดเดียว ภาพตรงหน้าสลักลึกลงไปในใจ
กระทั่งพลุดอกสุดท้ายจบลง บรรยากาศกลับมาเงียบสงบ ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือหมู่เมฆ ราวกับทุกสิ่งบนโลกไม่สามารถมากระทบมันได้
เอลเลียสเอ่ยขึ้น “กลับกันไหม”
ฉินอวี่ส่ายหน้าพลางยิ้ม “ผมขอนั่งดูอยู่แบบนี้สักพักนะครับ”
ชายผมดำพยักหน้า “ได้สิ”
หนึ่งมนุษย์หนึ่งเงือกจึงพากันนั่งชมทิวทัศน์อันเงียบสงบยามค่ำคืนโดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แม้พวกเขาจะไม่ได้สนทนากัน แต่บรรยากาศกลับดูอบอุ่นไม่มีแม้แต่ความอึดอัดเลยสักนิด
กระทั่งผ่านไปอีกราวชั่วโมง พ่อบ้านชราที่เฝ้าอยู่ไม่ไกลจึงได้เข้าไปแจ้งให้คนทั้งคู่รีบกลับเข้าไปพักผ่อนได้แล้ว
“ก็ได้ครับ” หนนี้ฉินอวี่ไม่อิดออด ปีนขึ้นหลังเจ้าชายของประเทศนี้เพื่อกลับห้องอย่างว่าง่าย
ถ้าไปเล่าให้ใครฟัง จะมีคนเชื่อไหมเนี่ยว่าเขามียานพาหนะเป็นถึงเจ้าชาย!
ขากลับนั้นไวกว่ามาก ไม่นานก็มาถึงห้องพักแขก เอลเลียสวางคนบนหลังลงอย่างเบามือ “ตอนนี้ดึกแล้ว เธอรีบพักผ่อนหน่อยนะ พรุ่งนี้ฉันจะพาออกไปข้างนอก”
ฉินอวี่เงยขวับ แววตามีร่องรอยของความสงสัย “ไปได้เหรอครับ”
อย่าลืมว่าตอนนี้เขาคือหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่อยู่กับแวมไพร์ ลำพังแค่ไม่ต้องโดนจับไปสืบสวนก็คงทำให้ทางการคันไม้คันมือจะแย่แล้วมั้ง อีกทั้งเรื่องก็เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน ข่าวยังร้อนแรงอยู่ ถ้าออกไปตอนนี้มันจะไม่แย่เอาเหรอ
เอลเลียสมองดวงตาสีน้ำเงินก็เข้าใจในสิ่งที่เงือกน้อยคิดทั้งหมด ชายหนุ่มพูดราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ “ไปกับฉันเธอไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น”
ปอยผมสีทองอ่อนที่คลอเคลียอยู่ตรงแก้มขาวทำให้เอลเลียสรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจเหมือนมีแมวมาข่วนไม่หยุด เขาสูดหายใจลึกพลางพูดต่อ “เห็นเธอบอกว่าเบื่อ ในฐานะเจ้าบ้านฉันเลยอยากจะพาเธอออกไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้นก็โอเค” ฉินอวี่ตาวาว อดคาดหวังขึ้นมาไม่ได้ “แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอครับ”
เอลเลียสยิ้ม “งานสำคัญ ๆ ฉันเคลียร์ไปเกือบหมดแล้ว โดดสักวันก็ไม่เป็นไรหรอก”
ประโยคนี้หากฟินน์มาได้ยินเข้าจะต้องอยากกระอักเลือดออกมาพ่นใส่หน้าเจ้านายอย่างแน่นอน เพราะถ้าเอลเลียสไม่ทำ คนที่ต้องรับช่วงแทนก็ไม่พ้นผู้เป็นเลขาสารพัดประโยชน์แบบเขา
หลังเจ้าชายของประเทศจากไป ฉินอวี่ตรงเข้าไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ออกมานั่งเล่นโน้ตบุ๊กบนเตียงด้วยความผ่อนคลาย แก้มนุ่มเจือไปด้วยสีแดงจากการอาบน้ำร้อน เส้นผมชื้นแนบไปตามกรอบหน้าอย่างน่ามอง
ปลายนิ้วเรียวรัวแป้นเพื่อพิมพ์ข้อความหาแวมไพร์ที่อยู่คนละประเทศ
เงินจำนวนสองแสนที่ขอยืมมาจากคุณเอลถูกโอนมาให้ทันทีหลังจากแยกกับอีกฝ่าย แน่นอนว่าเขาไม่รีรอที่จะกดโอนต่อทันที
[เลวี่ : หาเงินไวขนาดนี้เชียว? ที่จริงฉันก็ไม่ได้เร่งนายเพราะเข้าใจว่ากำลังลำบากอยู่ที่ต่างประเทศ ฉันชักอยากจะรู้แล้วสิว่านายไปเอาเงินมาจากไหน ปล้นมาเหรอ]
“คุณเห็นผมเป็นคนยังไงครับ” ฉินอวี่คิ้วกระตุกกับข้อสันนิษฐานของแวมไพร์
[เลวี่ : หรือนายขายไข่มุกให้คนที่นู่น รู้ไหมมันอันตรายนะ!]
ถ้าไม่ติดว่ายังต้องพึ่งหมอนี่ อีกทั้งเลวี่ยังอายุเยอะกว่าเขาหลายเท่าตัว ฉินอวี่ก็อยากด่าแวมไพร์แรง ๆ สักที
“ผมไม่ได้โง่นะ แล้วนี่คุณจะสงสัยเรื่องผมหาเงินมาจากไหนทำไมเนี่ย”
[เลวี่ : ฉันก็แค่เป็นห่วงตามประสาเพื่อนก็เท่านั้น]
“...” ฉินอวี่กลอกตา ดูก็รู้ว่าเจ้าแวมไพร์นี่แค่อยากกินเผือกก็เท่านั้น
[เลวี่ : ไม่ล้อเล่นแล้ว] แวมไพร์เริ่มเข้าโหมดจริงจัง
[เลวี่ : ฉันให้ลูกน้องออกเดินทางตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว คาดว่าน่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า จากนั้นก็เริ่มออกทำงานทันที เพื่อความปลอดภัย เจ้าพวกนั้นจะไม่ติดต่อกับนายโดยตรงแต่จะแจ้งเบาะแสผ่านทางฉัน และฉันจะเป็นคนมาบอกนายอีกที]
ฉินอวี่ตกใจจนตาโต เขาเพิ่งจ่ายมัดจำไปเมื่อเช้าเองนะ!
“รีบขนาดนี้ไม่กลัวผมเบี้ยวเงินที่เหลือหรือไง”
[เลวี่ : นายไม่ทำหรอก]
จากนั้นแวมไพร์ก็ส่งรูปถ่ายของลูกน้องชาวมนุษย์สองคนมา ฉินอวี่มองจนตาค้างไปอีกรอบ
“...” อาซีกับลูแปง!!
ถ้าถามว่าสองคนนี้คือใครละก็...
ทั้งคู่ก็คือชายนักเลงที่เขาไปเดินชนจนจมูกเกือบหักที่ย่านศูนย์การค้าในตอนที่นัดเจอบลัดยังไงล่ะ!
อะไรมันจะโลกกลมขนาดนี้เนี่ย
ทว่าสิ่งที่ฉินอวี่ไม่รู้ก็คือ เลวี่นั้นรู้อยู่แล้วว่าทั้งสามคนเคยเจอกัน แถมยังรู้อีกด้วยว่าเงือกเซ่อซ่าไปชนลูกน้องของตัวเองจนเกือบโดนต่อยเข้าแล้ว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เลวี่เลือกสองคนนี้ไปทำงาน เพราะเจ้าพวกนี้ถือว่าเป็นคนคุ้นหน้าของฉินอวี่ อีกทั้งยังเป็นลูกน้องเผ่ามนุษย์ที่เขาไว้ใจที่สุด
ฉินอวี่กลืนความสงสัยลงคอ ก่อนเอ่ยถามในเรื่องสำคัญแทน “สองคนนั้นเป็นมนุษย์ จมูกไม่น่าจะดีเหมือนคุณ แล้วจะตามฉีเฟิงได้เหรอครับ”
[เลวี่ : ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกน้องของฉันเลยนะ ถ้าแค่เรื่องดมกลิ่นยังทำไม่ได้ก็ไม่ควรเลี้ยงเอาไว้ให้เปลืองอาหาร]
เผ่าแวมไพร์นั้นนอกจากจะสามารถถ่ายทอดเผ่าพันธุ์ตัวเองได้แล้ว ยังมีความสามารถในการปกครองเผ่าพันธุ์อื่นโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องกลายเป็นแวมไพร์อีกด้วย
การจะเปลี่ยนมนุษย์เป็นแวมไพร์ มนุษย์คนนั้นจะต้องดื่มเลือดของแวมไพร์และโดนกัดจนพิษจากเขี้ยวซึมเข้าร่างกาย วิธีนี้จะไม่สามารถควบคุมและบงการแวมไพร์เทียมได้
แต่การทำให้เผ่าพันธุ์อื่นอยู่ใต้อาณัติกลับเรียบง่ายกว่ามาก เพียงแค่พวกเขาดื่มเลือดแวมไพร์เท่านั้น
ด้วยวิธีนี้ เลือดที่แข็งแกร่งกว่าก็เข้าไปไหลเวียนในร่างกายเพื่อทำการกดข่มและควบคุม ทำให้ไม่มีใครกล้าทรยศผู้เป็นนาย อีกทั้งวิธีนี้ยังจะทำให้ร่างกายของข้ารับใช้แข็งแรงขึ้นและยังมีความสามารถพิเศษเพิ่มตามไปแต่ละบุคคล
อย่างอาซีนั้นจะมีร่างกายที่แข็งแรงว่องไว ส่วนลูแปงก็มีจมูกที่รับกลิ่นได้ดีและดวงตาที่มองเห็นชัดในความมืด
ทั้งที่แวมไพร์อันดับหนึ่งคนนี้ดูจะเป็นคนเอาแต่ใจ ติดเล่น แต่พอได้มาร่วมงานกันหลายครั้ง ฉินอวี่กลับพบว่าเลวี่เป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดรอบคอบมากทีเดียว
ฉินอวี่ “ขอบคุณนะครับ ไว้ถ้าได้เจอกันอีกให้ผมได้เลี้ยงข้าวคุณนะ”
[เลวี่ : ไม่ต้องหรอก นายได้งาน ฉันได้เงิน วินวิน อีกอย่างตอนนี้ควรมาลุ้นกันก่อนว่าเจ้าลูกหมาสองคนนั้นมันจะหาฉีเฟิงเจอไหม]
“นั่นสินะ”
อย่างที่เลวี่บอกนั่นแหละ ตอนนี้ควรโฟกัสเรื่องด่วนก่อน เพราะถ้าภายในหนึ่งเดือนนี้พวกเขายังจับฉีเฟิงไม่ได้ ก็เลิกคิดเรื่องเลี้ยงข้าวแวมไพร์ได้เลย
ฉินอวี่อ้าปากหาวหวอดจนน้ำตาซึม ดวงตาที่เคลือบไปด้วยม่านน้ำเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้สี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ทั้งที่ปกติตัวเองก็นอนดึกเป็นประจำ แต่พอไม่ต้องไลฟ์ดันรู้สึกง่วงง่ายกว่าปกติมากทีเดียว
เขารีบบอกลาเลวี่ ก่อนจะปิดไฟแล้วล้มตัวนอนอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความฝันขมุกขมัว ม่านหมอกหนาทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น จู่ ๆ พลันปรากฏภาพฉีเฟิงอยู่ในคุก
อีกฝ่ายกำลังโวยวายไม่ได้สติ ฉินอวี่ดีใจอ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วภาพตรงหน้ากลับตัดไปเป็นใบหน้าซีดเผือดของเอลเลียส ดวงตาสีม่วงหม่นแสงจ้องมาที่มือของเขาไม่วางตา
ฉินอวี่ก้มมองตาม ก่อนจะเห็นว่ามือตัวเองกำลังจางลงจนมองทะลุเห็นพื้นได้ เขาทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ ทั้งที่เมื่อกี้ยังเห็นฉีเฟิงอยู่ในคุกแท้ ๆ แล้วทำไมเขายังจะหายไปล่ะ
ภารกิจล้มเหลวงั้นเหรอ
มือเรียวสวยที่จางจนปลายนิ้วหายไปเกือบหมดยื่นออกไปหาคนผมดำตรงหน้า ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้สัมผัสกัน ฉินอวี่ก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา
ดวงตาสีน้ำเงินมองเพดานห้องพักสุดหรูด้วยความเหม่อลอย หยาดน้ำเปียกชื้นไหลออกมาจากหางตาก่อนจะเปลี่ยนเป็นไข่มุกเม็ดวาวหล่นลงบนหมอนอย่างไม่รู้ตัว
ฉินอวี่หอบ หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอน ศีรษะและแผ่นหลังเปียกชุ่ม
“ฝันสินะ” เสียงที่เอ่ยออกมาแหบพร่าราวกับคนป่วย
ร่างผอมบางลุกขึ้นมานั่งช้า ๆ มือข้างที่ไม่มีแผลยกขึ้นเสยผมด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
ฝันบ้านั่นมันทั้งเหมือนจริงและไม่เหมือนจริง แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกอึมครึมสุด ๆ หลังจากนั่งปรับอารมณ์ได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างรู้เวลา
“ท่านอวี่ตื่นหรือยังครับ”
ฉินอวี่มองนาฬิกา ตอนนี้เจ็ดโมงแล้ว ชายหนุ่มสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ “ตื่นแล้วครับ”
เมื่อได้รับคำตอบจากคนด้านใน จาคอปจึงเอ่ยปากขออนุญาตก่อนจะเดินนำชุดเข้ามาให้ “นายท่านแจ้งว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะขึ้นมารับ ท่านอวี่ต้องการความช่วยเหลือไหมครับ”
ฉินอวี่รีบโบกมือ “วันนี้ผมดีขึ้นมากแล้วครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง แล้วก็ฝากบอกคุณเอลด้วยว่าผมจะลงไปเองนะครับ”
“รับทราบครับ” จาคอปก้มศีรษะให้เงือกอย่างนอบน้อม
รอจนเงือกผมทองเดินเอื่อยเข้าห้องน้ำไป พ่อบ้านชราจึงเริ่มลงมือเก็บที่นอนให้ตามปกติ แต่ในขณะที่กำลังจะจัดหมอน ดวงตาที่แม้จะฝ้าฟางไปตามกาลเวลากลับเห็นสิ่งของเม็ดกลมสีขาวนวลร่วงอยู่ข้างหมอนหลายเม็ด
พ่อบ้านหรี่ตาลง หันใบหน้าไปมองทางห้องน้ำที่มีเสียงน้ำแว่วออกมา ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วลงมือเก็บของบนเตียงวางในผ้าอย่างระมัดระวัง กระทั่งเก็บจนหมดก็ห่อเอาไว้ จากนั้นรีบจัดการเตียงให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไปทันที
จาคอปอาศัยอยู่ในประเทศนี้มาทั้งชีวิต ตระกูลของเขารับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ไม่เคยแม้แต่จะออกไปนอกประเทศหรือได้สัมผัสกับเหล่าอมนุษย์ที่มีอยู่ทั่วโลก ในด้านความรู้เชิงลึกจึงแทบจะเป็นศูนย์
กระทั่งนายท่านพาเงือกตนหนึ่งกลับมาดูแล ซ้ำยังมีทีท่าว่าจะอยู่ในตำแหน่งพิเศษ จาคอปที่เป็นพ่อบ้านจึงจำต้องหาข้อมูลของเงือกเอาไว้เพื่อให้สะดวกต่อการดูแลอีกฝ่าย และสิ่งหนึ่งที่พ่อบ้านชราอ่านเจอก็คือ ไข่มุกเงือก
ไข่มุกเงือกจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเงือกหลั่งน้ำตา นั่นมันหมายความว่าอะไรเล่า
มันก็หมายความว่าท่านอวี่ร้องไห้ไม่ใช่หรือไงกัน
ชายชราประคองห่อผ้าราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าลงมาจากชั้นบน เอลเลียสนั่งจิบกาแฟอ่านข่าวรออยู่ในห้องอาหารด้วยท่าทางผ่อนคลาย บรรยากาศอ่อนโยนโอบล้อมรอบกาย ก่อนที่มันจะถูกทำลายลงด้วยของบางสิ่งที่พ่อบ้านนำมาให้
ชายผมดำมองของบนโต๊ะ มือที่กำลังยกแก้วกาแฟชะงัก ดวงตานิ่งค้าง “นี่...”
พ่อบ้านเอ่ยเสียงค่อย “พบอยู่ข้างหมอนของท่านอวี่ครับ”
เอลเลียสขมวดคิ้วฉับ ทำท่าจะลุกขึ้นไปชั้นบนทว่ากลับโดนพ่อบ้านเบรกเอาไว้ “ท่านอวี่บอกว่าจะลงมาเองครับ”
แต่มีหรือที่คนเป็นเจ้าชายจะฟัง ตอนนี้เขาไม่สบายใจมาก ไม่มีทางทำใจนั่งรอไหวแน่นอน เอลเลียสก้าวยาว ๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
อาอวี่ร้องไห้ทำไม