“เซเลส”ได้พลีชีพปกป้องกาแล็กซี่ แต่เขากลับตื่นขึ้นมาในโลกใบใหม่ การกลายพันธ์ุ/วิวัฒนการ การใช้ชีวิตหลังเกษียณเขาก็ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอีกหรอ ร่ายกายที่ปวกเปียกนี้คืออะไร กล้ามเขาหายไปไหนหมด!!

ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ! - ตอนที่3 3 โดย Girl obsess @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,แอคชั่น,ไซไฟ,เลือดสาด,ตะวันตก,เอาขีวิตรอด,เกิดใหม่ ,นายเอกเก่ง,วันสิ้นโลก,ซอมบี้,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,แอคชั่น,ไซไฟ,เลือดสาด,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

เอาขีวิตรอด,เกิดใหม่ ,นายเอกเก่ง,วันสิ้นโลก,ซอมบี้

รายละเอียด

“เซเลส”ได้พลีชีพปกป้องกาแล็กซี่ แต่เขากลับตื่นขึ้นมาในโลกใบใหม่ การกลายพันธ์ุ/วิวัฒนการ การใช้ชีวิตหลังเกษียณเขาก็ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอีกหรอ ร่ายกายที่ปวกเปียกนี้คืออะไร กล้ามเขาหายไปไหนหมด!!

ผู้แต่ง

Girl obsess

เรื่องย่อ

#ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข....ก็บ้าละ!


...


แนะนำเรื่อง




เซเลส จอมพลผู้ยิ่งใหญ่ในวัยเก้าสิบห้าปีที่อยู่ในระหว่างการทำภารกิจครั้งสุดท้ายก่อนปลดเกษียณไปใช้ชีวิตที่สงบสุข กลับต้องมาพลีชีพทำลายดาวฤกษ์ที่พร้อมจะกลายเป็นหลุมดำเขมือบทั้งกาแล็กซี


แต่มันจบแค่นั้นก็ดีสิ! เขาดันกระเด็นมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยการกลายพันธุ์และได้ร่างใหม่เป็นเผ่าพันธุ์ที่แสนจะอ่อนแอ โดยที่ไม่รู้เลยว่าการมาของเขานั้นทำให้โลกทั้งใบตกอยู่ในมหันตภัยครั้งใหญ่ เซเลสตื่นขึ้นมาหลังจากหลับใหลไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ คำถามแรกคือ อาวุธของเขาอยู่ไหน?


//////////


เซเลสเดินตรงเข้าไปหาผู้ควบคุมอันดับหนึ่ง"นี่ ขออาวุธฉันคืนได้รึเปล่า? พอดีฉันทำมันหล่น "


ถึงแม้คนตรงหน้าจะไม่ได้อ้าปากพูดสักประโยค แต่เสียงของอีกฝ่ายกลับดังก้องอยู่ภายในหัวของผู้ควบคุมอันดับหนึ่ง


ผู้ควบคุมอันดับหนึ่ง ก้มลงมองคนตรงหน้าที่มีส่วนสูงเท่าหน้าอกของเขาเท่านั้น


เขาตบกระเป๋ากางเกงเบาๆ


"อืม ผมน่าจะลืมมันไว้บนห้อง"


"..." เซเลส


"..." อาวุธ






คำเตือน


เนื้อหามีความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ


....

สารบัญ

ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!-ตอนที่1 1,ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!-ตอนที่2 2,ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!-ตอนที่3 3,ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!-ตอนที่4 4,ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!-ตอนที่5 5,ชีวิตหลังเกษียณที่แสนจะสงบสุข...ก็บ้าละ!-ตอนที่6 6

เนื้อหา

ตอนที่3 3


เสียงปืนดังสนั่นและเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังมาจากบนศีรษะของเขา เซเลสจึงเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเขาเดินมาถึงเสียงปืนและเสียงฝีเท้าเหล่านั้นกลับเงียบหายไป


เมื่อมีบางอย่างผิดปกติเซเลสเลือกที่จะเดินเท้าต่อเพื่อหาท่อขึ้นไปด้านบนที่ไกลออกไปจากบริเวณนั้น พอขึ้นมาได้เซเลสก็ต้องตกใจกับสภาพของเมืองนี้ ท้องฟ้าแจ่มใส รอบๆ เต็มไปด้วยตึกร้างบางตึกเหลือแค่ซากปรักหักพัง มีซากรถกระจัดกระจายไปตามถนนและไร้ผู้คน


อา ชีวิตหลังเกษียณของเขาคงไม่สงบสุขอย่างที่คิด ดาวดวงนี้เรียกได้ว่ากำลังเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่


เซเลสเดินออกไปจากซอกตึกเล็กน้อย มองไปยังทิศทางก่อนหน้านี้ที่มีเสียงปืน เขาเห็นมนุษย์สามคนกำลังเดินเข้าไปภายในตึก พวกนั้นคงเป็นกลุ่มที่รอดชีวิต


แต่ยืนได้ไม่นานนักเซเลสก็ต้องถอยกลับเข้ามาในซอกตึก เขารู้สึกร้อนและแสบผิวมากเหมือนข้างนอกนั่นสามารถย่างสดเขาได้เลย


ในชีวิตเก่าเขาผ่านสภาวะอากาศที่เลวร้ายมาเยอะ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อเขาสักเท่าไหร่เพราะร่างกายมีผิวหนังที่หนากว่าเผ่าพันธุ์อื่น


ยังดีที่เขาเอาเสื้อคลุมและถุงมือติดมือมาด้วย


เซเลสจัดการใส่เสื้อคุมกับถุงมือให้เรียบร้อย เช็กจนแน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนของเขาที่โผล่พ้นออกมา


กฎข้อที่หนึ่ง ในการไปเยือนดวงดาวที่ตนไม่รู้จักคือ การออกสำรวจและเก็บเกี่ยวข้อมูล


ก่อนที่เขาจะออกตามหาเลนน็อทซ์ เขาต้องเรียนรู้และทำการสำรวจที่นี่ซะก่อน เพราะเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เขาคิดว่าถ้ามองที่นี่จากมุมสูงคงทำให้เห็นภาพมุมกว้างของเมืองได้ชัดขึ้นอีกอย่างเขาต้องการหลีกเลี่ยงพวกมนุษย์


เซเลสกำลังใช้สมองประมวลผลอย่างหนักว่าจะเริ่มต้นสำรวจจากตรงไหนก่อนดี เขามักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางอยู่บ่อยครั้ง เคยหลงทางจนสหพันธุ์ดวงดาวต้องตามหากันจ้าละหวั่น หรือแม้แต่เส้นทางที่เคยผ่านไปมาเเล้วสองสามรอบ


แต่ทว่าเขาไม่ได้มีปัญหาต่อความจำหรอกนะ สมัยหนุ่มๆ เขาเรียนได้อันดับท็อปๆ ของห้องตลอด หรือบางทีเขาอาจจะแก่แล้วก็ได้


กรี๊ดดดดดด!!!!


ในระหว่างที่เซเลสกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น ห่างออกไปประมาณสักสองช่วงตึกได้ เซเลสไม่รอช้ากระโดดพุ่งขึ้นตึกทันที


เซเลสเพ่งมองกลุ่มคนนับสิบที่วิ่งตามถนนจากด้านบนตึก ดูเหมือนว่าคนพวกนี้กำลังวิ่งหนีตัวอะไรสักอย่าง


สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์และไม่คล้ายในเวลาเดียวกัน


ลักษณะของมันเหมือนซากศพ ผิวหนังแห้งติดกระดูก ใบหน้ามีแผลผ่ากลางขนาดใหญ่เริ่มตั้งแต่หน้าผากยาวลงไปถึงหน้าท้อง ภายในท้องเละจนเห็นอวัยวะและกระดูกข้างในมีสีคล้ำ มีน้ำสีดำไหลออกจากบาดแผลและปาก ไม่มีเส้นผม กระดูกหักงอผิดรูป กระดูกช่วงแขนงอกยาวถึงตาตุ่ม เสื้อผ้าขาดไม่เป็นชิ้นดี และมันเคลื่อนไหวเร็วพอสมควร


ที่นี่มีสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะแตกต่างกันเยอะมาก เหมือนสิ่งมีชีวิตทุกๆ ดวงดาวมารวมกันอยู่ที่นี่หมด เดาได้ว่าคงต้องมีลักษณะอื่นๆ อีกเป็นแน่


“#$%@!@##$@@#!!!”


“$%$$$^!#@&*^%^&%$$###!!!”


“$%$##$#@##$%%#^^%$$@!*&$#$#$@$$$%$”


เซเลสได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างกลุ่มคนด้านล่างถึงกับชะงัก เขาเอียงศีรษะตามด้วยขมวดคิ้วแน่น


...เขาฟังไม่รู้เรื่อง


เซเลสยกมือขึ้นมากุมขมับ เขาลืมเรื่องภาษาของที่นี่ไปได้ยังไง


ตอนนั้นเองผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเริ่มวิ่งช้าลงเรื่อยๆ เธอพยายามที่จะจับแขนผู้หญิงอีกคนเอาไว้แต่อีกฝ่ายกลับสะบัดมือเธอทิ้งทำให้เธอล้มลง


ผู้หญิงคนนั้นพยายามลุกขึ้นแต่ก็ช้าไปเพราะสิ่งมีชีวิตประหลาดที่วิ่งตามหลังมากระโดดใส่เธอ คนที่เหลือต่างวิ่งขึ้นรถที่จอดอยู่และขับออกไปทันที


เซเลสไม่แปลกใจนักกับพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหน เมื่อมีสถานการณ์บีบบังคับเราทุกคนต่างแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา เขาหยิบคริสตัลเลือดขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วปาใส่ศีรษะสิ่งมีชีวิตประหลาดที่กำลังกัดฉีกกระชากผู้หญิงคนนั้นอยู่ มันชะงักและเงยหน้ามองสิ่งที่กระเด็นมาอยู่ตรงด้านหน้ามัน ทันใดนั้นมันก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากสิ่งนั้น


สิ่งมีชีวิตประหลาดเริ่มเกิดอาการตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ภายในหัวของมันมีแต่คำว่า ภัยคุกคาม ๆ ๆ ๆ


จากนั้นมันก็กรีดร้องเสียงดังแล้ววิ่งหนีไปอีกทาง


เซเลสละสายตาจากสิ่งมีชีวิตประหลาดและมองไปยังผู้หญิงที่นอนอยู่กลางถนน เธอโดนกัดเข้าที่บริเวณลำคอและหน้าอกเป็นแผลเหวอะหวะ ดูโดยรวมเธอคงไม่รอด


ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ จากร่างกายที่นอนแน่นิ่งก็เกิดการชักกระตุกอย่างรุนแรง เซเลสเฝ้ามองร่างนั้นอย่างจดจ่อ ต่อจากนั้นร่างกายของเธอก็เริ่มบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว เส้นผมของเธอหลุดร่วงออกเป็นกระจุก มีน้ำไหลออกจากผิวหนังส่งผลให้ทั่วร่างเริ่มแห้งติดกระดูก กระดูกแขนงอกยาว ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนร่างสมบูรณ์ ซึ่งสภาพร่างกายภายนอกไม่ต่างจากไอ้ตัวเมื่อกี้เลย


จากนั้นมันค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและเดินลากเท้าไปตามถนน ใบหน้าของเซเลสเต็มไปด้วยความตึงเครียด เขาเฝ้ามองสถานการณ์ตรงหน้าตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขาเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับที่นี่ สิ่งมีชีวิตประหลาดนั้นกัดไม่ใช่เพื่อกินอย่างเดียวแต่เพื่อแพร่เชื้อด้วย


สิ่งสำคัญคือ ร่างกายที่ติดเชื้อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เขาสงสัยก็คือทำไมถึงมีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีลักษณะไม่เหมือนกันเลยอยู่เยอะขนาดนี้ เช่น ตัวที่เขาเจอในท่อระบายน้ำ ตัวที่โจมตีกลุ่มมนุษย์สามคนนั้น และก็ตัวนี้อีก พวกมันเกิดจากเชื้อเดียวกันแน่หรือ




เมืองหลัก


ภายในตึกสูงในกลางเมือง เสียงฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบเเฝงไปด้วยความหนักแน่นนับสิบตรงไปที่ห้องวิจัยขนาดใหญ่


ฮาร์คินส์ คาลเซอร์ ตำแหน่งผู้ควบคุมอันดับหนึ่ง มนุษย์ทดลองที่ประสบความสำเร็จในการวิวัฒนาการมากที่สุด เขามีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ กว่ามนุษย์ปกติอยู่มากหรือแม้กระทั่งมนุษย์ที่ผ่านวิวัฒนาการด้วยกันเอง


ชายหนุ่มใส่ชุดเกาะเหล็กสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย หน้ากากเหล็กสีเดียวกับชุดเกาะเรียบเนียบไร้ลวดลาย โพกผ้าคุมศีรษะสีน้ำตาลเข้มออกเขียวแก่ดูเผินๆ เขาดูเหมือนหุ่นยนต์รบขนาดยักษ์ซะมากกว่า


“เกิดอะไรขึ้นกับมิทิเออ?” ฮาร์คินส์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะที่เดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มผู้ควบคุมอีกสองคนประกอบไปด้วย ไคล์และเลค


นักวิจัยทุกคนในห้องต่างลุกฮือขึ้นทำความเคารพต่อผู้ควบคุมอันดับหนึ่ง ผู้ยับยั้ง และมนุษย์วิวัฒนาการที่สมบูรณ์และแข็งแกร่งที่สุด


“ท่านคะ! ก่อนหน้านี้คลื่นพลังงานจากมิทิเออ จู่ๆ ก็ดับกะทันหันแบบไม่ทราบสาเหตุ ดับไปห้านาที สักพักคลื่นพลังงานก็กลับมาเสถียรเหมือนเดิมค่ะ” มายาหนึ่งในผู้วิจัยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“แต่ถึงจะกลับมาคลื่นพลังงานที่มิทิเออปล่อยออกมาก็ยังไม่คงที่สักเท่าไหร่ มิทิเออไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เหมือนกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นและมันส่งผลต่อมิทิเออ”


“มิทิเออมีอะไรแปลกก่อนที่จะดับหรือเปล่า?” ฮาร์คินส์


“มีอุณหภูมิสูง แล้วก็สั่นเป็นช่วงๆ ค่ะ” มายา


“งั้นหรือ” ฮาร์คินส์เอ่ยพลางมองตรงไปที่มิทิเออที่ลอยอยู่ภายในกล่องกระจกนิรภัยขนาดใหญ่อย่างกังวล มิทิเออมีอาการเหมือนกับมิทิเออขนาดเล็กที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา มันส่งผลต่อมิทิเออทุกอันในเวลาเดียวกัน


การที่มิทิเออหยุดปล่อยคลื่นกะทันหันทำให้มิวแทนท์ที่อยู่ในบริเวณรอบๆ เมืองหลักต่างวิ่งเข้ามาโจมตีเมืองถึงแม้จะมีกำแพงป้องกันแต่ก็ไม่สามารถต้านพวกมันไว้นานนัก กองกำลังทหารมนุษย์วิวัฒนาการจึงต้องออกไปต้านพวกมันไว้อีกแรง จนกว่ามิทิเออจะกลับมาปล่อยคลื่นพลังงานอีกครั้งก็ทำให้ทหารเสียชีวิตไปหลายนาย


ฮาร์คินส์มองดูมิทิเออด้วยความตึงเครียด ตั้งแต่ค้นพบเมื่อหลายปีก่อนมิทิเออก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ มีบางอย่างกำลังรบกวนมิทิเออ แล้วมันคืออะไรละ


มิทิเออคือคริสตัลที่รัฐบาลโลกค้นพบเมื่อหลายปีก่อน


หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตไม่นาน พวกเขาก็ค้นพบคริสตัลสีเขียวขนาดเท่ามนุษย์ธรรมดาฝังตัวอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการบุกรุกของมิวแทนท์ นักวิจัยจึงทำการตรวจสอบและรู้ว่าคริสตัลพวกนี้ปล่อยคลื่นบางอย่างออกมาเป็นบริเวณกว้างโดยที่พวกเขาหาคำตอบไม่ได้


ต่อจากนั้นได้มีการออกค้นหาคริสตัลอีกเรื่อยๆ และส่งไปยังเขตกักกันต่างๆ เพื่อป้องกันการบุกรุกจากมิวแทนท์


พวกเขาตั้งชื่อเรียกคริสตัลเหล่านี้ว่า มิทิเออ จำนวนของมิทิเออมีน้อยมาก มีแค่ในเมืองหลักกับเขตกักกันเท่านั้น และมีเขาที่ได้รับการยกเว้นให้ถือมิทิเออขนาดเล็กไว้กับตัวเพราะต้องออกไปทำภารกิจสำคัญนอกเมืองตลอดเวลา และปัจจุบันไม่มีการค้นพบมิทิเอออีก ทำให้มิทิเออตอนนี้มีจำนวนน้อยมากๆ ไม่สมควรที่จะนำออกไปใช้อย่างอื่นไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม


“ถ้ามีบางอย่างรบกวนมิทิเออจริงๆ นั้นก็แสดงว่าเป็นสิ่งที่อัตรายมากๆ” ผู้ควบคุมเลคพูดขึ้น


“นายกำลังบอกว่ามีสิ่งอื่นที่เหนือธรรมชาติกว่ามิทิเอออีกหรือ ลำพังแค่มิทิเออเราก็ยังหาที่มาที่ไปของคลื่นพลังงานที่ปล่อยออกมาไม่ได้เลย” ผู้ควบคุมไคล์


การแผ่คลื่นพลังงานได้ของมิทิเออยังอยู่ในการศึกษาเพราะมันยากมากที่จะหาคำตอบ มิทิเออได้ฉีกกฎและทฤษฎีต่างๆ ไปหลายเรื่อง


ในตอนนั้นเองก็มีผู้ควบคุมอีกสองคนเดินเข้ามา


“ฮาร์คินส์ เขตกักกันทั้งห้าที่ติดต่อมาว่ามิทิเออเกิดดับกะทันหันเหมือนกันและอยากให้เราไปตรวจสอบให้หน่อย” ผู้ควบคุมคาสันเอ่ย


“และตอนนี้มีประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เข้าไปที่เขตกักกันที่ห้ามากขึ้น เฉลี่ยคนที่เกิดการวิวัฒนาการมีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์” ผู้ควบคุมเจสซี่ที่เดินเข้ามาพร้อมคาสันเอ่ยขึ้น


“นั่นเป็นเปอเซ็นต์ที่น้อยมาก” ไคล์


“ส่งข้อความถึงเขตกักกันทั้งหมดว่าเรากำลังจะออกเดินทาง” ฮาร์คินส์