เวหานครที่สงบสุขของสององค์ชาย อาเธดีสและอโลก้า ถูกทำลายด้วยสึนามิหมอกดำขนาดเท่าภูเขา พวกเขาจึงต้องออกแสวงหาเออกอนพระเจ้าเพื่อมาหยุดยั้งมหาภัยพิบัตินี้ ทว่าเบื้องหลังขุมพลังที่มีอำนาจในการสร้างโลกอมตะ มีเดิมพันดำมืดที่ต้องแลกเปลี่ยน ชะตากรรมของทั้งอาณาจักรจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสอง

Soulpolis นครเวหาสมุทร - บทที่ ๔ โซลโพลิส (1/1) โดย S.T. Ratindh @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ,ไฮแฟนตาซี,นางเอกเด็ก,BlueSaga,รตินธร์,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Soulpolis นครเวหาสมุทร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,ไฮแฟนตาซี,นางเอกเด็ก,BlueSaga,รตินธร์,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,แฟนตาซี

รายละเอียด

เวหานครที่สงบสุขของสององค์ชาย อาเธดีสและอโลก้า ถูกทำลายด้วยสึนามิหมอกดำขนาดเท่าภูเขา พวกเขาจึงต้องออกแสวงหาเออกอนพระเจ้าเพื่อมาหยุดยั้งมหาภัยพิบัตินี้ ทว่าเบื้องหลังขุมพลังที่มีอำนาจในการสร้างโลกอมตะ มีเดิมพันดำมืดที่ต้องแลกเปลี่ยน ชะตากรรมของทั้งอาณาจักรจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสอง

ผู้แต่ง

S.T. Ratindh

เรื่องย่อ

ดินแดนแห่งแผ่นสมุทรลอยฟ้าทั้งเจ็ดกับการแสวงหาดวงพลังเออกอนที่มีอำนาจดุจเทพเจ้า ในยุคสมัยที่โลกสร้างนิรันดร์นครในอุดมคติ ด้วยวิทยาการผนึกจิตวิญญาณมนุษย์และสังเคราะห์ร่างอมตะ ทว่าทุกสรรพสิ่งล้วนต้องมีสิ่งชดเชย แล้วสิ่งใดเล่า คือ ค่าตอบแทนของโลกที่มนุษย์ไม่มีวันตาย?!




*ข้อมูลเบื้องต้น : วิทยาการเออกอน


แกนโลก คือ จุดศูนย์รวมพลังงานทั้งหมดของโลกธาตุ ก่อกำเนิดสายธารแห่งพลังหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งในผืนโลกให้ดำรงอยู่ พลังไหลเวียนออกมาจากแกนโลกและกลับคืนสู่แกนโลก เป็นเช่นนี้ตราบสิ้นอายุขัยของโลกธาตุ


เออกอน คือ ดวงพลังงานธาตุต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อและสามารถดึงพลังจากแกนโลกออกมาได้ มีทั้งหมดสิบธาตุ คือ เตโช (ไฟ) ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) วาโย (ลม) โลหิต (สีแดง/สัตว์) โอทาต (สีขาว/วิญญาณ) ปีต (สีเหลือง/โลหะ) นีล (สีเขียว/ไม้) อากาส (ช่องว่าง) และอาโลก (แสงสว่าง)


เบลส์ คือ ผลึกธาตุ เกิดขึ้นจากการตกผลึกของพลังงานธาตุต่าง ๆ ในจุดที่มีพลังงานธาตุนั้นเข้มข้น


เออกอนน่า คือ เออกอนสมานที่สร้างจากการผสานเออกอนตั้งแต่สองธาตุขึ้นไปเพื่อสร้างพลังงานรูปแบบใหม่ เออกอนน่าสร้างพลังงานได้รูปแบบเดียวและไม่สามารถวิวัฒนาการได้แบบเออกอนตามธรรมชาติ


วอลแกน คือ อุปกรณ์ใช้พลังงานจากเออกอน เออกอนน่า หรือเบลส์ มีตั้งแต่วอลแกนขนาดเล็กเช่นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ขนาดกลางเช่นยานพาหนะ ระบบกลไกในอาคาร และขนาดใหญ่เทียมนครที่ใช้ควบคุมธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ วิทยาการนี้ทำให้โซลโพลิสกลายเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองไร้เทียมทานในแผ่นสมุทรทั้งเจ็ด


คราวน์ คือเหล่ามนุษย์อมตะผู้ที่กายร่างถูกสังเคราะห์ขึ้นจากพฤกษาโลก มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์




อ่านฉบับ E-Book ได้ที่ :

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiODg0MTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI4MTgwOSI7fQ


ซื้อฉบับเล่มกระดาษ :

https://forms.gle/23am1q6K2qskCu529


สารบัญ

Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๑ มันดาลา (1/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๑ มันดาลา (2/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๒ นักผจญสมุทร (1/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๒ นักผจญสมุทร (2/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๓ เวฟบอล (1/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๓ เวฟบอล (2/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๓ เวฟบอล (3/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-ภาคผนวก วอลแกนสำคัญของลินด์บลูม,Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๔ โซลโพลิส (1/1),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๕ ผู้นำแสง (1/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๕ ผู้นำแสง (2/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๕ ผู้นำแสง (3/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๖ คราวน์ (1/2)

เนื้อหา

บทที่ ๔ โซลโพลิส (1/1)





“เราคือจิต เป็นอมตะไม่เคยตาย


เพียงมาอาศัยกายอยู่ชั่วคราว”



วิถีสู่ความเป็นอมตะ ไม่ใช่การรักษาร่างกายให้คงอยู่นิรันดร์ เพราะร่างกายย่อมแตกสลายไปในที่สุด เฉกเช่นเดียวกับยานพาหนะทั้งหลาย สิ่งสำคัญคือการเก็บรักษาจิตที่ออกจากร่างนั้นไว้ให้ได้ แล้วสร้างกายร่างใหม่เพื่อย้ายจิตไปครอบครอง ซึ่งด้วยวิทยาการในปัจจุบันของโซลโพลิส ย่อมเป็นไปได้


...ว่าด้วยต้นกำเนิดโซลโพลิส...





บทที่ ๔


โซลโพลิส




แสงขาวเจิดจ้า


อบอุ่น ปลอดโปร่ง สบาย ความสว่างสัมบูรณ์ แต่ไม่แสบเคืองตา ไม่ใช่สิ  ไม่รู้สึกถึงดวงตาให้แสบเคืองต่างหาก ร่างกายที่ควรเป็นเจ้าของประสาทสัมผัสสูญหายไป แต่การรับรู้ต่อสรรพสิ่งรอบตัวกลับแจ่มแจ้งชัดเจนอย่างไม่เคยรู้สึก   มาก่อน


“ยินดีต้อนรับสู่โซลโพลิสจ้ะ”


เสียงไพเราะเหมือนสายน้ำฉ่ำเย็นไหลผ่านจิตใจดังออกมาจากบานประตูสีขาว


“ไม่ต้องตกใจไปนะ หนูอยู่ในร่างพลังงาน ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงที่อาศัยอยู่ภายในเปลือกคือร่างกายจ้ะ”


หมายความว่าเราตายแล้วสินะ เรลีนแปลกใจที่รู้สึกยอมรับความจริงข้อนี้ได้


“ใช่จ้ะ และหนูก็เข้มแข็งมาก เผชิญหน้ามันอย่างกล้าหาญจริง ๆ” เสียงนั้นตอบกลับมา


เจ้าของเสียงคงรับรู้ถึงความคิดของเราได้


“ใช่จ้ะ โลกพลังงานนี้พวกเรารับรู้คลื่นความคิดของกันและกันได้หมด หนูออกมาที่นี่สิเราจะได้คุยกันสะดวก”


เรลีนนึกอยากออกไปพบเจ้าของเสียง ก็พ้นบานประตูสีขาวสู่พื้นสนามหญ้าเขียวขจีใต้ท้องฟ้าแจ่มใสทันที พอนึกถึงตนเองก็สัมผัสความอ่อนนุ่มของปลายหญ้าแยงใส่ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ตนกำลังยืนอยู่ในชุดนักกีฬาเวฟบอล ได้กลิ่นหอมนวลสดชื่นของหมู่ดอกไม้ สายลมสัมผัสกายบาง ๆ อบอุ่น สรรพเสียงสงบเบา แว่วเสียงจิ๊บแจ้วของหมู่สกุณาตัวจ้อยชวนผ่อนคลาย


หญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าส่งรอยยิ้มมาให้ เธอยิ้มทั้งแววตาและหัวใจ เห็นแล้วสัมผัสได้ถึงความรักและมิตรภาพที่เปี่ยมล้นออกมา รูปลักษณ์เธอน่าจะอายุไม่มากกว่าเรลีนนัก สวยน่ารักในแบบสบายตาสบายใจ ในชุดเดรสสีเหลืองเรียบง่าย แต่กลับดูงดงามโดดเด่นราวกับดอกไม้เปล่งบานในฤดูใบไม้ผลิ


“พี่ชื่อทาซานดร้าจ้ะ”


เธอคือเทวีพิสุทธิ์แห่งการรับใช้ ผู้เป็นหนึ่งในเจ็ดลุคอาร์ชแรกกำเนิดของโซลโพลิส เรลีนเคยเรียนเกี่ยวกับเธอ เคยสักการะเธอที่วิหาร และความรู้เรื่องธรรมชาติของชีวิตหลังความตายก็เป็นสิ่งที่สอนกันในอาณาจักร แต่ความรู้กับประสบการณ์จริงมันคนละเรื่องกัน


ใครเล่าจะคิดว่าตนเองต้องตายจริง ๆ ด้วยวัยเพียงแค่นี้ แล้วตายอย่างน่ากลัวโหดร้ายแบบนั้นด้วย เพียงนึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาเรลีนก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ


ทาซานดร้าเข้ามากุมมือทั้งสองของเด็กสาว มือที่อ่อนนุ่มของเธอส่งผ่านความรู้สึกอบอุ่นปลอบประโลมหัวใจ


“นั่งลงก่อนเถอะนะ”


เรลีนนั่งลงบนเก้าอี้ที่ปรากฏขึ้นมารองรับ มีโต๊ะกลมสีขาวพร้อมกาน้ำชาและถ้วยชาใบเล็กอยู่บนนั้น


“หนูเพิ่งผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก แต่ตอนนี้มันจบสิ้นลงไปแล้ว ที่นี่หนูจะมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ใด ๆ อีก”


ผู้ปลอบประโลมเทน้ำชาใส่ถ้วยให้กับเด็กสาวแล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


“แม่ พ่อ แร็ก และคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นี่แล้วใช่ไหมคะ” เรลีนถามเสียงสั่นพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา


“หนูดื่มน้ำชาก่อนเถอะจ้ะ มันช่วยสลายอารมณ์เจ็บปวดให้กับหนูได้”


เรลีนกุมถ้วยชาอบอุ่น กลิ่นกรุ่นของควันชาแตะจมูกให้ความรู้สึกปลอดภัยคลายใจ


“ขอบคุณค่ะท่านเทวี...”


“เรียกพี่ก็ได้จ้ะ” ทาซานดร้ายิ้มอย่างเป็นกันเองไม่ต่างจากพี่สาวผู้อารี


“ค่ะ พี่สาว” เรลีนยิ้มตอบ


น้ำชาให้รสชาติหวานละมุนละเอียดลออ เป็นทิพยรสนวลกรุ่นไหลผ่านลำคอแล้วแผ่ซ่านสู่หัวใจ ความสั่นเทาหวาดกลัวมลายสิ้นเป็นปลิดทิ้ง


เรลีนกวาดสายตาไปรอบ สังเกตดี ๆ ที่ด้านหลังพบว่าท้องฟ้ามีบานประตูโปร่งใสแบบที่เธอใช้ผ่านเข้ามานับไม่ถ้วน ทั้งฟ้าเบื้องบน เบื้องล่าง และตลอดแนวโค้งยาวสุดสายตา พอมองข้างหน้าผ่านทาซานดร้าไปก็พบจุดสิ้นสุดของพื้นสนามหญ้าเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ข้ามฟ้าไกลไปมีมวลแสงอยู่กึ่งกลาง ราวกับเกาะทวีปที่มีทรงเป็นหอคอยทอดสูงขึ้นไปสุดฟ้า


สุดเขตสนามหญ้ามีเรือโบราณสร้างขึ้นจากทองคำ แกะสลักลวดลายวิจิตรตลอดลำเรือ พร้อมเสากระโดงและใบเรือโปร่งเป็นม่านแสง เข้าใจว่าเป็นยานพาหนะเพื่อใช้ข้ามท้องฟ้าไปสู่นครแสงอีกฟากหนึ่ง


“นครแสงอีกฟากหนึ่งคือโซลโพลิสจ้ะ ที่นั่นมีแต่ความสุข มีผู้คนใจดี รอต้อนรับหนูอยู่มากมายเลยนะ หนูจะได้พบกับเพื่อนใหม่ ครอบครัวใหม่ บ้านใหม่ โลกใหม่ ที่มีแต่ความรัก ความสนุกสนาน และเสียงหัวเราะ ความปรารถนาดีเอื้ออาทรต่อกัน ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป”


ทาซานดร้าลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาให้พร้อมรอยยิ้ม “เราไปขึ้นเรือกันเถอะจ้ะ จะได้ข้ามไปฝั่งนั้นกัน”


เรลีนรู้สึกเคลิบเคลิ้มและสัมผัสได้ว่าที่แห่งนั้นคือสรวงสวรรค์ คือดินแดนแห่งความสุขบริบูรณ์ แต่ก็รู้สึกเหมือนลืมเลือนอะไรสักอย่าง


“เดี๋ยวก่อนค่ะ” เธอชักมือกลับมา “แม่ของหนู พ่อ แร็ก และคนอื่น ๆ อยู่ที่ไหนกันล่ะ หรือว่าพวกเขาข้ามฝั่งไปก่อนแล้ว”


ทาซานดร้ามองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าว “หนูเป็นเด็กที่มีจิตใจดีจริง ๆ นะ ห่วงใยผู้อื่นยิ่งกว่าความสุขของตนเองอยู่เสมอ”


น้ำชาสลายทุกข์ที่เธอให้เรลีนดื่มควรจะทำให้เธอลืมเกี่ยวกับคนอื่นในครอบครัวได้ เพราะมันพ่วงกับประสบการณ์อันเจ็บปวด แต่ด้วยอุปนิสัยที่เห็นความสุขของคนที่ตนรักมีความสำคัญเหนือความสุขของตนเอง เธอจึงระลึกถึงพวกเขาได้


“คงไม่ได้หมายความว่าหนูมาที่นี่ได้เพียงคนเดียวหรอกนะคะ”


ทาซานดร้ากลับมานั่งลงบนเก้าอี้ พยักหน้าเบา ๆ “หนูมาที่นี่ได้ด้วยหยาดทิพย์แห่งชีวิต”


เรลีนทำหน้างง เธอไม่เคยได้รับหยาดทิพย์อะไรที่ไหนมาก่อน


“ไข่มุกแห่งนภาที่หนูได้รับมาจากบาบาของหนูและพกติดตัวไว้ตลอด สิ่งนั้นแหละคือหยาดทิพย์แห่งชีวิต มันเชื่อมจิตของเจ้าของให้เข้าถึงโซลโพลิสได้ เมื่อกายหยาบของหนูตายลง จิตของหนูจึงถูกส่งมาที่นี่ทันที”


“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะคะ...”


“จิตที่ไม่ได้เชื่อมถึงโซลโพลิสก็เป็นไปตามวิถีของมัน เราไม่มีทางรู้ได้เลย และส่วนใหญ่ในกรณีที่ตายก่อนอายุขัยที่แท้จริงแบบนี้ก็มักจะวนเวียนอยู่ในจุดที่พวกเขาตายนั่นแหละจ้ะ”


“ก็แสดงว่าพวกเขาส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ลินด์บลูมใช่ไหมคะ เราก็ไปช่วยพวกเขา ไปพาพวกเขามาที่นี่สิ”


“เราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก จิตที่พ้นจากภพภูมิมนุษย์ไปแล้วไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่เราจะไปเกี่ยวข้องได้เลย”


“ช่วยอะไรพวกเขา...ไม่ได้เลยสักอย่างหรือคะ”


ทาซานดร้าพยักหน้าเบา ๆ น้ำตาของเรลีนเอ่อไหลออกมาเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกบาดลึกถึงความเจ็บปวดจากการพลัดพรากสูญเสียคนที่รักและมีความหมายที่สุดในชีวิตไป


เรลีนปล่อยให้น้ำตาไหลจนเพียงพอแล้วจึงปาดคราบน้ำตาออก  เพราะร้องไห้ฟูมฟายต่อไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เธอกำมือทั้งสองแน่น


“แล้วหนูจะมามีความสุขอยู่ที่นี่ได้ยังไง ในขณะที่โลกเบื้องนอกกำลังลุกเป็นไฟ ผู้คนล้มตายด้วยอสูรอำมหิต หนูคงเป็นสิ่งที่น่าสมเพช ถ้าจะสามารถหลับตามีความสุขอยู่ที่นี่ ทิ้งให้โลกทุกข์ยากโดยไม่ทำอะไรเลย...”


“โลกเบื้องนอกก็มีผู้ที่ทำหน้าที่อยู่แล้วจ้ะ เหล่านักรบแห่งอาณาจักร จะนำความสงบกลับคืนสู่นครได้ในที่สุด”


“แต่เท่าที่หนูเห็น พวกเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไม่ใช่หรือคะ บ้านของหนูถูกทำลาย ทุกคนตายหมด”


“แล้วหนูคิดว่าตัวหนูจะช่วยอะไรได้ล่ะ”


“ช่วยได้แน่ ! ต่อให้ไม่ได้ก็ขอให้ได้พยายาม” เธอก้มหน้าลง โคลงหัวไปมา “ขอโทษค่ะ หนูพูดจาไร้เหตุผลจริง ๆ ถึงอยากจะช่วยสารพัดแต่หนูก็ตายไปแล้ว”


ทาซานดร้าเขม็งตามองเด็กสาวตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเธอก็ผ่อนลมหายใจยาวแล้วเอ่ยขึ้น


“อันที่จริง หนูยังมีทางเลือกที่จะกลับไปได้อยู่นะ”


เรลีนหันขวับด้วยดวงตาเบิกกว้าง


“หยาดทิพย์แห่งชีวิตได้ส่งฐานข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับร่างกายของหนูสำหรับสังเคราะห์ร่างคราวน์ให้หนูกลับออกไปสู่โลกกายภาพได้”


“จริงหรือคะ” เรลีนลุกยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้นหนูขอกลับออกไปเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม”


ทาซานดร้าเอามือป้องปาก ก้มโคลงหัวเบา ๆ ยิ้มอย่างเอ็นดู “สมกับเป็นจิตวิญญาณนักรบ ทายาทของท่านออลันด์จริง ๆ เลยนะหนู”


เธอค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาเรลีน นัยน์ตาสีน้ำตาลสว่างของเธอมองลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งในดวงตาของเด็กสาว


“หนูตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้วสินะ แต่พี่สาวคนนี้ก็ขอเตือนหนูอีกครั้งหนึ่งว่า วิถีที่หนูเลือกจะเต็มไปด้วยอุปสรรค ความยากลำบาก ความเจ็บปวดแสนสาหัสอีกมากมายเหลือคณา และถึงแม้หนูจะพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วก็ตาม หนูก็อาจไม่ได้พบกับความสำเร็จที่ต้องการแม้แต่ประการเดียว”


“ขอเพียงได้ลงมือทำสุดหัวใจก็เพียงพอแล้วค่ะ”


คำตอบอันฉะฉานของเรลีนทำให้ทาซานดร้ายิ้มอ่อนโยนดุจมารดาผู้เข้าใจบุตรีโดยสมบูรณ์ แม้รู้ว่าทางข้างหน้าจะยากลำบากและเต็มไปด้วยอันตราย แต่หากลูกรักตัดสินใจเลือกเดินแล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้และเติบโตจากการเดินทางแห่งทุกข์เทวษนั้นด้วยตัวของเขาเอง


เจ้าเทวีแห่งการรับใช้ผู้อารีโอบกอดเด็กสาว ให้ความอบอุ่นละมุนจนหัวใจของเรลีนยิ้มเบิกบาน


แสงขาวเจิดจ้า