เวหานครที่สงบสุขของสององค์ชาย อาเธดีสและอโลก้า ถูกทำลายด้วยสึนามิหมอกดำขนาดเท่าภูเขา พวกเขาจึงต้องออกแสวงหาเออกอนพระเจ้าเพื่อมาหยุดยั้งมหาภัยพิบัตินี้ ทว่าเบื้องหลังขุมพลังที่มีอำนาจในการสร้างโลกอมตะ มีเดิมพันดำมืดที่ต้องแลกเปลี่ยน ชะตากรรมของทั้งอาณาจักรจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสอง

Soulpolis นครเวหาสมุทร - บทที่ ๕ ผู้นำแสง (3/3) โดย S.T. Ratindh @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,แอคชั่น,ดาร์ค,ไซไฟ,ไฮแฟนตาซี,นางเอกเด็ก,BlueSaga,รตินธร์,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Soulpolis นครเวหาสมุทร

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ไซไฟ,ผจญภัย,แอคชั่น,ดาร์ค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,ไฮแฟนตาซี,นางเอกเด็ก,BlueSaga,รตินธร์,พล็อตสร้างกระแส,ผจญภัย,แฟนตาซี

รายละเอียด

เวหานครที่สงบสุขของสององค์ชาย อาเธดีสและอโลก้า ถูกทำลายด้วยสึนามิหมอกดำขนาดเท่าภูเขา พวกเขาจึงต้องออกแสวงหาเออกอนพระเจ้าเพื่อมาหยุดยั้งมหาภัยพิบัตินี้ ทว่าเบื้องหลังขุมพลังที่มีอำนาจในการสร้างโลกอมตะ มีเดิมพันดำมืดที่ต้องแลกเปลี่ยน ชะตากรรมของทั้งอาณาจักรจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสอง

ผู้แต่ง

S.T. Ratindh

เรื่องย่อ

ดินแดนแห่งแผ่นสมุทรลอยฟ้าทั้งเจ็ดกับการแสวงหาดวงพลังเออกอนที่มีอำนาจดุจเทพเจ้า ในยุคสมัยที่โลกสร้างนิรันดร์นครในอุดมคติ ด้วยวิทยาการผนึกจิตวิญญาณมนุษย์และสังเคราะห์ร่างอมตะ ทว่าทุกสรรพสิ่งล้วนต้องมีสิ่งชดเชย แล้วสิ่งใดเล่า คือ ค่าตอบแทนของโลกที่มนุษย์ไม่มีวันตาย?!




*ข้อมูลเบื้องต้น : วิทยาการเออกอน


แกนโลก คือ จุดศูนย์รวมพลังงานทั้งหมดของโลกธาตุ ก่อกำเนิดสายธารแห่งพลังหล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่งในผืนโลกให้ดำรงอยู่ พลังไหลเวียนออกมาจากแกนโลกและกลับคืนสู่แกนโลก เป็นเช่นนี้ตราบสิ้นอายุขัยของโลกธาตุ


เออกอน คือ ดวงพลังงานธาตุต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อและสามารถดึงพลังจากแกนโลกออกมาได้ มีทั้งหมดสิบธาตุ คือ เตโช (ไฟ) ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) วาโย (ลม) โลหิต (สีแดง/สัตว์) โอทาต (สีขาว/วิญญาณ) ปีต (สีเหลือง/โลหะ) นีล (สีเขียว/ไม้) อากาส (ช่องว่าง) และอาโลก (แสงสว่าง)


เบลส์ คือ ผลึกธาตุ เกิดขึ้นจากการตกผลึกของพลังงานธาตุต่าง ๆ ในจุดที่มีพลังงานธาตุนั้นเข้มข้น


เออกอนน่า คือ เออกอนสมานที่สร้างจากการผสานเออกอนตั้งแต่สองธาตุขึ้นไปเพื่อสร้างพลังงานรูปแบบใหม่ เออกอนน่าสร้างพลังงานได้รูปแบบเดียวและไม่สามารถวิวัฒนาการได้แบบเออกอนตามธรรมชาติ


วอลแกน คือ อุปกรณ์ใช้พลังงานจากเออกอน เออกอนน่า หรือเบลส์ มีตั้งแต่วอลแกนขนาดเล็กเช่นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ขนาดกลางเช่นยานพาหนะ ระบบกลไกในอาคาร และขนาดใหญ่เทียมนครที่ใช้ควบคุมธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ วิทยาการนี้ทำให้โซลโพลิสกลายเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองไร้เทียมทานในแผ่นสมุทรทั้งเจ็ด


คราวน์ คือเหล่ามนุษย์อมตะผู้ที่กายร่างถูกสังเคราะห์ขึ้นจากพฤกษาโลก มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์




อ่านฉบับ E-Book ได้ที่ :

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiODg0MTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI4MTgwOSI7fQ


ซื้อฉบับเล่มกระดาษ :

https://forms.gle/23am1q6K2qskCu529


สารบัญ

Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๑ มันดาลา (1/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๑ มันดาลา (2/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๒ นักผจญสมุทร (1/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๒ นักผจญสมุทร (2/2),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๓ เวฟบอล (1/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๓ เวฟบอล (2/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๓ เวฟบอล (3/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-ภาคผนวก วอลแกนสำคัญของลินด์บลูม,Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๔ โซลโพลิส (1/1),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๕ ผู้นำแสง (1/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๕ ผู้นำแสง (2/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๕ ผู้นำแสง (3/3),Soulpolis นครเวหาสมุทร-บทที่ ๖ คราวน์ (1/2)

เนื้อหา

บทที่ ๕ ผู้นำแสง (3/3)

บททดสอบของนักรบอัคคีไม่ง่ายเหมือนของผู้ทรงแสงและเสี่ยงถึงตาย ในช่องผาวงกตอันซับซ้อนไร้แสงนี้กักขังอสูรโลสไว้หนึ่งตน ผู้รับการทดสอบจะต้องใช้พลังกำจัดมันลงให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องหนีเอาชีวิตรอดสู่ทางออกอีกฟากหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนหนีเอาชีวิตรอด เพราะอสูรโลสแทบไม่เคยถูกปราบได้ด้วยกำลังของนักรบอัคคีฝึกหัดเพียงคนเดียว


ในหลายสิบปีล่าสุดมีเพียงอาเธดีสที่สังหารมันลงได้ นั่นทำให้เขา ได้รับเกราะเพลิงพยนต์เป็นรางวัล และถูกเชิดชูว่ามีศักยภาพใกล้เคียงท่านยูป้า มันดาลา นักรบอัคคีคนแรกของมณฑลแสง


ประตูหินเลื่อนปิดลงข้างหลังทันทีและจะไม่มีใครเข้ามาช่วยอโลก้าได้ ภายในมืดสนิทมีหมอกธุลีแน่นหนาในอากาศ เจ้าชายน้อยกลั้นใจส่งพลังไปยังปลายคทา เออกอนเปล่งแสงจรัสพร้อมเสียงชี่และกลิ่นไหม้ฉุนจมูก เผยเห็นปากเมือกยักษ์แสยะงับเข้ามาทันที


เด็กชายก้มหลบฉิวเฉียด ล้มลุกคลุกคลานหนีสุดชีวิต หวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก ก้อนอัปลักษณ์คืบคลานตามติดกระชั้นชิด พยายามไล่งับเขาให้ได้


เจ้าชายน้อยร้องจ้า ลุกวิ่งไม่คิดชีวิต ใจเต้นแทบหลุดจากทรวงอก สติแตกกระเจิง ไม่นานก็ทิ้งระยะห่าง ข้างหน้ามีทางสองแพร่ง เขาเลือกวิ่งสุดฝีเท้าไปทางขวา แต่สุดทางกลับพบกำแพงตัน จึงรัวกำปั้นทุบหินผาสุดแรงจนมือแตก


อโลก้าร้องไห้ตัวสั่น กุมหัวเข่าหอบหายใจถี่ หวาดกลัวสิ่งที่คืบคลานติดตามมาข้างหลัง ถึงที่สุดของความกลัวแล้วกลับตั้งสติได้ สูดหายใจลึกและพยายามหยุดร้องไห้


ขี้แงขี้กลัวแบบนี้จะไปช่วยท่านแม่ได้อย่างไร !


เขากัดกระพุ้งแก้มจนเลือดออกให้เจ็บสะดุ้งเพื่อสะกดความกลัว หันหลังแล้วสาดส่องปลายคทา นึกทบทวนว่าอสูรโลสตนนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็วนัก ช่องผาก็กว้างพอที่จะวิ่งหลบมันพ้นไปได้ ตัดสินใจแล้วจึงเดินมั่นคงย้อนกลับไป


เสียง ชี่ พร้อมกลิ่นแสบไหม้เมื่อปลายแสงกระทบร่างอสูร


“อย่าเข้ามานะ”


อโลก้าหักห้ามความกลัว เผชิญหน้าอสูรร่างยักษ์เบื้องหน้า เมือกทมิฬสูงลิบท่วมหัวเขา มีเพียงซีกปากกว้างหุ้มด้วยเมือกเหนียวแสยะอยู่กลางลำตัวไร้ใบหน้า แปดตอสั้นแทงออกจากร่าง สิ่งที่ควรเป็นขาถูกตัดกุด คาดว่าเป็นฝีมือผู้คุมสอบเพื่อลดความสามารถในการเคลื่อนไหวและจู่โจมของสัตว์อสูร


ความกล้าหาญมีผลต่อพลังแสงที่เปล่งออกจากเออกอน ความสว่างเท่าเดิมแต่มีผลเผาไหม้รุนแรงต่อร่างอสูรจนมันเหยียดกายหนีห่าง อโลก้าเร่งเดินอ้อมร่างโดยปลายคทายังคงจดจ่ออยู่ที่มัน เมื่อได้ระยะห่างแล้วจึงวิ่งสุดฝีเท้า


เจ้าชายน้อยวิ่งเข้าทางแยกซ้ายที่ไม่ได้เลือกไว้ในตอนแรก จากนั้นก็พบทางสองแพร่งอีกสองครั้ง ซึ่งเขาเลือกเส้นทางได้ถูกต้องทั้งคู่ จนในที่สุดก็ถึงประตูทางออกยังปลายทาง


อโลก้าดีใจลิงโลด แต่เมื่อถึงหน้าประตูแล้วกลับชะงักมือไม่ผลักออก นึกย้อนถึงอสูรตนนั้นแล้วก็สงสาร ไม่รู้ว่ามันถูกกักขังในผาวงกตมืดมิดนี้มายาวนานเพียงไหน และอาการของมันก็ดูทนทุกข์ทรมานมากกว่าน่าหวาดกลัว


ด้วยความอยากช่วยเหลือจึงตัดสินใจเดินย้อนกลับไปหาอสูรร้าย แสงจากเออกอนที่ปลายคทายิ่งเจิดจรัสจนช่องผาสว่างปานกลางวัน จิตกรุณามีผลยิ่งยวดต่อพลังแสง อโลก้ารับรู้ได้ถึงทุกสิ่งในเขตแสงรวมถึงตำแหน่งของอสูรโลสด้วย


“หิวเหลือเกิน แสบทุรน ทรมานเหลือเกิน หิว... หิวสุดแสน หิว...”


เสียงปรากฏขึ้นในจิต มิใช่รับรู้ผ่านช่องหู เป็นกระแสความคิดของอสูรตนนั้น มันเคยเป็นมนุษย์มาก่อน คิดได้ดังนั้นความสงสารก็ยิ่งท่วมท้นหัวใจ เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปหามันพร้อมปลายคทาจ่อไว้เบื้องหน้า เกิดเสียงชี่พร้อมกลิ่นเน่าไหม้จากไอระเหิดผิวเมือกแต่ไม่ได้รุนแรงเท่าคราวก่อน


“หิว ทารุณ ทรมาน กิน อยากกินเหลือเกิน”


ความหวาดกลัวมลายสิ้นแทนที่ด้วยความกรุณาสงสาร อโลก้าก้าวเข้าไปใกล้อสูรโลสในระยะหวาดเสียว แสงนั้นส่องทะลุเมือกทมิฬเห็นเงาร่างมนุษย์อยู่ภายใน มีโซ่สีดำแทงออกจากอกพันธนาการร่างนั้นไว้กับก้อนเมือก


“มีอะไรที่ฉันพอช่วยได้บ้างไหม”


เสียงของอโลก้าปลุกอสูรโลสให้หันกลับคลุ้มคลั่ง แสยะซี่ปากกว้างหมายสวาปาม มันมิอาจเข้าใจภาษาใดได้ มีเพียงแรงปรารถนาดับความหิวโหยไร้ก้นบึ้ง ทันทีที่ปากหุบงับ พลังแสงจากเออกอนอาโลกก็หลอมละลายเมือกทมิฬจนระเหิดสิ้น หลงเหลือเพียงเงามืดรูปทรงมนุษย์ ร่างนั้นลืมตามองอโลก้าราวกับเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรกในกาลเวลาอันยาวนานไร้กำหนด


วิญญาณดำมืดกับเด็กชายสบตากัน เพียงครู่เดียว โซ่ดำที่ทะลุออกจากอกเมื่อไม่ได้ยึดโยงกับเมือกทมิฬก็จมดิ่งลงดิน ฉุดดึงร่างเงาสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง


ไม่มีร่องรอยของอสูรหลงเหลืออยู่ หมอกธุลีทั้งหมดในอากาศปลาสนาการสิ้น




ประตูหินเปิดออกสู่โถงกว้างใหญ่ใจกลางภูเขาแกรนเดียส อโลก้าตาหรี่ลงเพราะแสงสุกสว่างจากเนื้อในแท้จริงใต้เปลือกภูเขาหินล้วน มันคือภูเขามหาคริสตัลทองอำพันทรงอัคคีเด่นสง่า ห้อมล้อมด้วยมวลน้ำสีทอง ผนังถ้ำปิดรอบระยิบระยับด้วยเม็ดแสงเขียวเรืองประดุจดวงดาวมหาศาลในท้องจักรวาล


เบื้องหน้ามหาคริสตัล กษัตริย์จิวล์ประทับนั่งบนบัลลังก์ลอย ฝั่งซ้ายคือนักรบอัคคีทั้งเจ็ดในชุดเกราะอ่อนสีน้ำตาลเพลิง มีอาเธดีสยืนอยู่ในตำแหน่งใกล้ชิดองค์กษัตริย์ ฝั่งขวาคือผู้ทรงแสงทั้งห้าใช้ชุดเสื้อคลุมนักบวชสีเงินขาว


ทันทีที่อโลก้าเดินออกมาจากประตูทดสอบของนักรบอัคคี อาเธดีสก็เบิกตากว้างทิ้งตำแหน่งตนแล้ววิ่งเข้ามาหาทันที เขายองลงตรงหน้าน้องรักด้วยสีหน้าวิตก เช็ดคราบเขม่าที่เปื้อนเปรอะใบหน้าออกให้ 


“ประตูนักรบอัคคี เป็นไปได้อย่างไร” อาเธดีสสำรวจบาดแผลตามร่างกายน้องชาย “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะ”


“อื้อ” อโลก้าตอบเสียงแผ่ว น้ำตายังคงไหลออกมาไม่หยุด เขาชูคทาสุริยะ ที่เรืองแสงอ่อน ๆ ขึ้นมา “แบบนี้น้องก็เป็นนักรบอัคคีแล้วใช่ไหม”


การผ่านบททดสอบแบบเหนือคาดทำเอาเหล่านักรบอัคคีและผู้ทรงแสงจ้องมองเจ้าชายน้อยด้วยความอัศจรรย์ใจ กษัตริย์ชราในอาภรณ์สีแดงทองเคลื่อนลอยเข้ามาพร้อมบัลลังก์ ดวงหน้าขององค์กษัตริย์ซูบผอม เคราสีเทาปกปิดรอยแผลดำไหม้บนซีกหน้าซ้าย กระนั้นนัยน์ตาสีเพลิงของพระองค์กลับอ่อนโยนเปี่ยมล้นด้วยพลัง


“อสูรโลสตนนั้น ลูกกำจัดมันลงเองหรือ” กษัตริย์ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


อโลก้าก้มหน้าตอบ เสียงสั่นเบา “ลูกเพียงหวังช่วยเหลือเขาเท่านั้น”


กษัตริย์โคลงหัวด้วยความเข้าใจ ยิ้มอบอุ่น มือทั้งสองโอบบ่าโอรสน้อย “ลูกค้นพบพลังที่แข็งแกร่งของตนแล้วสินะ”


ออลันด์เดินตามเข้ามาจากด้านหลัง โค้งให้แก่องค์กษัตริย์


“คาลจิวล์” ลุคอาร์ชออลันด์เอ่ยด้วยความเคารพ


กษัตริย์โค้งรับ “ท่านผู้จรัส” ด้วยฐานะของลุคอาร์ชนั้นมีศักดิ์เทียบเท่ากษัตริย์ทุกนคร


ลุคอาร์ชหยุดยืนอยู่ด้านข้างเจ้าชายน้อย “วิเศษนัก ! อสูรโลสถูกกำจัดเด็ดขาดพร้อมหมอกธุลีที่สิ้นสูญไปทั้งหมด”


การประกาศผลลัพธ์นี้ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของเหล่าสักขีพยาน ด้วยว่าการกำจัดอสูรโลสแบบเด็ดขาดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยปกติแล้วเมื่อพวกมันถูกทำลายจนร่างแตกสลายไม่นานก็จะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่จากหมอกธุลี แต่อโลก้ากลับใช้พลังสลายได้แม้กระทั่งหมอกธุลี


“ปัญญาศูนย์รวมให้คะแนนองค์ชายอโลก้าที่เก้าสิบเก้า” เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกระลอกหลังคำประกาศของออลันด์ เพราะที่ผ่านมาคะแนนแปดสิบแปดของอาเธดีสก็ถือว่าเป็นประวัติการณ์แล้ว “ฉันนั้น ด้วยคุณสมบัติครบถ้วนของผู้ทรงแสงและนักรบอัคคี ข้าจึงขอประกาศให้อโลก้าเป็นผู้นำแสงคนแรกแห่งนครมณฑลแสง”


ความหวังรู้สึกเป็นเช่นนี้เอง ความฝันที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น กว่าสามร้อยปีเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการอัญเชิญเออกอนพระเจ้า อโลก้ารับรู้ถึงความคาดหวังนี้จากทุกคน แต่เป้าหมายในใจเขานั้นแตกต่าง เขาเพียงต้องการช่วยเหลือท่านแม่ และหากเป็นไปได้ ช่วยเหลืออสูรทมิฬทุกตนที่ตกทุกข์อยู่ใต้ทะเลอนธการ