"ข้าจะปกป้องเจ้าสุดชีวี ต่อคนทั้งใต้หล้าปรปักษ์กับข้า เพื่อเจ้าแล้วนั่นเป็นเพียงฝุ่นธุลี" - ไป๋หลี่หรงอี้

ตำนานไท่เล่อเหริน - 1 คุณชายไป๋ฉาง โดย PHRAE_MAI @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,จีน,แฟนตาซี,ดราม่า,รัก,พระเอกครั่งรัก,การเมือง,ชาย-ชาย,จีนโบราณ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ตำนานไท่เล่อเหริน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,จีน,แฟนตาซี,ดราม่า,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พระเอกครั่งรัก,การเมือง,ชาย-ชาย,จีนโบราณ

รายละเอียด

"ข้าจะปกป้องเจ้าสุดชีวี ต่อคนทั้งใต้หล้าปรปักษ์กับข้า เพื่อเจ้าแล้วนั่นเป็นเพียงฝุ่นธุลี" - ไป๋หลี่หรงอี้

ผู้แต่ง

PHRAE_MAI

เรื่องย่อ

สารบัญ

ตำนานไท่เล่อเหริน-1 คุณชายไป๋ฉาง,ตำนานไท่เล่อเหริน-2 พรรคต้าจิน

เนื้อหา

1 คุณชายไป๋ฉาง

อาภรณ์ขาวราวงาช้างามสะบัดพริ้วปลิวเมื่อต้องลมครั้นอยู่สูงในยามนี้สายตาของเขาทอดมองไปยังดวงจันทร์กลมโตงามล้ำ พร้อมร่ำสุรารสเลิศราคาสูงลิบ

มือเรียวข้างซ้ายยกผลน้ำเต้าหยก ตกแต่งด้วยลายทองคำขาวสลักเป็นดอกไม้นานาพันธุ์ โอบล้อมน้ำเต้าใบนั้นไว้ ผลน้ำเต้าหยกนั้นที่แพงกว่าสุราที่บรรจุเสียอีก

เขาเงยหน้าพร้อมยกบรรจุภัณฑ์เทสุราดีลงกระทบลงลิ้นอุ่นเพื่อสัมผัสสุราที่นุ่มนวลและหอมหวานกว่าน้ำผึ้งป็นไหนๆ อีกครั้ง พรางหลับตาพริ้มเพื่อให้ใจเขาได้สัมผัสความสุขในเวลานี้


นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบได้ มีนกน้อยบินถลาลมเล่นที่จะร่อนลงมาหาชายขี้เมา เขาแบมือแล้วยกขึ้นระหว่างศรีษะไปเพื่อรองรับสหายตัวน้อย เมื่อนกน้อยมาถึงมือเขาก็ปลดพันธนาการที่ขาเล็กของนกน้อยให้เป็นอิสสระ แล้วคลี่อ่านจดหมายที่ถูกมัดติดมากับขาของมัน

เมื่อเข้าใจในเนื้อความของกระดาษนั้นอย่างชัดเจน ชายหนุ่มชี้เมาก็ดื่มชาที่วางใว้เคียงสุราที่ร่ำไปเมื่อครู่จนหมดกา มือข้างซ้ายเอื้มหยิบกระบี่คู่ใจ แล้วทะยานตนลงจากยอดหอสูงด้วยวิชาเหินนภาอย่างชาญการณ์  




เมื่อถึงที่หมายก็พบสหายทั้งสาม มานั่งรอเขาอีกตามเคย ..

“ขออภัยที่กระหม่อมมาช้า”

เมื่อมาถึงก็เอ่ยขอโทษขอโพย คนหลังม่านสีเงินครามโปร่งบางยกมือปราม

“เจิ้นป่วย”

ภายในห้องทรงงานนั้นเงียบกริบ เพราะตกตะลึงที่โอรสสวรรค์ตรัสออกมาเมื่อครู่ หากเรื่องนี้กระจายออกไป มือหลวงแห่งนี้ต้องร้อนเป็นไฟอย่างแน่นอน

“เจิ้นอยากให้พวกเจ้าช่วย”

“เพียงฝ่าบาททรงตรัสออกมา หากไม่เกินปรโลกของกระหม่อม ก็ย่อมได้พะย่ะค่ะ”

คุณชายรองอย่าง “เซียวอี้หยาง” กล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น องค์จักรพรรดิหัวเราะชอบใจด้วยความอภิรมย์แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ หรี่ลงอย่างน่าสงสาร พระองค์ลอบหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย 

“ชีวิตข้าฝากฝังใว้กับพวกเจ้าได้หรือไม่”

“ไม่ใช่แค่พระองค์ แต่เป็นราษฎรทั้งแคว้น ที่พวกกระหม่อมจะปกป้องสุดชีวีพระย่ะค่ะ”
ชายขี้เมาเอ่ยขึ้น ฮ่องเต้แย้มพระสรวลออกมาด้วยความเปรมปรีดิ์

“เจิ้นน่ะ แก่แล้วตามอารมณ์สุนทรีย์อย่างวัยดรุณเช่นพวกเจ้าไม่ทัน ดึกมากแล้วกลับไปพักผ่อนกันเถิด”

ทั้งสี่ลุกขึ้นด้วยความสำรวมกิริยา แล้วโน้มกายเพื่อเคารพผู้อยู่เบื่องสูง หันหลังแล้วเดินออกไปอย่างพร้อมเพียง คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญ แสงจากบุหลันยังพอส่องแสงแก่โลกหล้าในยามราตรีได้เป็นอย่างดี 

“พี่เซียว พี่ไป๋ฉาง ท่านจะไปต่อที่ใดหรือไม่ ข้ากับพี่ไป๋หลี่จะไปต่อที่หอร้อยบุปผานะ”

“ไปกันเลย ข้าดื่มมาก่อนหน้าแล้วจะกลับไปพัก”

เยว่เสี่ยวผิงพยักหน้าเข้าใจกับคำตอบ แล้วหันไปมองที่เซียวอี้หยางต่อ

“เจ้าเลี้ยง?”

เสี่ยวผิงส่ายหน้า แล้วชี้มือไปที่พี่ใหญ่แล้วทำปากเบ๊ไปทาง ไป๋หลี่หรงอี้

“มีนารีหรือไม่”

“พี่เซียว นี่มันร้านหอสุราหนา ไม่ใช่ร้านชา ต้องมีแม่นางน้อยมานั่งคลอเคลียอยู่แล้วน่า นี่เมื่อครู่ก่อนมาพี่ไป๋หลี่ กับแม่นางหวัง จะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว แต่ฝ่าบาทเรียกเสียก่อน ซี๊ด”

น้องเล็กว่าแล้วทำซื๊ดปาก กระพริบตาถี่ๆ แล้วกอดอกเบือนหน้าไปมองดวงจันทร์ แต่แล้วมือหนาก็ไปบิดหูแก้เผ็ดที่เอาเรื่องของเขาไปเล่าสู่กันฟังเช่นนั้น เซียวอี้หยางหัวเราะออกมาคิกคักเมื่อเห็นหน้าเหวอของศิษย์น้องเมื่อโดนพี่ใหญ่บิดหูเจ้าตัวดี
ผิดกับไป๋ฉางลี่อิง ที่เอาแต่นิ่งเงียบในเวลานี้ ทำเอาคนรอบข้างเดาใจอะไรไม่ออก


ไม่นานรถม้าคันใหญ่คล้ายกับคุณหนูตระกูลผู้ดี ประดับพับพิงไปด้วยผ้าไหมสีฟ้าอ่อนโปร่งบางตัดกับสีขาวพร้อมพู่หยกที่ติดห้อยแทบจะรอบคัน ราวเกี้ยวขุนผลสวรรค์ก็มิปาน ไม่นานก็ปรากฏยอดอาชาชาติเหมื่อนลี้ในตำนานที่วิ่งออกมาไร้คนเคี้ยวเข็นด้วยความเร็วรี่ 

“ข้ากลับแล้วหนา ถนอมกายกันด้วยลาก่อน”

ชายหนุ่มทั้งสามยักหน้า ถึงพวกเขาจะรู้จักกันมาหลายสิบปี แต่ความอ่อนน้อมของคนงามตรงหน้ามิแปรผันสักนิดเป็นความงามเสมอต้นเสมปลายจริงๆ สมกับบทกลอนบทนั้น กิ่งพลัมพิงเอียงออน






เมื่อถึงแยกทางใหญ่ของตลาดเล็กๆ ที่เป็นทางผ่านกลับจวน เขากลับเลี้ยวไปอีกทางที่เขาต้องการจะไป ยอดอาชาหนุ่มเลี้ยวตามประสงค์เจ้านายอย่างว่าง่าย ไม่ต้องออกคำสั่งการใดๆ เพียงใจนึกคิดจะไปซ้ายก็ไปซ้ายแล้ว

ทุกอย่างที่เขาได้มาล้วนมีคุณค่าสำหรับเขา ไป๋ฉางลี่อิง ถึงจะเป็นลูกคนสุดท้องแต่ความตามใจที่    บิดา มารดา พึ่งกระทำ หาได้มีกับครอบครัวของเขาไม่ พ่อแม่ของเขาให้ความเท่าเทียมกับลูกทุกคน จวนที่เขามีซุกหัวนอน รถม้าที่มีใว้นั่ง แต่ทว่าเงินและอำนาจเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งของเขาเท่านั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดของเขาคือความบริสุทธิ์และความจริงใจของเขาต่างหาก












เมื่อถึงที่หมาย ขาเรียวก็ก้าวลงจากรถมาอย่างสง่างามเช่นเคย 

“ท่านยังงามมิเปลี่ยน”

เสียงของเด็กหนุ่มปริศนาเอ่ยขึ้นท่ามกลางป่าท้อที่เงียบสงัด ลี่อิงยืนนิ่งก่อนจะมองไปข้างหน้า ก็พบเข้ากับเงาลางๆ ที่ทิ้งตัวลงมาจากท้อต้นใหญ่ของอีกฝั่ง อาภรณ์แดงสีเลือดสด มองเห็นได้อย่างเด่นชัดในเวลานี้ ชายผู้นั้นเดินเข้ามาไกล้เขาเรื่อยๆ แล้วหยุดลงตรงหน้าเขาเพียงไม่กี่เก้า

“เริ่มเลยหรือไม่?”

คนงามภายใต้หมวกที่ปกคลุมด้วยผ้าไหมสี่ขาวโปร่งบาง นั่นเป็นสิ่งที่น่าดึงงดูดมากที่สุดของเหล่าที่อยากจะยลโฉม พวกเขาอยากกระชากหมวกคลุมนั้นให้รู้แล้วรู้รอด ดั่งเช่นม้าหนุ่มคึกคะนองตรงหน้าของเขาเป็นต้น

กระบี่ฝักสีแดงของคนตรงข้ามดึงออกมาในชั่วพริบตา คนงามตรงหน้าเพียงยืนนิ่งเฉย ปล่อยเบลอให้อีกฝ่ายวิ่งกระโจนใส่ด้วยความหมายหมั้น แต่ทว่าชายผู้นั้นก็เซถลาล้มไปไกลแทบจะกระอักเลือดอยู่ลอมล่อ เมื่อพลังปราณแกร่งของใครอีกคนที่มาพร้อมภาพมายามังกรขนาดมหึมาขู่คำรามใส่เด็กหนุ่มด้วยความพิโรธ 

เด็กหนุ่มตกใจเล็กน้อยเมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ ป้าท้อที่เงียบสงบ ตอนนี้กลายเป็นสนามรบก็มิปราน คนงามที่ยืนนิ่งเมื่อครู่ตาลุกวาวเมื่อทราบดีว่าผู้ที่มาใหม่ เป็นใคร 

“หรงอี้ ท่านมาได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มชุดดำไม่เอ่ยตอบคำถามที่ส่งไปทำหูทวนลมชายผู้นั้นเพียงทันมามองเขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าหาเด็กหนุ่มที่ฝืนพยุงตนขึ้นมาอีกครั้ง 

“ช้าก่อน หรงอี้”

ชายที่พึ่งส่างเมาร้องปราม เมื่อศิษย์พี่ของตนเดินเข้าหาเด็กหนุ่มด้วยความไม่พอใจ ไป๋หลี่หรงอี้ ไม่สนใจคำร้องของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ไป๋ฉางลี่อิงวิ่งเข้าหาเด็กน้อยที่โซซักโซเซอยู่ข้างต้นท้อใหญ่ เดินรุดไปเข้าประคองให้อีกฝ่ายพอทรงตัวได้อีกครั้ง ครั้งนี้เด็กมันเหลี่ยมจัด ได้ฉวยจับที่ผ้าคลุมของเขาออก พร้อมมองไปที่ดวงหน้าที่ผู้คนทั้งยุทธภภพปราดถนาจะปลดเปลื้องมันออกมาเพื่อเชยชม สักคราในชีวิต

เด็กหนุ่มตกตะลึงนิ่งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะเป็นลมล้มเข้าสู้อ้อมแขนของคนงามด้วยท่าทางลามปาม

“จะเข้ามาช่วยทำไม นั่นเขาจะทำร้ายเจ้านะ”

“หรงอี้ใจเย็นก่อน เดี๋ยวข้าอธิบายได้แต่ว่าช่วยข้าก่อนได้หรือไม่”

คราแรกก็ยืนกอดอกมองอยู่อย่างนั้น พอเขาเอ่ยปากขอร้องก็เข้ามาช่วยทันควัน หรงอี้อุ้มเด็กหนุ่มขึ้นพาดป่ากว้างของตนเพื่อกลับไปยังจวนของลี่อิง

เมื่อถึงจวนของอีกฝ่ายหรงอี้ก็นั่งรออีกฝ่ายอยู่นานสองนาน เมื่อลี่อิงพาเด็กนั้นไปเข้านอนพร้อมเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อย่างดี ทำเอาหรงอี้จิ๊ปากไปหลายหน เขาหมั่นใส่กับเด็กแสนมายานั่นเต็มทน พอเห็นหน้าศิษย์น้องเข้าทำเป็นสลบไสล น่าจับตีให้หลังลายเสียจริง





ลี่อิงเมื่อเสร็จภาระกิจ ก็เดินไปนั่งข้างๆ ของชายที่ได้ชื่อว่าศิษย์พี่ของตนอย่างเหนื่อยล้า

“เล่ามา”

หรงอี้ประท้วงคำตอบทันทีที่ขาหย่อนกายลงที่นั่ง

“จำเรื่องแคว้นหลี่เป่ย พรรคต้าจิน เมื่อจ็ดปีก่อนได้หรือไม่”
หรงอี้พยักหน้า ทำนั่งนิ่งเก๊กอยู่อย่างนั้น เพื่อรอให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องคาใจของตนให้จบ

“ข้าเคยสัญญากับเด็กผู้หนึ่งใว้ ว่าถ้าหากเปิดผ้าคลุมของข้าได้ ข้าจะรับขาเป็นศิษย์”

“เกี่วอะไรกับหลี่เป่ย”

“ครานั้นที่ข้าไปตีกับพรรคต้าจินฝั่งประจิม”