ใบปอมักจะไปกินขนมที่ร้านเต้าทึงอยู่เสมอ วันหนึ่งเขาได้พบกับคู่อริที่มาขอนั่งร่วมโต๊ะ ก่อนจะรู้ว่าร้านที่พวกเขารักกำลังจะเลิกขาย ภารกิจกอบกู้ร้านเต้าทึงจึงเริ่มขึ้น สายสัมพันธ์หวานซึ้งก็เช่นกัน...!?

มนตร์รักร้านเต้าทึง - ตอนที่ 1 ผมชื่อใบปอ โดย cutecomember @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,ครอบครัว,ดราม่า,วาย,ชาย-ชาย,ชายรักชาย,ชายชาย,yaoi,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

มนตร์รักร้านเต้าทึง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,ครอบครัว,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

วาย,ชาย-ชาย,ชายรักชาย,ชายชาย,yaoi,ดราม่า

รายละเอียด

ใบปอมักจะไปกินขนมที่ร้านเต้าทึงอยู่เสมอ วันหนึ่งเขาได้พบกับคู่อริที่มาขอนั่งร่วมโต๊ะ ก่อนจะรู้ว่าร้านที่พวกเขารักกำลังจะเลิกขาย ภารกิจกอบกู้ร้านเต้าทึงจึงเริ่มขึ้น สายสัมพันธ์หวานซึ้งก็เช่นกัน...!?

ผู้แต่ง

cutecomember

เรื่องย่อ


TW: ความคิดฆ่าตัวตาย, การพยายามฆ่าตัวตาย, sexist

.

ชายหนุ่มวัยทำงานที่กำลังประสบปัญหาชีวิตจนเกือบฆ่าตัวตาย

และชายหนุ่มวัยทำงานที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนให้ใครรู้ได้

แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามายังร้านเต้าทึง ณ ตลาดแห่งนี้

มนตร์บางอย่างจะจูนประสานหัวใจของทั้งคู่เข้าหากัน

.

นิยายในแต่ละตอนยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์อักษร เกลาภาษา และรีไรต์

จึงอาจมีคำผิด สำนวนการเขียนแปลกๆ หรือรูปประโยคที่อ่านไม่ลื่นอยู่บ้าง




ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และกำลังใจค่ะ

สารบัญ

มนตร์รักร้านเต้าทึง-ตอนที่ 1 ผมชื่อใบปอ

เนื้อหา

ตอนที่ 1 ผมชื่อใบปอ

คุณคิดว่าการทำงานอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์มันน่าเบื่อได้ขนาดไหน


เท่ากับเวลาดู ‘Lebel Noon Director’s cut’?


อืม...ผมมั่นใจแค่ว่าคำตอบคือไม่สนุกแน่ๆ


ผมชื่อใบปอ เป็นชายหนุ่มอายุ 29 ปีที่เรียนจบมาจากสาขาไม่เป็นที่นิยมในการทำงานของประเทศนี้สักเท่าไหร่ สมองของผมไม่ฉลาดเลยกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ แต่ก็ชอบฟังและอ่านทฤษฎีมากมายตามอินเตอร์เน็ต ขณะเดียวกันมันก็คิดไม่ทันเวลาต้องประมวลตัวเลขเยอะๆ จะฐานสอง ฐานสิบ ฐานอะไรก็ช่าง ผมรู้แค่ว่าตัวเองบวก ลบ คูณ หารได้ก็พอใจมากแล้ว


ฉะนั้นสายวิชาที่ผมเลือกเรียนจึงเป็นด้านภาษา แต่ก็หัวช้าจนไม่สามารถยื่นคะแนนเข้าภาควิชาที่ต้องการได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจเรียนสาขาที่จบมาด้วยหวังว่ามันจะทำให้ครอบครัวพึงพอใจกับชื่อมหาวิทยาลัยที่จะปรากฏในใบปริญญาและใบสมัครงาน


ด้วยเหตุนี้ผมเลยไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอะไรกันแน่ เวลาทำอะไรก็ไปไม่สุดสักทางมักจะเลิกเอากลางคันเสมอ เขียนนิยายก็แทบไม่เคยจบ ขยันเปิดเรื่องแต่ไม่ขยันสานต่อจนบ่อยครั้งก็ถูกลืม พอกลับมาเขียนต่อก็มักจะถูกคอมเม้นต์แย่ๆ ถาโถมเข้าใส่จนหมดกำลังใจไปทุกที พอมีคอมเม้นต์เชิงบวกเข้ามาหน่อยจิตใจดันจดจำแต่คอมเม้นต์ก่อนหน้าจนสุดท้ายก็เลิกเป็นนักเขียนสมัครเล่นไปเสียดื้อๆ


พอเปลี่ยนมาเป็นสายงานบริการก็เหมือนจะไปรุ่ง แรกๆ ผมมักจะสนุกกับการได้พบปะลูกค้า เจอผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาใช้บริการที่ร้านหนังสือที่ทำงานอยู่ สารภาพตามตรงว่ามันรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้หยิบยื่น แลกเปลี่ยน และแนะนำหนังสือใหม่ๆ ให้กับกลุ่มผู้อ่านใหม่ๆ ถึงขั้นฝันหวานว่าตนเองคงมาได้ดีกับงานแนวนี้จึงทุ่มเทพลังใจและแรงกายทั้งหมดลงไปกระทั่งโลกเหวี่ยงปัญหาเข้ามารุมเร้ามากขึ้น


เพื่อนร่วมงานไม่เอาอ่าวบ้างล่ะ หัวหน้างานไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ สุดท้ายความทะเยอทะยานที่มีอยู่ก็มอดดับลงแล้วมีแต่ความเหนื่อยล้ามาแทนที่ หัวใจเหี่ยวเฉาถึงขนาดตื่นขึ้นมาเพื่อไปทำงานแล้วกลับบ้านมานอนพัก วนลูปแบบนั้นจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ


ที่ทำงานแสนน่าเบื่อไม่ใช่เงินเดือน แต่เป็นผู้คน


หากมีเทพสักองค์ที่ให้พรเรื่องการพบปะเพื่อนร่วมงานดีๆ ล่ะก็บอกผมด้วยนะ จะรีบไปขอและถวายของสักการะเป็นประจำเลย


จากนั้นชีวิตของผมก็เปล่าเปลี่ยวไปอีกช่วงใหญ่ พอลาออกแล้วกลับมาอยู่บ้านก็กลายเป็นคนว่างงานที่ได้แต่เกาะที่บ้านกินไปวันๆ ครั้นจะคิดล่าตามหาฝันก็รู้สึกเลยช่วงวัยนั้นมาแล้วจนใจฝ่อ แถมครอบครัวของผมก็ไม่ได้ร่ำรวย เรียกว่าเป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างก็ไม่ผิดนัก ในฐานะลูกชายคนโตแล้วจึงมีภาระหน้าที่ในแบบที่ลูกชายคนโตพึงมี ยิ่งเป็นตระกูลเชื้อสายจีนยิ่งตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดง่ายไม่ต่างจากแก้วที่รอค้อนทุบลงมา


วันหนึ่ง เสียงเพล้งก็ดังขึ้นในหัวของผมพร้อมกับภาพของพ่อและแม่ที่ไม่ใช่ที่พึ่งทางใจอีกต่อไป


ความสัมพันธ์ที่พวกเราเคยมีแตกหักลงด้วยเหตุผลที่ผมลงทะเบียนสวัสดิการแล้วได้คนแรกของบ้าน


ผมถูกบ่น ด่า และโกรธถึงขนาดเอาไปพูดให้บรรดาเพื่อนบ้านฟังว่าเป็นลูกอกตัญญูที่ทำอะไรให้พ่อแม่ไม่ได้สักอย่าง เป็นคนไร้ค่า ไหนจะเอาแต่ตัวเองและช่างเห็นแก่ตัวจนไม่มีเสียยังดีกว่า


วินาทีนั้น เซฟโซนทั้งหมดพังครืนลงต่อหน้าต่อตาแล้วร่างของผมก็ร่วงดิ่งลงไปในหุบเหวไร้ก้นบึ้ง


ผมมันไร้ค่า ไร้ประโยชน์ และไม่สามารถทำให้ครอบครัวยอมรับได้


ถ้อยคำเหล่านี้ตามหลอกหลอนผมทั้งในความเป็นจริงและความฝันจนข่มตานอนไม่ลง สุขภาพของผมย่ำแย่ กินอาหารไม่ลง เอาแต่หมกตัวอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมวาดฝันไปยังอนาคตที่สดใสกว่านี้


หากพูดตามสัตย์จริงจุดแข็งของผมอาจจะเป็นจินตนาการล่ะมั้ง


ว่าไงดี ผมสามารถล่องลอยเข้าไปในโลกแสนสวยงามที่ตัวเองคิดได้ เก็บตัวอยู่ในนั้นเพื่อรักษาใจโดยไม่สนเสียงรอบข้าง หรือไม่ก็ใช้วิธีการบรรยายพวกมันออกมาในไดอารี่พร้อมกับเล่าความอัดอั้นตันใจลงไปในคอมฟอร์ทโซนใหม่นี้


แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกเปิดโปงด้วยฝีมือของคนในครอบครัว พ่อแอบอ่านไดอารี่ของผมแล้วเริ่มไม่พอใจ


นับแต่นั้นความสัมพันธ์กับครอบครัวก็ระส่ำระส่ายจนผมตัดสินใจย้ายออกมาเช่าห้องอยู่ตัวคนเดียว


แน่นอนว่าไม่มีใครสนับสนุนผม แถมยังด่าผมเสียเกือบตัดขาดทางสายเลือด


มันก็ทำผมเจ็บอยู่หรอก ถึงอย่างนั้นผมกลับเลือกที่จะรักษาเศษเสี้ยวของจิตใจซึ่งยังอยู่ในสภาพดีของตัวเอง ไม่รู้เลยว่าหากมันถูกย่ำยีเหมือนส่วนอื่นๆ ไปแล้วผมจะยังมีชีวิตมาเล่าเรื่องของตัวเองให้ทุกคนฟังหรือเปล่า


ต่อมาผมก็เริ่มหางานทำ ผันตัวเป็นฟรีแลนซ์และรับงานมาหลายรูปแบบกระทั่งได้เจอกับงานปัจจุบัน โชคดีคือมันมีงานเรื่อยๆ ให้ทำทั้งวันหากว่าผมทำไหว โชคร้ายคือมันเริ่มกลืนเส้นแบ่งคำว่าพอดีระหว่างวันทำงานกับวันหยุดไป จนสุดท้ายผมก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองนั่งโหมงานติดกันเป็นสัปดาห์มากี่เดือนแล้ว


ครั้นมารู้สึกตัวก็ตอนวูบหัวโขกไปกับคีย์บอร์ด เกือบได้สู่ขิตไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกแล้วนะนี่




เอาล่ะ พวกคุณคงสงสัยกันแล้วว่าตลอดสองหน้าที่ผ่านมาทำไมต้องมาทนอ่านชีวิตดราม่าของผู้ชายคนหนึ่งด้วย


ผมก็ให้คำตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าพวกคุณยังไม่กดปิดหน้าต่างนี้ไปก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้กันได้แล้ว




เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองเริ่มใช้ชีวิตหมกมุ่นกับการหาเงินเยอะเกินไปผมก็เริ่มหันมาดูแลตัวเอง เริ่มจากปรับตารางเวลาการนอน จัดระเบียบความคิดไม่ให้ยึดติดกับงาน แล้วก็เพิ่มเวลาพักให้ตัวเองจนสามารถออกไปเดินตลาดโต้รุ่งตอนกลางคืนได้


แต่ด้วยการทำงานอย่างหนักอยู่แต่ที่เดิมๆ และกินเพียงมาม่าหรืออาหารแปรรูปนานเกินไป ร่างกายของผมจึงไม่ต่างจากซอมบี้ที่หิวโหยเสียคนรอบข้างพากันสะดุ้งโหยง ใครมองมาเขาก็นึกว่าผมหลุดมาจากหนังสยองขวัญสักเรื่อง ทั้งดวงตาลึกโบ๋ แก้มตอบ ร่างสูงผอมแห้ง ที่ยังเดินเหินได้เนี่ยก็นับว่าบุญที่ทำมายังไม่หมดไป


ในที่สุดผมก็เดินมาถึงร้านข้าวหมูแดงที่หมายมั่นว่าจะกินในวันนี้ จังหวะที่จะก้าวขาเข้าไปสั่งมือก็ดันจับกระเป๋ากางเกงเพื่อเช็กว่าได้หยิบกระเป๋าตังค์มาหรือเปล่า


คุณคิดว่าในเวลาแบบนี้คำตอบจะเป็นอะไรได้บ้าง


ใช่แล้ว ผมลืมหยิบเงินและมือถือออกมา


ตอนนั้นผมถึงกับเข่าทรุดลงไปนั่งอยู่บนฟุตบาท มองรถเข็นขายข้าวหมูแดงตาละห้อยพร้อมกับกลืนน้ำลายเอื๊อก คนเดินผ่านไปมามีแต่เร่งฝีเท้าให้ก้าวพ้นผมเร็วๆ เพราะกลัวจะถูกขอเงิน บ้างก็ไม่อยากเฉียดเข้าใกล้สภาพทุเรศทุรังลูกตาจนผมได้แต่น้ำตาตกใน


ไม่เหลือแม้แต่แรงจะลุกเดินกลับไปหยิบกระเป๋าตังค์หรือมือถือที่ห้องพักด้วยซ้ำ


จังหวะที่ความสิ้นหวังกลืนกินตัวผมจนแทบสะกดมันไม่เป็นแล้วนั้นเอง เสียงดังกังวาลราวกับระฆังโบสถ์ก็ดังขึ้นข้างๆ


“ไอ้หนุ่ม มากินขนมร้านลุงก่อนมั้ยลูก”




***




“เฮ้ย ใบปอ มึงจะรีบกลับไปไหนวะ”


“ทำไมวะ ก็งานส่วนของกูเสร็จแล้ว”


ใบปอหันไปถามเพื่อนร่วมงานที่ตะโกนข้ามโต๊ะมาจากอีกฟากขณะเห็นเขากำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า มันไม่รู้หรือไงในเวลาแบบนี้คนมารยาทเขาไม่ทักให้อยู่ทำงานต่อทั้งที่หมดเวลาเลิกงานแล้ว หนำซ้ำยังใช้คำถามเชิงกดดันชนิดที่ไม่รู้จะตอบว่าอะไรกลับไปดี แต่ไม่ใช่กับคนที่เคยผ่านการทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกือบตายมาแล้วอย่างเขา


“ก็เปล่าหรอก” มันว่า แล้วยักไหล่พร้อมทำหน้าเหมือนเขาเป็นพวกไร้มารยาท “แค่คิดว่ามึงนี่ชิลดีนะ คนอื่นเขายังทำงานต่ออีกหน่อยแท้ๆ”


“บริษัทบอกว่าเข้างานเก้าโมงเช้า เลิกงานหกโมงเย็น กูไม่ได้ทำผิดกฏข้อไหนแล้วทำไมต้องอยู่ต่อด้วยวะ”


“เอ้า ไอ้นี่ ดูมันตอบดิ”


“น่าๆ คนเขารีบก็ให้กลับไปก่อนเถอะ”


เมื่อหัวหน้างานที่นั่งอยู่หัวมุมสุดเอ่ยขึ้นเป็นเชิงอนุญาต คนอื่นในทีมก็พากันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยรู้ว่านี่มันคือคำประชด แต่ขอย้ำอีกครั้งว่ามันใช้ไม่ได้กับใบปอ เขายึดถือเรื่องการเข้า-ออกงานตรงเวลาเป็นที่สุด


“งั้นผมกลับก่อนนะครับหัวหน้า ถ้ามีงานส่วนไหนต้องแก้ผมจะมาดำเนินการให้พรุ่งนี้ตอนเช้า”


“เดี๋ยว ฉันไม่ได้บอกให้เธอกลับได้นะ”


แม้จะมีเสียงบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ดังตามหลังของชายหนุ่มมา เขาก็จ้ำเท้ามุ่งหน้าไปยังลิฟต์เพื่อรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด


ติ๊ง!


“ฮึๆ ~”


ใบปอหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขณะวาดฝันถึงเมนูของหวานร้านโปรดที่ตนจะกลับไปสั่งในวันนี้ เห็นลุงเจ้าของร้านบอกว่ามีเมนูใหม่อยากแนะนำตั้งสามอย่าง ดูท่าว่าวันนี้เขาน่าจะเหมาซื้อหมดแผงจนแทบกินแทนข้าวเย็นได้เลยด้วยซ้ำ


แต่เดี๋ยวก่อนซิ คนเราสามารถบริโภคน้ำตาลได้ไม่เกินกี่กรัมต่อวันกันหว่า


ขืนเป็นเบาหวานแล้วถูกหมอสั่งงดขนมร้านของลุงขึ้นมาเขาคงได้ขาดใจแน่


คิดไปใบหน้าของชายหนุ่มก็เคร่งเครียดไป เดี๋ยวหัวคิ้วก็ย่นยู่เข้าหากัน เดี๋ยวก็โก่งโค้งอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเหมือนคนหลุดเข้าไปในโลกของตัวเองอย่างไม่มีวันกลับออกมาได้ชัดๆ


ติ๊ง!


เมื่อได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิดออก ใบปอก็ตั้งท่าจะเดินออกไป แต่เขากลับถูกคนที่เดินสวนเข้ามาชนเข้าอย่างจังจนเซไปหลังกระแทกผนังลิฟต์ด้านหลัง ทำเอาอารมณ์ดีๆ เมื่อครู่กระเจิงไปคนละทิศคนละทาง ต้องแหงนหน้ามองผู้มาใหม่ที่ชนกันแล้วยังไม่เอ่ยปากขอโทษอีก


“นี่ คุณชนผมแล้วไม่คิดจะขอโทษหน่อยเหรอ”


“คนที่เดินออกมาไม่ดูตาม้าตาเรือคือคุณนะ”


คนถูกกล่าวโทษเสียเองหน้าหงิกไปครู่หนึ่ง จ้องกลับไปยังชายผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งมีรูปร่างใหญ่กว่าตนมาก ถ้าพูดให้ถูกคือหมอนี่ตัวสูง ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ชุดสูทที่สวมอยู่จึงดูเหมือนจะปริได้ตลอดเวลา เฉกเช่นเดียวกับโทสะของเขาที่พุ่งปรี๊ดขึ้นมาเมื่อกี้


“ผมนึกว่าถึงชั้นล่างสุดแล้ว”


“ทีหลังก็หัดมองก่อนออกจากลิฟต์ซะสิ”


ใบปอเหมือนได้ยินเสียงปึดดังในขมับข้างขวา คิ้วกับมุมปากข้างเดียวกันกระตุกหงึกๆ จนต้องหันไปสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อคลายแรงโกรธ ไม่อยากมีเรื่องจนเลยเถิดแล้วไปกินขนมร้านลุงไม่ทันเสียด้วย


“เอาเถอะครับ หนนี้จะถือว่าผมผิดเอง คราวหน้าคุณก็อย่าลืมดูก่อนว่ามีใครจะออฟจากลิฟต์มั้ย จะได้ไม่ไปชนแล้วเรียกร้องทำตัวเป็นเหยื่อ”


วินาทีนั้นดวงตาแข็งกร้าวก็ตวัดมองมาเหมือนจะเอาเรื่อง ทำคนที่ปากเก่งจนถึงเมื่อครู่ชะงักถอยกรูดหนีตามสัญชาตญาณ กอดกระเป๋าเป้ตัวเองไว้แนบอกพลางตั้งหลักรอดูว่าจะถูกหมีตรงหน้าจู่โจมหรือไม่ นับว่าดีที่เสียงลิฟต์แจ้งเตือนถึงชั้นล่างสุดดังขึ้นพอดี เมื่อประตูเปิดออกแล้วอีกฝ่ายก็เดินหลังตรงแหน็วออกไปโดยไม่หันมามองเขาอีก




เย็นวันนี้ตลาดแถวอพาร์ตเม้นต์ของใบปอก็ยังคึกคักเหมือนเคย ตั้งแต่บีทีเอสเส้นใหม่สร้างเสร็จการเดินทางผ่านย่านนี้ก็สะดวกจนคนสัญจรมามากขึ้น ทั้งพวกวัยรุ่น วัยทำงาน หรือแม้แต่นักต่างชาติ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่โอบล้อมทั้งตลาดให้คึกครื้นเหมาะกับการเปิดไปจนถึงโต้รุ่งจริงๆ


ชายหนุ่มเดินอย่างอารมณ์ดีไปยังร้านประจำด้วยหวังว่าจะได้เพลิดเพลินไปกับเมนูขนมหวานเมนูใหม่ เขาฮัมเพลงพลางฉีกยิ้มแป้นเมื่อเห็นรถเข็นของร้านประจำอยู่ในครรลองสายตา ผิดคาดแค่ว่าไม่มีลูกค้านั่งอยู่เลยสักคน


แบบนี้ก็โชคดีสิ


ใบปอคิด แล้วแจ้นไปหาลุงพร้อมเอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง


“สวัสดีครับลุงนวน วันนี้มีอะไรให้ผมกินบ้างล่ะ”


“อ้าว ไอ้หนุ่ม ลุงก็รอเมื่อไหร่เอ็งจะมา”


ลุงนวนเป็นเจ้าของร้านเต้าทึง ณ ตลาดโต้รุ่งแห่งนี้ เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดที่มีใบหน้ายิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่งตัวยังไง หรือมีภาพลักษ์แบบไหน ถ้าเป็นลูกค้าแล้วลุงจะปฏิบัติดีด้วยอย่างเท่าเทียมแน่นอน จึงไม่ยากเลยหากจะมีขาประจำแวะเวียนมาอุดหนุนขนมที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง


“พอดีเจอคนนิสัยแย่เลยมาช้าน่ะ ผมมีดวงเรื่องเพื่อนร่วมงานแย่จริงๆ”


“ผู้คนมากหน้าหลายตา นิสัยใจคอหลากหลาย อะไรปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยเถอะลูกเอ๊ย”


ใบปอผ่อนลมหายใจเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ในลิฟต์ คันปากอยากจะเล่าแต่อีกใจไม่พูดถึงให้เสียอารมณ์ดีกว่า


“เมนูใหม่มีอะไรบ้าง ผมเหมาหมดเลย”


“ฮ่าๆ เอ็งมาทีไรเหมาหมดตลอด เอาไปเลี้ยงแฟนเรอะ”


“เปล่าซะหน่อย ก็อยากจะมีเลี้ยงอยู่หรอกนะ”


ชายหนุ่มตอบกลับด้วยท่าทีแอบเสียดาย อายุปูนนี้ไม่เคยคบใครเพราะไม่รู้ว่าตัวเองชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ สุดท้ายเลยหันมาจดจ่ออยู่กับชีวิตตัวเองจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้อีกเลย


หรือไม่...เขาก็แค่กลัวการสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ


ชั่วพริบตานั้นอดีตของตนกับครอบครัวก็แวบเข้ามาในหัว หัวใจปวดแปลบทั้งที่คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว


“เอ้า แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน”


“มะพร้าวอ่อนเหรอลุง โห เล่นของแพงซะด้วย”


“ก็ต้องมีลูกเล่นใหม่ๆ มาดึงดูดลูกค้าบ้างสิ”


“แบบนี้ขายดีแน่นอน”


“สมพรปากเถอะลูกเอ๊ย”


ใบปอระริกระรี้เป็นพิเศษเมื่อตนจะได้กินแปะก๊วยมะพร้าวอ่อนฝีมือของลุงเป็นคนแรก เขาเดินจากหลังรถเข็นไปนั่งที่โต๊ะพับด้านหน้า ไม่นานลุงก็เดินถือถ้วยขนมดังกล่าวมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำเย็นๆ หนึ่งแก้ว


“ผมจะกินไม่ให้เหลือแม้แต่น้ำสักหยด”


“ไม่พอก็ขอเติมได้ตลอดเลยนะ”


ว่าแล้วชายหนุ่มจ้วงลงไปตักแปะก๊วยกับน้ำมะพร้าวหอมมาเข้าปากไปเต็มคำ วินาทีที่ความหอมหวานแผ่ซ่านไปทั้งโพรงปากเหมือนตนถูกสาดด้วยน้ำเย็นชื่นฉ่ำหัวใจ เม็ดแปะก๊วยนั้นก็กรอบเด้งไปตามจังหวะบดเคี้ยวของฟัน ไหนจะรสกลมกล่อมของเนื้อมะพร้าวอ่อนกำลังดีที่ละมุนลิ้นเหมือนทิ้งตัวบนปุยนุ่น เรียกได้ว่าแค่คำเดียวก็ดึงดูดให้มีคำที่สอง สาม สี่ และห้าตามมาจนหมดถ้วยในเวลาไม่นาน


“ผมเอาอีกถ้วยครับ!”


“กินเร็วแท้ไอ้หนุ่ม เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”


ถึงลุงจะบ่นแต่ก็คลอไปด้วยกระแสเสียงเอ็นดู มันเลยทำให้คนที่เพลิดเพลินอยู่กับขนมลืมเรื่องน่าปวดหัวตอนทำงานไปได้เป็นปลิดทิ้ง เฝ้าตั้งตารอแปะก๊วยมะพร้าวอ่อนถ้วยที่สองซึ่งลุงนวนก็ยกมาเสิร์ฟได้รวดเร็ว


“อร่อย! อร่อย! อร่อยยยยย!!”


ใบปอกินไปก็ตะโกนไม่สนใครหน้าไหน ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับจนคนรอบข้างที่ได้ยินพากันหยุดยืนกลืนน้ำลายลงคอ บ้างก็น้ำลายสอตั้งท่าจะเดินมาร่วมวงด้วย ยิ่งชายหนุ่มกินด้วยความเอร็ดอร่อยมากแค่ไหนยิ่งดึงดูดผู้คนมากเท่านั้น


จนกระทั่ง


“ลุงครับ ผมขอแปะก๊วยมะพร้าวอ่อนเหมือนเมื่อวานถ้วยหนึ่ง”


หืม?


คนที่กำลังเพลินกับขนมของตนหยุดกึกแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงคุ้นหู เมื่อเห็นรูปร่างสูงใหญ่กับดวงตาไม่เป็นมิตรแล้วก็นึกออกทันควัน นิ้วจึงชี้ไปที่หน้าคู่อริแล้วตะโกนว่า


“นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!”


คนถูกชี้หน้าขมวดคิ้วมุ่นแล้วตอบกลับอย่างซื่อตรง


“มาซื้อขนมน่ะสิ เห็นว่ามาทำอะไรล่ะ”


โอ๊ย ฝีปากมันน่าเย็บติดกันจริงๆ