ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาร่ายรักฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป
ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก
การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’
เคอหลิ่งหลินอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มซ้อมเพลงกระบี่กับจ้าวจิ่นสือ แม้จะเป็นหญิงแต่เพลงกระบี่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าชาย ยิ่งรูปร่างแบบบางการเคลื่อนไหวดุจวิหคร่อนลมยิ่งทำให้การท่วงท่าเคอหลิ่งหลินดูงดงามนัก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือก็สง่าสมกับบุตรชายแม่ทัพจ้าว
แววตาของผู้เป็นบิดามองดูทั้งสองฝึกซ้อมเพลงกระบี่ด้วยความพึ่งพอใจ เสียดายที่เลี้ยงดูเคอหลิ่งหลินมานานแม้นางจะยอมเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ แต่ลึกๆ แล้ว นางทำเพื่อให้เขาสบายใจ คงยากนักที่จะลบบาดแผลในใจของนางได้
หางตาของหญิงสาวเห็นเงาร่างของผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ มือเรียวชะงักไปและเผลอลดกระบี่ลงทำให้จ้าวจิ่นสือปัดกระบี่ในมือนางตกลงพื้นได้อย่างง่ายดาย
“หลิ่งหลิน” ชายหนุ่มเรียกด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ แต่คนถูกเรียกกลับยิ้มทะเล้นก่อนเก็บกระบี่แล้วหมุนตัวมองคนที่เดินเข้ามาเต็มตา
“พ่อบ้านตู้กลับมาแล้ว” เคอหลิ่งหลินทักทาย
“คุณหนูหลิ่งหลิน” พ่อบ้านตู้ก้มศีรษะให้แล้วทำความเคารพแม่ทัพจ้าวและคุณชายจ้าวจิ่นสือ
“เป็นอย่างไรบ้างจัดการธุระที่บ้านเสร็จแล้วหรือ”
เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการตื่นเต้นดีใจ ซึ่งมันเด่นชัดเสียจนจิ่นสือเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ขอรับคุณหนู ขอบคุณที่เป็นห่วง”
พ่อบ้านตู้อายุห้าสิบกว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงแม้จะมีผมขาวแซมแล้วก็ตาม เขาลากลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขา แววตาเป็นประกายที่และท่าตื่นเต้นเหมือนรอให้อีกฝ่ายออกปากพูดเสียเอง ทำให้พ่อบ้านตู้เผลอหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กน้อยของคุณหนูของเขา
หลายปีก่อนนั้น เขาเห็นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวซุกซนกับบิดาของนาง เกือบสิบปีที่แล้วเขาหลงป่า คราวนั้นเขาเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความใจร้อนที่เพราะข่าวมารดาป่วยหนักจึงหาทางลัดตามที่เคยได้ยินมา ทว่ากลับถูกหลอกจากกลุ่มโจรที่หวังแย่งชิงทรัพย์สิน เขาไม่มีวรยุทธอะไรได้แต่วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจนได้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าช่วยเหลือ หลังจากเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว อยู่ดูแลปรนนิบัติท่านแม่จนหายดี พอกลับมาอีกครั้งก็สืบเสาะค้นหาผู้มีพระคุณของเขา
เมื่อได้พบและพูดคุยกับบิดาของนาง เขาลองเอ่ยปากชวนให้มาทำงานรับใช้แม่ทัพจ้าวซึ่งกำลังขาดคนที่รู้และเชี่ยวชาญเรื่องการแกะรอย เงื่อนไขเดียวของเคอตงตงคือที่ใดที่เขาอยู่ที่นั้นต้องมีลูกสาวของเขาอยู่ด้วย เมื่อความสามารถของเคอตงตงเป็นที่ต้องการ ท่านแม่ทัพจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขนั้น ทว่าการมีลิงน้อยแสนซนในค่ายทหารไม่ได้ทำให้เสียการปกครองแต่อย่างใด หลายครั้งที่อาศัยความคล่องแคล่วว่องไวของเคอหลิ่งหลินแอบลอบเข้าไปสืบดูเสบียงอาหารของอีกฝ่ายเพื่อประเมินการศึกได้
แม้ผู้หญิงมิควรอยู่ในกองทัพ แต่ความสามารถของเคอ หลิ่งหลินเป็นที่ยอมรับ กฏเกณฑ์จึงถูกผ่อนปรน ให้ยึดความสามารถของคนเป็นหลัก หญิงสาวจึงอยู่ในกองทัพเป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากเหล่าทหาร ยามออกรบนางดูเคร่งขรึม แม้เพียงสบตาก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ ทว่าเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว นางกลับกลายเป็นเพียงหญิงสาวร่าเริงที่ออกจะอ่อนความเป็นกุลสตรีสักนิด บางครั้งนางก็เจ้าเล่ห์เหลือจะกล่าวที่ใช้ความอ่อนหวานทำให้ผู้อื่นใจอ่อนได้ นางจึงดูมีหลายบุคลิกยากเกินคาดเดาได้
“อ้อ! กลับบ้านครั้งนี้ข้าน้อยได้ขลุ่ยผิวที่ทำด้วยไผ่เซียงเฟย (ลายด่าง) มาฝากคุณหนูหลิ่งหลินด้วย ไม่ทราบว่าจะถูกใจคุณหนูหรือไม่”
“จริงรึ” นางสืบเท้าเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นในห่อผ้าของพ่อบ้านมีถุงผ้าอยู่ใบหนึ่งที่เดาได้ไม่ยากว่าใส่ขลุ่ยที่นางปรารถนาไว้เป็นแน่ เพราะนางย้ำหนักหนาให้พ่อบ้านตู้หาขลุ่ยดีๆ ให้นางสักเลา
“ขลุ่ย?” จ้าวจิ่นสือเอ่ยขึ้นอย่างฉงน แต่เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านตู้ส่งถุงผ้าให้เคอหลิ่งหลินแล้ว นางรีบเปิดถุงออกแล้วหยิบขลุ่ยผิวลักษณะงามออกมาหนึ่งเลา
“นี่เจ้ายังไม่ถอดใจเรื่องขลุ่ยนี่อีกรึ” เป็นจ้าวจิ่นสืออีกนั้นแหละที่กล้าเอ่ยประโยคทำร้ายจิตใจนางได้ แต่กระนั้นเคอหลิ่งหลินเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปากให้
“เรื่องของข้า” นางไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเพราะกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วหันไปหาท่านแม่ทัพที่ทำหน้ายุ่งไม่แพ้บุตรชาย “ท่านพ่อ ข้าฝึกเพลงกระบี่เสร็จแล้ว ขอตัวไปฝึกเพลงขลุ่ยนะเจ้าค่ะ”
“เอ่อ...เอาซิ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มระรื่นประคองขลุ่ยเลาใหม่ในมือแล้วเดินยิ้มร่าออกไป
“นางไปฝึกเป่าขลุ่ยที่ใดกัน” บิดาเอ่ยถามทั้งยังนึกขยาดหวาดกลัวอยู่ในใจ
“คงเข้าป่าเหมือนเคย”
จ้าวจิ่นสือส่ายหน้าไปมา ถ้าเรื่องความพยายามแล้วนางเป็นเลิศแต่เสียงขลุ่ยที่นางพยายามฝึกฝนช่างแสนร้ายกาจนัก เรียกว่าปวดหูหรือปลุกผีให้ตื่นได้ทั้งป่าช้าเลยทีเดียว และอีกนั้นแหละไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสองปีก่อนนางก็ลุกขึ้นอยากจะเป็น ‘คุณหนูผู้สูงศักด์’ ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเอาดีด้านนี้ไม่ได้เลยสักอย่าง กาพย์กลอนหรือร่ายรำอ่อนด้อยเสียจนบรรดาอาจารย์ที่ท่านแม่เชิญมาสอนต้องขอลาขาด บางรายถึงขั้นไม่ขอรับเงินค่าสอนด้วยซ้ำ ความพยายามนะมี แต่ความสามารถไม่เกิดและพรสวรรค์ก็ไม่ได้ติดปลายเล็บนางมาสักนิด
แต่สองปีก่อนนางกลับขุดทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาฝึกปรืออีกครั้ง บางสิ่งเขาช่วยสอนนางได้บ้าง แต่เรื่องเพลงขลุ่ยของนางนั้น เสียงบาดหูทะลุทะลวงไปถึงเครื่องใน ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้านาง มีแต่เขาที่อดรนทนไม่ไหวพูดความจริงกับนางออกไป แทนที่นางจะถอดใจไม่ฝึกเพลงขลุ่ยแต่นางกลับถือขลุ่ยเดินเข้าป่าไปเสียนี่
“เจ้าก็น่าจะติดตามไปดูนางเสียหน่อย” แม่ทัพจ้าวเป็นห่วงลูกสาวบุญธรรม
“ข้าว่าให้นางไปฝึกเพลงขลุ่ยให้ต้นไม้ในป่าฟังนะดีแล้ว” เพราะอย่างน้อยคงไม่มีใครล้มตายเพราะเสียงขลุ่ยของนาง
แม่ทัพจ้าวเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เพราะเขาเองก็เคยฟังเสียงขลุ่ยทะลวงจิตของลูกสาวบุญธรรมาแล้ว ยังเคยคิดอยู่ว่า หากต้องจับเชลยศึกมาล้วงความลับให้คายความจริง ปล่อยให้พวกมันฟังเสียงขลุ่ยของเคอหลิ่งหลิน พวกมันคงวิงวอนขอชีวิตเลยทีเดียว คิดได้แบบนี้แล้วทั้งสามก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่มีใครกล้าติดตามหญิงสาวที่เดินออกไปพร้อมขลุ่ยเลาใหม่ของนาง
ขณะที่เดินออกมาพร้อมหัวใจที่เบิกบาน จ้าวหลิ่นหลิงพลันเห็นกลุ่มคนที่กำลังเตรียมตัวจะเดินทาง นางจำได้ว่าบางคนเป็นคนที่มาพร้อมกับหัวหน้าโจรที่กวาดต้อนกลับมาที่จวนด้วย หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปก็พบใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคน
“พวกท่านจะไปกลับแล้วหรือ”
“ขอรับคุณหนู” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ต้องขอบคุณคุณหนูที่ทำให้ท่านแม่ทัพไม่ส่งพวกเราไปอยู่ในคุก”
“ไม่ใช่ข้าหรอก เป็นเพราะท่านแม่ทัพกับคุณชายจิ่นสือต่างหาก” นางหวังให้คนอื่นมองนางเป็นเคอหลิ่งหลินมากกว่าเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว
“หากผ่านไปแถวนั้น ข้าจะแวะไปเยี่ยมพวกเจ้า”
“ขอรับคุณหนู พวกเราหวังใจว่าจะได้ต้อนรับคุณหนู”
หญิงสาวมองดูทุกคนด้วยหัวใจชื่นบาน เป็นความคิดของจ้าวจิ่นสือเองที่ใครอยากกลับบ้านเกิดก็ส่งกลับไป ใครอยากสมัครเป็นทหารก็รับไว้ ทำให้หลายคนซาบซึ้งในน้ำใจครั้งนี้
“คุณหนู พวกเราไม่มีของมีค่าอะไรตอบแทนท่าน มีเพียงของเล็กน้อยเพียงนี้ ท่านจะรับน้ำใจของพวกเราไว้ได้หรือไม่”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นปิ่นไม้ธรรมดา แต่ตรงปลายแกะสลักลายโบตั๋นดูงดงามนัก ใบหน้าหวานยิ้มกว้างแล้วรับมาด้วยความดีใจอย่างไม่เสแสร้ง
“สวยจัง”
“แค่ปิ่นไม้ธรรมดาขอรับ”
“สวยมาก ข้าชอบมาก ขอบคุณนะ” นางชอบปิ่นไม้นี้มากและไม่ลังเลที่จะปักปิ่นนั่นทันที ทำให้ใครต่อใครต่างยิ้มปลาบปลื้มชื่นชมในความเป็นกันเองไม่ถือตัวของนาง “ข้าส่งทุกท่านได้แค่นี้ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
“ขอบคุณคุณหนู”
หญิงสาวยิ้มรับแต่รู้สึกถึงการมาของอาชาสามตัวที่วิ่งตรงมายังจุดที่นางยืนอยู่ ดวงตาคมหรี่มองอย่างประเมินผู้มาใหม่ บุรุษบนหลังม้าบังคับม้าให้หยุดตรงหน้านาง เสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มบ่งบอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เคอหลิ่งหลินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่งไม่หวาดหวั่นอีกฝ่ายที่แม้จะมีผ้าปิดครึ่งหน้าแต่สายตาดุดันที่จ้องมองนางอยู่
“นี่ใช่จวนแม่ทัพจ้าวหรือไม่”
“อยู่ที่ผู้มามีจุดประสงค์ใด” นางตอบอย่างกวนโทสะอีกฝ่าย
ชายหนุ่มบนหลังม้าแค่นเสียงหัวเราะในลำคอก่อนกระโดดลงมาอย่างสง่างาม ยื่นบังเหียนม้าส่งให้เคอหลิ่งหลิน นางมองมือใหญ่ข้างนั้นแล้วค่อยมองหน้าอีกฝ่ายอย่างประเมินสถานการณ์
“เอาม้าไปเก็บ”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่ามาถูกที่หมายแล้ว”
“ขนาดคนรับใช้ยังปากกล้าคงมาไม่ผิดที่แล้ว”
‘คนรับใช้!’
เคอหลิ่งหลินกัดฟันแล้วเชิดหน้าขึ้น ผู้ที่ได้ยินยืนอยู่ใกล้สะดุ้งเฮือก จะเข้ามารับบังเหียนม้านำม้าไปเข้าคอกให้แต่มือเรียวคว้าไว้ก่อน นางยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร ชายทั้งสามก็ก้าวเดิน
เข้าไปในจวนแล้ว
“คุณหนู ข้าเอาม้าไปเก็บเองขอรับ” คนรับใช้เรียกนางเบาๆ ด้วยเกรงใจผู้เป็นนาย แม้นางคลุกคลีกับบ่าวไพร่ตลอดจนนายทหารชั้นผู้น้อย ทว่านางยังเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว
“ข้าต้องรบกวนแล้ว” หญิงสาวยื่นบังเหียนส่งให้ แต่อดชื่นชมม้างามตรงหน้าไม่ได้ นางยื่นมือไปลูบมันเบาๆ “ท่าทางจะเหนื่อย จะให้คนพาไปพักผ่อน”
หากไม่ติดว่านางมีที่ที่ต้องไปแล้วละก็ นางคงอยู่ดูว่าผู้มาเยือนเป็นใครกัน แต่เอาเถอะ หญิงสาวไหวไหล่เล็กน้อยแล้วเดินจากออกไปด้วยรอยยิ้ม นางไม่ได้ใส่ใจหรอกหากใครมองว่านางเป็นหญิงรับใช้หรือบ่าวไพร่ เพียงแค่ตะขิดตะข่วงใจอยู่ลึกๆ เป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใดกัน จึงได้มองผู้อื่นด้วยหางตาและหยามเหยียดเช่นนั้น
หญิงสาวเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยเส้นทางลัดที่ใช้ประจำ ไม่นานนักก็มาถึงโรงหมอแห่งหนึ่ง ที่ขึ้นชื่อว่ามีหมอเทวดารักษาผู้คนด้วยความเมตตาอยู่ที่นี่ เคอหลิ่งหลินไม่ได้เจ็บป่วยอะไรที่ต้องการพบท่านหมอ นางมาหาอาจารย์ที่ช่วยฝึกสอนเพลงขลุ่ยให้นางต่างหาก
“น้องฟางเหนียง”
เสียงร้องทักก่อนตัวคนไปถึงทำให้สาวงดงามดุจดอกไม้แรกแย้มหันมามองด้วยรอยยิ้ม เบื้องหน้าของนางมีสมุนไพรหลายชนิดที่รอการคัดแยกจัดเก็บเผื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้
“พี่สาว” มู่ฟางเหนียงทักทายด้วยรอยยิ้มของหญิงสาววัยสิบหก “ไม่เจอพี่หลิ่งหลินเสียหลายวัน”
“ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อสองวันก่อน ยังเมื่อยขบอยู่จึงมิได้มาหาอาจารย์น้อย” เคอหลิ่งหลินพูดล้อเลียน แต่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงใสด้วยกริยาน่ารัก นางชะโงกหน้าข้ามไหล่มองดูสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเด็กสาว
“มีอะไรให้พี่สาวคนนี้ช่วยหรือไม่”
มู่ฟางเหนียงส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้ม “พี่หลิ่งหลินไปไหนมารึ มีอะไรสนุกๆ เล่าให้ข้าฟังบ้างซิ”
“ข้าก็แค่ไปทำงานให้พ่อบุญธรรมเท่านั้นเองไม่มีอะไรสนุกหรอก” เคอหลิ่งหลินยิ้มบางๆ นางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางเป็นใคร นางไม่มีเจตนาร้าย แต่ที่ต้องการปิดบังหรือโกหกเพียงแค่การฆ่าคนไม่ใช่ที่ควรพูดถึง โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับมู่ฟางเหนียงซึ่งนางนับเป็นสหายและน้องสาว
“ข้าอยู่ในแต่ในบ้านไม่ได้ออกไปไหนจึงหวังจะได้ยินเรื่องราวผจญภัยในโลกกว้าง” เด็กสาวยิ้มบางๆ แล้วสังเกตเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของจ้าวหลิ่งหลิน “นั้นอะไรรึ”
“อ้อ! ข้าได้ขลุ่ยเลาใหม่ เจ้าพอมีเวลาสอนข้าหรือไม่”
“ขลุ่ยไผ่เซียงเฟยเหมาะกับพี่หลิ่นหลิงนัก”
นางยื่นมือไปรับขลุ่ยเลาใหม่ที่เค่อหลิ่งหลินเอาออกมาอวดแล้วลองทดสอบเสียง เพลงขลุ่ยกังวานใสทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง ใบหน้าที่มักเคร่งเครียดเสมอเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย มองเด็กสาวตรงหน้าแล้วหวนคิดถึงภรรยาที่ล่วงลับไปแล้ว
“ท่านหมอมู่” เคอหลิ่งหลินคารวะบิดาของมู่ฟางเหนียง “ข้ามารบกวนอีกแล้ว”
“ฮืม”
ท่านหมอมู่เพียงพยักหน้ารับ มู่หยางซัว เห็นเคอหลิ่งหลินเข้าออกโรงหมอของเขาจนชินตา นางอายุมากกว่า มู่ฟางเหนียง ลูกสาวคนเดียวของเขาสามหรือสี่ปี ทว่านิสัยของเคอหลิ่งหลินซุกซนเหมือนเด็ก และยังชอบให้ลูกสาวของเขาช่วยสอนเพลงขลุ่ยให้อีกด้วย เขาเองเห็นว่าบุตรสาวไม่มีมิตรสหายจึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร จะว่าไปเคอหลิ่งหลินก็เป็นเสมือนผู้มีพระคุณของมู่ฟางเหนียงด้วย
เมื่อสองปีก่อนเขาเพิ่งพาลูกสาวมาอยู่ชายแดนแห่งนี้ เพราะได้ยินข่าวเรื่องการสู้รบและคิดว่าตนเองเป็นหมอควรจะอยู่เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ภรรยาของเขาจากไปนานแล้วทิ้งไว้เพียงลูกน้อยที่งดงามดุจมณีล้ำค่า แต่กระนั้นเขาก็ตระเวนรักษาผู้คนโดยพาฟางเหนียงไปด้วย นางจึงไม่ค่อยมีเพื่อนนัก แต่นางไม่เคยปริปากตำนิผู้เป็นบิดาเช่นเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไม่เห็นฟางเหนียงในโรงหมอทั้งที่ปกตินางจะคอยช่วยจัดยาให้เขาเสมอ กว่าจะรู้ตัวว่าฟางเหนียงหายตัวไปก็เย็นย่ำ เขากับชาวบ้านออกตามหาอยู่ราวสองวันก็ไร้วี่แวว หัวใจของผู้เป็นพ่อแทบแหลกสลาย นางเป็นแก้วตาดวงใจของเขาและเป็นสิ่งมีค่าสิ่งเดียวที่ภรรยาทิ้งไว้ให้ ทว่าเมื่อเข้าสู่เย็นวันที่สามเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งแบกร่างเล็กๆ อยู่บนหลังเดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตูบ้าน
“บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”
“ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!”
“ท่านพ่อ”
ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว”
“ข้า...ข้า...”
“นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่
“หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า”
“ข้า...ข้า...”
“นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี
“ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก”
“ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้”
“ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง”
“น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน
“ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็เลยยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้นาง ข้าเคอหลิ่งหลินอยู่ในเมืองนี้แหละ ถ้าน้องฟางเหนียงอยากเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก ข้าจะพาไปเอง ข้าเติบโตในป่าชำนาญเรื่องเส้นทางในหุบเขาดี”
“งั้นครั้งหน้าข้าคงต้องรบกวนพี่หลิ่งหลินอีกนะ”
“ครั้งหน้า! เจ้ายังจะกล้าไปอีกเรอะ! แค่นี้พ่อก็แทบจะสิ้นใจอยู่แล้ว!”
“อย่ากังวลไปเลยท่านลุง ข้าเคอหลิ่งหลินจะดูแลน้องฟางเหนียงเอง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเป็นปกติราวกับเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ “แต่ข้าว่าตอนนี้ท่านลุงให้น้องฟางเหนียงได้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า ส่วนข้าก็ต้องกลับบ้านแล้วเช่นกัน”
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ”
“บิดามารดาของข้าตายจากไปหลายปี ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่จวนแม่ทัพจ้าว”
เขาไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรอีก คิดว่านางคงเป็นบ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพจ้าว ดูแล้วท่าทางนางเป็นคนมีจิตใจดีจึงไม่ได้ห้ามปรามที่ลูกสาวจะมีเพื่อนหรือพี่ นับตั้งแต่นั้นก็เห็นเคอหลิ่งหลินแวะเวียนมาหาฟางเหนียงอยู่เสมอ โดยเฉพาะมาให้ฟางเหนียงสอนเพลงขลุ่ยและอ่านโคลงกลอนต่างๆ
ด้วยความเป็นหมอ มองเพียงปราดเดียวก็สังเกตได้ว่า เคอหลิ่งหลินเคลื่อนไหวร่างกายติดขัด จึงอดเอ่ยปากถามออกไปมิได้
“ข้าซุ่มซ่ามตกม้าเจ้าค่ะ หลังกระแทกพื้นเลยเจ็บนิดหน่อย”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าคงไม่ได้มาเดินปร๋อเช่นนี้หรอก”
หญิงสาวได้แต่แสร้งหัวเราะออกมาไม่พูดสิ่งใดอีก
“พี่หลิ่งหลินบาดเจ็บหรือเจ้าคะ ให้ข้าช่วยดูบาดแผลให้นะ” ฟางเหนียงเป็นทุกข์ร้อนที่รู้ว่าพี่สาวของนางบาดเจ็บ
“ไม่ๆ เจ้าไม่ต้องมารักษาข้าเลย ข้าไม่ใช่หมาแมวให้เจ้ามาต่อกระดูกผูกเส้นเอ็นนะ” นางรีบกระโดดหนีแต่เพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจึงเจ็บแปลบตรงที่บวมช้ำ
ท่านหมอมู่ส่ายหน้าไปมา “คงไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก ให้ฟางเหนียงจัดสมุนไพรให้เจ้าเอาไปใส่น้ำแช่ตัวตอนอาบน้ำจะได้บรรเทาเร็วขึ้น”
“จริงรึเจ้าคะ” นางไม่ค่อยมั่นใจนัก ไม่ใช่ไม่มั่นใจในฝีมือการรักษาของฟางเหนียวที่ได้รับความรู้จากบิดา แต่เพราะนางไม่ชอบกินยาอะไรทั้งนั้น ซ้ำยังเคยกระดูกหลุดแล้วฟางเหนียงช่วยต่อกระดูกให้ นางจำได้ว่าร้องลั่นป่าจนเก้งกวางวิ่งแตกกระเจิงเลยทีเดียว
“จริงซิพี่หลิ่งหลิน” ฟางเหนียวหัวเราะน้อยๆ เสียงหัวเราะของนางราวกับเสียงนกร้องเพลง “ว่าแต่ท่านพ่อมีอะไรจะใช้ข้าหรือไม่เจ้าคะ”
“คุณชายเฉินกลับมารักษาตัวที่บ้านสกุลเหวิน ข้าคงต้องออกไปดูเสียหน่อยเลยจะบอกให้เจ้าอยู่ที่นี่ เผื่อมีใครมาให้รักษา เจ้าก็ดูตามสมควร”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
“คุณชายเฉินมาแล้วหรือ?” เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการดีใจ ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกาย “ท่านหมอมู่ตอนนี้ข้าว่างนะ ข้าช่วยท่านถือของก็ได้”
ท่านหมอมู่รู้ทันจึงส่ายหน้าไปมา “คุณชายเฉินต้องการความสงบในการพักรักษาตัว เจ้าจะไปเสนอหน้าให้คนเขามองเจ้าไม่ดีงั้นเรอะ”
กุลสตรีดีๆ ที่ไหนเขาวิ่งเข้าหาผู้ชายโจ๋งครึ่มแบบนางเล่า
“ข้าแค่ตามท่านไปเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย” เคอหลิ่งหลินแสร้งด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา ทว่าซ่อนแววตาทะเล้นของตนไว้ไม่มิด
“เจ้าชอบคุณชาย หน้าตาเจ้ามันฟ้อง เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าข้าเอาเจ้าไปยัดเยียดให้คุณชายเฉินนะซิ”
“หน้าตาข้าฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ” นางกลับยอมรับหน้าตาเฉย ไม่มีความเป็นกุลสตรีเหนียมอายเมื่อพูดถึงชายที่ตนแอบรักสักนิด
“เอาเป็นว่าข้าจะไม่พาเจ้าไปด้วย แล้วก็อย่าแอบตามข้าไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องแม่ทัพจ้าว” ท่านหมอมู่ขู่ไปอย่างนั้น ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาสองปี เขายังไม่เคยเจอแม่ทัพจ้าวเลยสักครั้ง
“ได้ๆ ข้าไม่ตามท่านหมอมู่ไปก็ได้”
ท่านหมอมู่มองหญิงสาวที่รับคำโดยง่ายผิดกับทุกครั้ง แต่ไม่มีเวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องแบบนี้ จึงได้แต่หมุนตัวแล้วก้าวเท้าออกไป มู่ฟางเหนียงเห็นแผ่นหลังบิดาลับตาไปแล้ว จึงกระแซะ เคอหลิ่งหลินส่งแววตาล้อเลียน
“เพลงขลุ่ยของพี่หลิ่งหลินพัฒนาไปมาก เชื่อว่าชายใดที่ได้ฟังต้องหลงใหลเป็นแน่”
“เจ้าไม่ต้องมายกยอข้าหรอก ขนาดน้องชายตัวดียังไม่ให้กำลังใจข้าเลย”
“พี่หลิ่งหลินจะไม่ตามไปจริงๆ เหรอ”
“ท่านพ่อเจ้าไม่ให้ข้าตามไปนี่” นางทำจมูกย่นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ถ้าข้าไปถึงก่อนก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เพียงพริบตา เคอหลิ่งหลินก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนออกจากห้องเก็บยาไป มู่ฟางเหนียงได้แต่ยิ้ม นางเป็นลูกสาวคนเดียวที่บิดาเอาแต่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรักษาผู้อื่น ทว่านางก็ไม่เคยคิดน้อยใจอะไรเพราะเข้าใจในสิ่งที่บิดาทำ แม้จะแรมรอนร่อนเร่อยู่นานจนเหมือนจะคุ้นชิน แต่เอาเข้าจริงนางก็ยังเหงาอยู่บ้างและใช้วิธีศึกษาตำรายาต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระของบิดา
ทว่าเมื่อได้พบกับ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ชีวิตนางก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่รู้ว่า ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนางเป็นใคร ทำอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีที่เชื่อใจได้ นางจะเชี่ยวชาญการรักษาที่บิดาถ่ายทอดความรู้ให้ ทว่านางกลับอ่อนด้อยเรื่องทิศทางยิ่งนัก นางเป็นคนที่จำเส้นทางไม่ค่อยเม่นยำมักหลงทางอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนี้นางจึงไม่ค่อยออกไปไหน เพราะเกรงตัวเองจะเป็นภาระผู้อื่น แต่เมื่อเคอหลิ่งหลินมาหานางจึงได้ไปโน้นไปนี่บ่อยขึ้น โดยเฉพาะขึ้นเขาหาสมุนไพรให้บิดา
“อยากเห็นผู้ชายที่ทำให้พี่หลิ่งหลินฝึกเพลงขลุ่ยจริงๆ”
มู่ฟางเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหน้าบ้านซึ่งเป็นทั้งโรงหมอและที่พักอาศัย ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วมีแม่สื่อมาทาบทามหลายครั้งแต่นางก็ยังอยากอยู่กับบิดาเช่นนี้ และบิดาก็ตามใจนาง
สักวันนางคงเจอใครสักคน ที่ทำให้นางอยากบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนหวาน เหมือนอย่างที่พี่หลิ่งหลินก็เป็นได้.