ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง

บุปผาร่ายรัก - 04 จุดเริ่มต้น โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุปผาร่ายรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง

ผู้แต่ง

เพลงมีนา

เรื่องย่อ

เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป

ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก

การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’

สารบัญ

บุปผาร่ายรัก-บทนำ บทนำ,บุปผาร่ายรัก-01 หลุมพราง ,บุปผาร่ายรัก-02 ซุกซ่อน,บุปผาร่ายรัก-03 ขลุ่ยไม้ไผ่เซียงเฟย,บุปผาร่ายรัก-04 จุดเริ่มต้น,บุปผาร่ายรัก-05 คุณชายเฉิน,บุปผาร่ายรัก-06 เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 7 เราไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อกัน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 8 สู่หุบเขา,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่9. ไข่มุกหมื่นราตรี,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 10. เหวินเฮ่าหลัน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่11. ตื่นฟื้น,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่12 แลกเปลี่ยน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่13. เข้าวังหลวง,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่14. ใต้หล้านี้จะมีคนหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้หรือ?,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่15. รอยสัก

เนื้อหา

04 จุดเริ่มต้น

หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินเร็วๆ ตามแผ่นหลังของท่านหมอมู่โดยรักษาระยะห่างไม่เข้าใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัว แค่เพียงคิดถึงคุณชายเฉินผู้ที่มักจะอยู่ในชุดสีขาวปักลายเมฆผู้นั้น  ใบหน้าของเคอหลิ่งหลินก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างมิรู้ตัว คุณชายผู้งามสง่าและมีแววตาอ่อนโยนอยู่เสมอกลับมีร่างกายอ่อนแอ

เขามักเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก ทว่าทุกครั้งที่เขาต้องมาพักฟื้นร่างกายจะเดินทางมาพักบ้านสกุลเหวินซึ่งเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เรื่องอื่นใดนั้นเคอหลิ่งหลินหาได้สนใจไม่ จิตใจของนางอยู่ที่คุณชายเฉินเพียงผู้เดียว

            เมื่อสองปีก่อน เพิ่งเสร็จศึกขับไล่พวกชนเผ่าที่หมายจะแผ่อาณาเขตเข้ามา ใช้เวลานานเกือบเดือนจนขับไล่ร่นให้กลับไปที่เดิมได้ ขณะนั้นนางยังไม่ได้พบกับมู่ฟางเหนียง ท่านแม่มักจะเชิญครูมาช่วยสอนนางเล่นดนตรีบ้าง แต่งโคลงกลอนบ้าง วาดรูปบ้าง นอกจากเพลงกระบี่แล้วดูท่านางเอาดีไม่ได้เรื่องพวกนี้ได้เลย  หลังจากฝึกซ้อมกับเหล่าทหารแล้ว นางอยากไปเดินเล่นให้ตนเองผ่อนคลายบ้าง จึงตัดสินใจเดินดูข้าวของในตลาด ระหว่างทางหญิงสาวได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ 

            “ใครก็ได้ช่วยจับโจรวิ่งราวที”

            เคอหลิ่งหลินผู้ซึ่งทนเห็นใครเดือดร้อนไม่ได้ นางกระโดดเข้าขวางชายร่างใหญ่ ใช้เพียงกระบี่ไม้ไผ่ที่พกติดตัวอยู่เสมอ ชักออกมาขู่อีกฝ่าย แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะของมัน

            “แค่กระบี่ไม้ไผ่ คิดจะขู่ให้ข้ากลัวเรอะ” 

            “ข้าไม่ได้แค่คิด แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องกลัวกระบี่ของข้า”  เคอหลิ่งหลินพลิกข้อมือสะบัดกระบี่ไม้ไผ่ในมือพุ่งใส่ชายร่างยักษ์ แม้จะเป็นเพียงกระบี่ไม้ไผ่ ทว่าเมื่อผสานไปกับวรยุทธที่นางฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กทำให้กระบี่ไม้ส่งพลังกระแทกอีกฝ่ายจนหงายหลังกระเด็นไปก้นกระแทกพื้น

            “โอ๊ย!”

            “ขออภัยพี่ชาย ข้ามิทันออมมือให้” นางกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์

            “ข้าเผลอหรอก” มันลุกขึ้นได้ก็พุ่งตัวเข้าใส่ แต่เข้ามาได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกกระบี่ไม้ไผ่ของเคอหลิ่งหลินเล่นงานจนหมอบราบคาบและยอมคืนถุงเงินให้ 

            “ไม่ทำตัวเป็นโจรเป็นขโมยก็ไม่เจ็บตัวอย่างนี้หรอก”  นางอดสั่งสอนไม่ได้ รับถุงเงินมาแล้วหมุนตัวมองหาเจ้าของถุงเงิน นางได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนตะโกนเรียกจึงมองหาคนที่น่าจะเป็นเจ้าของ

            “ของท่านป้าใช่ไหมเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงวัยสี่สิบยืนมองถุงผ้าใส่เงินในมือของเธอ

            “ขอบใจแม่นางมากนะ” นางยื่นมือมารับ 

            “ไม่เป็นไรๆ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” 

 เคอหลิ่งหลินหัวเราะปากกว้างแล้วยกหลังมือเช็ดเหนื่อย  นางไม่ได้เหนื่อยเพราะสู้กับเจ้าโจรกระจอก แต่เพลียที่ซ้อมหมัดมวยกับพวกทหารต่างหาก แต่สายตาของนางเหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อที่หลุดรุ่ย นางยกแขนขึ้นระดับสายตาแล้วหัวคิ้วก็ขมวดยุ่ง เอาแล้ว นางต้องโดนท่านแม่ดุแน่ๆ แม้นางออกจากบ้านจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหนาชุดเก่าๆ เพราะนางชอบเผลอชายผ้าไปเกี่ยวโน้น เกี่ยวนี่ตลอดจนชุนเอ๋อร์ต้องคอยลำบากซ่อมเสื้อผ้าให้เสมอ

            “แย่จริง เสื้อของแม่นางขาด”   

            “เรื่องเล็กน้อย” 

ไม่หรอก มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะนางไม่ชอบเย็บผ้า และนางเกรงใจชุนเอ๋อร์ แม้ว่าชุนเอ๋อร์มีหน้าที่ดูแลนางก็เถอะ  อาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ จึงทำให้ใบหน้าของนางขมวดคิ้วดูกังวลเกินเหตุ

            “ให้พวกเราได้เลี้ยงน้ำชาแม่นางเป็นการตอบแทนดีไหม ระหว่างนั้นแม่นมเหมยจะช่วยซ่อมเสื้อที่ขาดให้เจ้าเอง”

            น้ำเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยขึ้นทำให้เคอหลิ่งหลินหันไปมอง นางคุ้นชินกับเสียงผู้ชายที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ซ้ำยังไม่เคยเจอใครพูดจาน้ำเสียงน่าฟังอย่างนี้กับนางทำให้นางเผลอมองเขาอย่างตื่นตะลึง  แม้สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าอย่างดีและถือพัดในมือ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเขาขยับเท้าเข้ามาใกล้ก็ทำให้เคอหลิ่งหลินรู้ว่าเขาสูงกว่านางมาก แต่รูปร่างผอมบางและผิวขาวซีดไปเสียหน่อย

            “ข้าบอกว่าไม่เป็นไร ก็คือไม่เป็นไร” นางโบกไม้โบกมือไปมา ดูสารรูปตัวเองซิ!  เป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังงดงามไม่ได้เพียงเสี้ยวของผู้ชายตรงหน้าเลย

            “เอาเถิด...หากแม่นางไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร พวกเราพักอยู่ที่บ้านสกุลเหวิน หากแม่นางอยากมาเยี่ยมเยือนในวันหน้าก็ได้”

            “ได้ๆ วันนี้เย็นแล้ว ข้าต้องกลับก่อน ข้าต้องไปดูแลม้าในคอกด้วย” 

พูดไปแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเอง  ไปบอกเขาทำไมว่านางต้องดูแลม้า! นางหัวเราะเขินๆ แล้วรีบเดินเร็วๆ แต่หัวใจของตนนั้นเต้นรัวราวกับกลองรบ ตั้งใจจะใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามแนวหลังคาบ้านจะได้กลับจวนแม่ทัพจ้าวอย่างรวดเร็ว ทว่าเพราะตัวเองเสียสมาธิหัวใจสั่นไหวกับดวงตาอ่อนโยนที่ทอดมองทำให้นางก้าวพลาดตกหลังคา ดีที่ไม่สูงนักและไหวตัวทันจึงม้วนตัวลงมายืนบนพื้นได้ 

“อะไรกัน เคอหลิ่งหลินที่วิชาตัวเบาเป็นเลิศถึงขั้นพลาดท่าตกหลังคาได้เนี้ยนะ รู้ถึงไหนอายถึงนั้น”

“จิ่นสือ!” นางหันมาทำเสียงดุใส่ชายหนุ่มที่อายุอ่อนกว่านางเพียงห้าเดือนเท่านั้น

“ทำอะไรไม่สมกับเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย มิน่าท่านแม่ถึงได้บ่นกลัวจะไม่มีใครกล้ามาสามีให้เจ้า” จ้าวจิ่นสือพูดพลางส่ายหน้าระอาใจ

“เจ้า! ข้าเป็นพี่สาวเจ้านะ! พูดจาให้มันดีๆ หน่อยเถอะ”

“เหอะ! ถ้าข้าไม่ตกหลุมพรางของเจ้า ข้าก็ไม่ต้องเรียกเจ้าว่าพี่หรอกนะ” 

“งั้นก็ยอมรับแล้วซิ ว่าข้าฉลาดกว่า” เคอหลิ่งหลินพูดพลางปัดเศษหญ้าตามเนื้อตัวออก

“เหอะ!” จ้าวจิ่นสือทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจนัก 

“อย่างเจ้าเขาเรียกเจ้าเล่ห์มิใช่ฉลาด”

“เอาน่ายังไงข้าก็ได้เป็นพี่สาวเจ้าก็แล้วกัน” ปลายนิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของอีกฝ่าย แต่นางชะงักมือไปเล็กน้อย ท่าทางของนางทำให้ จ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว

“เป็นอะไรไปรึ” เขาเองก็ชินกับการตีสนิทเสมอตัวของนางแล้ว

“เจ้านี่...สูงขึ้นหรือเปล่านะ”

“แน่ล่ะ ข้าก็ต้องสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นธรรมดา”

“หล่อเหลา? เจ้านี่กล้าประกาศว่าตัวเองหล่อเหลางั้นเหรอ”   

เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะออกมา เติบโตมาพร้อมกัน ตั้งแต่ออกจากบ้านป่านางติดตามท่านแม่ทัพออกศึก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือศึกษาตำราและฝึกฝนอยู่ที่วังหลวงเป็นส่วนใหญ่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันกันไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งราวครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน แต่เมื่อเขาอายุครบสิบแปดก็มาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้บิดาของเขา

“เจ้าอยู่กับพวกทหารจะรู้ได้ไงว่าบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นเช่นไร”

ประโยคของจ้าวจิ่นสือทำให้เคอหลิ่งหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง  ใครว่าละ? นางเพิ่งเจอบุรุษผู้หล่อเหลาเข้าให้แล้ว เขาดูสุภาพนักทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกก็ยังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน นางเติบโตกับบิดาที่เป็นโจรภูเขาแล้วยังมาติดตามท่านแม่ทัพอีก นางพบสายตาเย็นชาหรือเคียดแค้นจนชาชินแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น มันทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ

“หลิ่งหลิน” จ้าวจิ่นสือยื่นหน้าไปจองดูใบหน้าเหม่อลอยของหญิงสาวที่ยืนนิ่งไป “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ดูแปลกๆ หรือไม่สบาย”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางส่ายหน้าไปมา ทำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยออกมา “ผู้ชายที่เมืองหลวงนี่เขาชอบสตรีแบบใดรึ”

“หือ?” จ้าวจิ่นสือผงะไปเล็กน้อยไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนี้จากปากของหลิ่งหลิน

“เจ้าได้ยินที่ข้าถามแล้วก็ตอบมาซิ” นางทำเสียงเขียว

“แบบไหนรึ?” จ้าวจิ่นสือเดินวนรอบเคอหลิ่งหลินแล้วไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ไม่ใช่แบบที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้แน่ๆ”

“ข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ” นางทำหน้าง้ำแล้วก้มมองสภาพตัวเอง แม้ท่านแม่ทัพรับนางเป็นบุตรบุญธรรม

ทว่านิสัยนางไม่เหมือนบรรดาคุณหนูสักเท่าไหร่

“ผู้หญิงในเมืองหลวงเขาทำอะไรกันบ้างล่ะ” 

“ก็เขียนภาพ เขียนโคลงกาพย์กลอน อ่านกวี เล่นดนตรี

หรือปักผ้า”

คราวนี้เคอหลิ่งหลินหน้าหมองลงไปอีก นางรู้ว่านางไม่ใช่คนสวยมากนัก นิสัยโผงผาง แถมมารยาทยังอ่อนด้อย แล้วที่จ้าวจิ่นสือพูดมาทั้งหมด นางทำได้ไม่เอาไหนเลยสักนิด ให้นางไปฝึกเพลงดาบ หรือเลี้ยงม้ายังจะดีเสียกว่า เห็นท่ารักแรกของนางจะไม่ได้ผลิดอกออกผลแน่

“ของแบบนั้นมันสนุกตรงไหนกันนะ” นางพึมพำ

“เจ้านี่ท่าจะป่วยจริงๆ” 

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” 

นางสะบัดหน้าแล้วเดินเข้าบ้าน แต่ในใจก็อดคิดใบหน้าของชายผู้นั้นไม่ได้ จะเป็นอะไรไปล่ะ เพลงกระบี่ที่ว่ายากนางยังฝึกได้ ถ้านางตั้งใจ นางต้องฝึกเป็นกุลสตรีแบบสาวในเมืองหลวงได้แน่

หญิงสาวที่ยืนอยู่บนหลังคามองการเคลื่อนไหวในบ้านสกุลเหวิน นางจำเหตุการณ์ที่เมื่อสองปีก่อนได้อย่างดี  นางแอบมาดูบุรุษในดวงใจอยู่บ่อยๆ รู้เพียงแค่ทุกคนเรียกเขาว่า‘คุณชายเฉิน’ ท่าทางเขาเป็นกันเองไม่ถือตน  คุณชายเฉินสุขภาพไม่แข็งแรงนักมาที่นี่เพื่อพักฟื้นร่างกาย สามหรือสี่เดือนเขาจะมาที่นี่สักครั้ง ครั้งละห้าหรือสิบวัน และท่านหมอมู่จะมาถูกเชิญให้มาดูอาการคุณชายเฉิน นางจึงอาศัยความกล้าขอติดตามทางหมอมู่เข้ามาด้วย

“ท่านหมอมู่ มือไม้ของท่านมีไว้รักษาผู้คน ให้ข้าเป็นบ่าวไพร่ถือของให้ท่านไปบ้านสกุลเหวินเถิดนะ...นะ” นางออดอ้อนท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของมู่ฟางเหนียง

“ข้าไม่เคยมีบ่าวไพร่ ทำไมต้องให้เจ้ามาถือของให้ด้วยเล่า” ท่านหมอมู่ส่ายหน้าไปมา 

“ท่านพ่อให้พี่หลิ่งหลินไปช่วยเถอะเจ้าคะ” มู่ฟางเหนียงช่วยพูดอีกแรง

“ใช่ๆ ให้ข้าไปช่วยเถอะนะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากเด็ดขาด”

“เจ้านั้นแหละคือความลำบากของข้า” ท่านหมอมู่ตะคอกใส่ แต่เคอหลิ่งหลินไม่มีท่าทางกลัวเกรงสักนิด กลับหัวเราะปากกว้าง 

“เอาเถอะ ถ้าเจ้าทำอะไรไม่ดี ข้าไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น” 

“ขอบคุณ” 

 เคอหลิ่งหลินได้ติดตามท่านหมอมู่มาที่บ้านสกุลเหวิน  แต่นางติดตามท่านหมอในฐานะบ่าว   นางจึงไม่ได้เข้าไปด้านใน ได้รอเพียงด้านนอก ทว่านางมีวิชาตัวเบาจึงแอบกระโดดไปยืนส่องดูบนกิ่งไม้ใหญ่ นางแค่อยากเห็นว่าเขาเป็นอย่างไร เจ็บป่วยเพียงใดกัน แม้นางจะไม่ถนัดเรื่องที่กุลสตรีพึ่งมี แต่ประสาทการรับรู้ว่ามีใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวนาง  เคอหลิ่งหลินกระโดดหลบ นางไม่มีเจตนาทำร้ายใครจึงไม่ต่อสู้หรือโต้ตอบเพียงแค่ไหวตัวหลบการปะทะ กลายเป็นว่านางถูกต้อนให้เข้ามาในห้องโถงกลางของคฤหาสน์

“หยุดก่อน! นั่นแม่นางคนนั้นนี่!”

บุรุษร่างใหญ่ยักษ์หยุดการเคลื่อนไหวเพราะเสียงของแม่นมเหมย เคอหลิ่งหลินหันไปตามเสียงนั้นแล้วยิ้มออกมาเป็นหญิงที่นางเคยช่วยตามถุงเงินส่งคืนให้

“ท่านป้า”

“แม่นางมาทำอะไรถึงที่นี่” 

“ข้า...ข้าติดตามท่านหมอมู่มาเจ้าค่ะ”

“โกหก! ถ้ามากับท่านหมอทำไมถึงทำลับๆ ล่อๆ เหมือนดูลาดเลา”

“ข้าไม่ได้มาดูลาดเลา ข้าแค่อยากเห็นว่าคุณชายไม่สบายเป็นยังไงบ้างก็เท่านั้นเอง”

“แม่นาง”

น้ำเสียงที่เรียกอย่างอ่อนโยนแฝงเมตตาทำให้สถานการณ์นิ่งสงบตามไปด้วย  ดวงตาของเขาทอดมองมางทางหญิงสาวทำให้ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าเคอหลิ่งหลิน”

นางแนะนำตัวแก้เขิน ปกตินางนิ่งสงบจนใครๆ หวาดกลัว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางกลับกลายเป็นคนพูดจาเสียงอ่อนไปได้อย่างไรไม่รู้ 

“แม่นางเคอ”

“เรียกหลิ่งหลินก็ได้” นางตีสนิทกับเขาดื้อๆ 

ชายหนุ่มพยักหน้ารับและหันไปพูดกับผู้ติดตาม “แม่นางผู้นี้ช่วยจับขโมยวิ่งราวถุงเงินให้แม่นมเหมย”

“อ้อ!” 

ปากพูดเหมือนยอมรับ แต่สายตาจ้องมองแบบดูแคลน  เอาเถอะ นางชินแล้วล่ะ 

“ข้าได้ยินว่าท่านไม่สบายจึงขอติดตามท่านหมอมู่มาด้วย”

“เป็นเช่นนั้นเองหรอกหรือ แม่นางช่างมีจิตใจอารีนอกจากจะช่วยแม่นมของข้าแล้วยังเป็นห่วงเป็นใยข้าด้วย”

จิตใจอารี? หญิงสาวทำตาโต เกิดมาเพิ่งเคยมีใครพูดแบบนี้กับนางเป็นคนแรก ที่ผ่านมาได้ยินแต่ว่านางโหดเหี้ยมเสียมากกว่า 

 “ข้าจำได้ว่าติดค้างเลี้ยงน้ำชากับแม่นาง”

“ไม่เป็นไรๆ” นางโบกไม้โบกมือไปมา มือไม้เริ่มไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน 

 “ข้ายังต้องรบกวนท่านหมอมู่รักษาดูอาการและพักฟื้นที่นี่หลายวัน ถ้าอย่างไร แม่นางผ่านมาก็แวะมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ”

“จริงเหรอ ข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ”

            บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบแต่พยักหน้ารับ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ยังดีที่นางสำรวมกิริยาแล้วเหลือบตามองท่านหมอมู่เหมือนจะขอโทษอยู่ในที ท่านหมอมู่มองหญิงสาวแล้วส่ายหน้าไปมา ดีแล้วที่ลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าอย่างไรได้ ได้ยินว่านางเป็นเด็กกำพร้า คงไม่มีใครบอกนางเรื่องกิริยาที่ควรหรือไม่ควรต่อหน้าบุรุษนัก 

“วันนี้ข้ามารบกวนท่านแล้ว วันหน้าข้าจะมาใหม่”

“ฮืม...”

นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เคอหลิ่งหลินมาชะเง้อมองบุรุษหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานดุจเทพเจ้าผู้นั้นมาตลอดสองปี  

เมื่อไหร่ที่เขามาพักรักษาตัวที่นี่ นางก็โผล่หน้ามาทักทาย  โดยที่ทุกคนรู้เพียงว่านางเป็นเคอหลิ่งหลิน ไม่ใช่จ้าวหลิ่งหลิน ลูกบุญธรรมแม่ทัพจ้าว.