ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง

บุปผาร่ายรัก - 05 คุณชายเฉิน โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุปผาร่ายรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

บุปผาร่ายรัก โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง

ผู้แต่ง

เพลงมีนา

เรื่องย่อ

เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป

ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก

การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’

สารบัญ

บุปผาร่ายรัก-บทนำ บทนำ,บุปผาร่ายรัก-01 หลุมพราง ,บุปผาร่ายรัก-02 ซุกซ่อน,บุปผาร่ายรัก-03 ขลุ่ยไม้ไผ่เซียงเฟย,บุปผาร่ายรัก-04 จุดเริ่มต้น,บุปผาร่ายรัก-05 คุณชายเฉิน,บุปผาร่ายรัก-06 เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 7 เราไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อกัน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 8 สู่หุบเขา,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่9. ไข่มุกหมื่นราตรี,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 10. เหวินเฮ่าหลัน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่11. ตื่นฟื้น,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่12 แลกเปลี่ยน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่13. เข้าวังหลวง,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่14. ใต้หล้านี้จะมีคนหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้หรือ?,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่15. รอยสัก

เนื้อหา

05 คุณชายเฉิน

ร่างเพรียวกระโดดมายืนอยู่แนวรั้วก่อนที่ท่านหมอมู่จะมาถึงประตูบ้านตระกูลเหวิน ขณะจ้องมองร่างของท่านหมอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ หางตาก็รู้สึกได้ถึงการมาของใครบางคน นางกระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนจะหันไปมองแล้วยิ้มทักทาย

            “จะมาห้ามข้าเหรอ วันนี้ข้ามากับท่านหมอมู่จริงๆ นะ”  เคอหลิ่งหลินเอ่ยทักผู้ติดตามของคุณชายเฉิน เขามักเป็นดั่งเงาคอยคุ้มครองผู้เป็นนายเสมอ 

            “สองปีมานี่ข้าห้ามเจ้าสำเร็จเรอะ” 

            น้ำเสียงเบื่อหน่ายของต้าซื่อ เขาเองก็ชินกับนางแล้ว แม้ผู้เป็นนายจะอนุญาตให้นางเข้าใกล้ แต่เขาก็ต้องคอยระวังทุกคนเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ละเลยมิได้ นายของเขารูปร่างสง่างามซ้ำหน้าตาหล่อเหลาหมดจด ย่างกรายไปทางใดก็มีสตรีเหลียวมองจนลืมรักษากิริยาไปสิ้น ต้าซื่อไม่แปลกใจนักที่หญิงชาวบ้านผู้นี้จะมาแอบชะเง้อมองนายของเขา ทว่าสิ่งที่เขากังวลคือไม่รู้ประวัติภูมิหลังของนาง นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่ติดตัวแต่มีวรยุทธที่จะประมาทมิได้ แม้ลองสืบดูก็รู้เพียงว่าอยู่ในจวนแม่ทัพจ้าวเท่านั้น

            “ท่านคงไม่ได้มาดักรอข้าหรอกนะ”

            “เป็นเช่นที่เจ้าพูดนั้นแหละ” 

            “มีเรื่องอันใดรึ” คราวนี้เป็นหลิ่งหลินที่ประหลาดใจ นางเข้าใจหน้าที่ของต้าซื่อดีว่าต้องดูแลอารักขาผู้เป็นนาย เขาจะรังเกียจหรือกีดกันนางก็ไม่แปลกนัก แต่วันนี้เขาพูดดีกับนางและไม่ไล่นางราวกับนางเป็นแมวจรที่มาสร้างความสกปรกวุ่นวายให้เจ้าของบ้าน

            “คุณชายไม่สบายมาก ท่านสั่งไว้ถ้าเจอเจ้าให้ข้าพาเจ้าเข้าไปพบ”

            “อะไรนะ” เคอหลิ่งหลินสะดุ้งเฮือก ร่างกายอ่อนแอของเขานั้น เธอรับรู้จากปากท่านหมอมู่ แต่ไม่คิดว่าจะหนักหนาอะไรนัก “ท่านว่าอะไร คุณชายเฉินไม่สบายหนักรึ”

            “มาเถิด คุณชายสั่งให้ข้าพาเจ้าเข้าไปทางประตู”   

 นายของเขาเป็นห่วงกลัวว่านางจะกระโดดเข้าทางหน้าต่างแล้วได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเขาไม่เห็นว่าลิงตนนี้หวาดกลัวอะไรกับการปีนป่ายต้นไม้หรือหลังคาบ้านคน

            เคอหลิ่งหลินเหินลงจากแนวรั้วและเดินตามแผ่นหลังต้าซื่อเข้ามาด้านใน นางหยุดรออย่างกระวนกระวายใจ รู้ว่าด้านในห้องนั้นคือท่านหมอมู่กำลังดูอาการคุณชายเฉินอยู่ หัวใจนางรุ่มร้อนด้วยความกังวลแต่ยังสะกดให้ตนเองยืนนิ่งอยู่ได้ ตลอดสองปีที่ผ่านมา นางติดตามแม่ทัพจ้าวสู่ชายแดนอยู่หลายครั้ง นางต้องเดินทางล่วงหน้าสำรวจเส้นทางทำแผนที่และรีบกลับมารายงานแม่ทัพจ้าว

แม้จะเป็นหญิงแต่นางเติบโตในหุบเขาและมีบิดาเป็นโจรป่า  วิชาความรู้การแกะรอยนั้น นางได้รับมาจากบิดาเต็มเปี่ยม ในระยะหลังท่านแม่ทัพให้จ้าวจิ่นสือร่วมติดตามออกชายแดน นางยิ่งต้องคอยดูแลจ้าวจิ่นสือมากยิ่งขึ้น   การพูดคุยเล่นหัวจะเป็นเพียงแค่ที่อยู่กันตามลำพังหรือไม่ก็กับแม่ทัพและฮูหยินเท่านั้น ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น นางรู้ว่าตนเองอยู่ในฐานะใด และนางบอกคนอื่นเสมอว่าหากใครต้องการพบนาง นางจะอยู่ที่คอกม้าของจวนแม่ทัพ 

            ทุกครั้งที่ต้องออกไปเผชิญความเป็นและความตาย นางมักคิดถึงเขา รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนที่มองนาง ทำให้นางรู้ว่านางต้องกลับมาพบเขาให้ได้ แม้ว่า...นางจะไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเขาก็ตาม

            “แม่นางเคอ” น้ำเสียงของแม่นมเหมยทำให้หญิงสาวได้สติ นางยิ้มเพียงเล็กน้อย เห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้เข้าใจว่าต้าซื่อไม่ได้ล้อนางเล่น

            “คุณชายเฉินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ครั้งที่เจอกันก็ราวครึ่งปีก่อน นางติดภารกิจสำรวจเส้นทางกว่าจะเสร็จจากชายแดนกลับมา ก็ได้ยินว่าคุณชายกลับเมืองหลวงไปแล้ว

            แม่นมเหมยเดินมาจับมือของเคอหลิ่งหลิน นางพบเจอสตรีมากมายที่ชอบพอคุณชายของนาง ทว่ากับหญิงสาวคนนี้แม้กิริยามารยาทจะกระโดกกระเดกไปบ้าง   หน้าตาอาจไม่หวานหยดย้อยเหมือนสตรีในเมืองหลวง   แต่เรื่องความจริงใจแล้ว  นางมีเต็มเปี่ยมจนมากล้น และนางไม่มีเจตนาร้ายกับคุณชายของนาง  ระยะเวลาที่ผ่านมา นางไม่ได้สร้างความลำบากใจอันใด

            ครู่ต่อมาประตูเปิดออก ท่านหมอมู่เดินออกมาและเหมือนจะรู้ เขาพยักหน้าเป็นเชิงให้นางเข้าไปด้านใน หญิงสาวหันไปมองทุกคน เมื่อไม่มีใครห้ามอะไรนางก็เร่งเดินเร็วๆ เข้าไปทันที 

            หญิงสาวเดินเข้าไปหาคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง บุรุษร่างสูงดูผายผอมลงไปมาก เขาเอียงคอเล็กน้อยแล้วหันมามองทางนาง มีบางสิ่งที่นางรับรู้ได้ว่าเขาผิดปกติ จนเมื่อนางหยุดยืนเบื้องหน้าเขาแล้ว นางจึงได้ยินเสียงทักทายของเขา

            “แม่นางเคอ”

            เคอหลิ่งหลินนิ่งไปอึดใจ มือนางสั่นน้อยๆ ก่อนจะยกขึ้นโบกไปมาเบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มผงะไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือมาจับมือของนางไว้ หัวใจของหญิงสาวเหมือนถูกบีบรัด หากเป็นเวลาปกตินางคงดีใจที่เขาจับมือนางเช่นนี้

            “ดูออกชัดขนาดนั้นเชียวหรือ?” เขาหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่เดือดร้อนกับอาการของตัวเอง

            “ท่าน...ทำไม...เกิดอะไรขึ้น” นางถือวิสาสะนั่งบนเตียงข้างเขา สำรวจดูภายนอกไม่เห็นเขามีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บ  ไยเขาจึง...จึงมองไม่เห็นนาง

            “เป็นเรื่องของสวรรค์”

            “บ้าซิ!” นางสบถ แต่กลับทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ  “จู่ๆ ท่านจะมองไม่เห็นได้อย่างไร”

            “ข้าเพียงถูกพิษเล่นงาน” เขายังไม่ปล่อยมือเธอ เพียงแต่กำไว้หลวมๆ หวังให้นางรู้สึกผ่อนคลาย เป็นเขาที่มองไม่เห็น แต่ดูนางจะเดือดร้อนกว่าเขาเสียอีก

            “มีหญิงสาวที่ไหนทำท่านรึ”

            “อะไรนะ?” 

            “ท่านไปทำอะไรใครถึงโดนยาพิษเข้าล่ะ”

            “แล้วทำไมแม่นางเคอคิดว่าเป็นผู้หญิงที่เล่นงานข้า” ใช่...แม้แต่เขายังไม่คิด

            “ก็ท่านหล่อเหลาแบบนี้ อาจเล่นตัวไม่รับรักหญิงนางคนใดเข้า นางผูกใจเจ็บถึงได้วางยาพิษท่าน” เคอหลิ่งหลินพูดอย่างเป็นกังวลและจริงจัง  เขาเป็นคนจิตใจอ่อนโยนไม่น่ามีศัตรูที่ไหนที่จะทำร้ายเขา

            คำพูดของนางสร้างเสียงหัวเราะให้เขา นางเป็นเช่นนี้เสมอ ทำให้เขาหัวเราะได้ทุกครั้งที่พบหน้า

            ดวงตาของคุณชายเฉินมิได้บอดสนิทแต่พร่าเลือนเต็มที    เป็นจริงอย่างที่นางพูด คนที่ถูกปองร้ายจริงคือน้องชายของเขาทว่าเขารับเคราะห์แทน บรรดาหมอในเมืองหลวงยื้อชีวิตเขาจากความตายได้แต่พิษนั้นยังแทรกซึมในโลหิตทำให้ดวงตาของเขาค่อยๆ พร่าเลือนและอาจจะมืดบอดในไม่ช้า เมื่อทุกฝ่ายหมดทางเยี่ยวยา เขาจึงตัดสินใจเดินทางมาที่นี่ สถานที่ซึ่งน้อยคนนักจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา

            “ท่านอย่าเป็นกังวลไปเลย ขนาดคนใกล้ตายท่านหมอมู่ยังเจรจากับยมฑูตได้ ท่านแค่ตาบอด ท่านหมอมู่ต้องช่วยได้แน่ๆ”

            “ฮืม”

            “ดีเลย ช่วงนี้ข้าว่าง ข้าจะมาเป็นเพื่อนเล่นท่านแล้วกัน”

            “เพื่อนเล่น?” นางคิดว่าเขาอายุเท่าไหร่กัน 

            “หรือท่านอยากทำอะไรล่ะ  เอ่อ...” นางไม่กล้ารับปากว่าจะมาดูแลเขา แม้ชายแดนสงบและเพิ่งเสร็จการปราบโจรป่าได้ นางคงไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลจวนท่านแม่ทัพ แต่นางก็ต้องฝึกเพลงกระบี่กับจ้าวจิ่นสือและคอยดูพลทหารฝึกซ้อม ซึ่งเป็นกฏของกองทัพ

            “ไม่ต้องห่วงหรอก คราวนี้ข้าอยู่ที่นี่นาน เจ้ามาเมื่อไหร่ก็ได้พบข้า” เขาตบหลังมือนางเบาๆ 

            เคอหลิ่งหลินเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาจับมือนางอยู่ นางจึงดึงมือตนเองกลับ ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบที่เขาทำกับนางเช่นนั้นหรือเพราะว่าตามธรรมเนียมชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัว แต่เพราะนางอับอายฝ่ามือหยาบกร้านของตนเองมากกว่า แต่คุณชายเฉินเข้าใจว่านางเขินอายที่ถูกจับมือ เขาจึงกล่าวขอโทษออกไป

            “ไม่ต้องขอโทษหรอก ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” นางยิ้มเขินๆ “ท่านพูดเองนะว่าให้ข้ามาหาได้ตลอดเวลา”

            “ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ”

            “ฮืม วันนี้ข้าออกมาจากจวนแม่ทัพทั้งวันแล้ว คนอื่นๆ จะคิดว่าหนีงาน ข้าคงต้องกลับก่อน”

            “รักษาตัวด้วย”

            “ท่านซิที่ต้องรักษาตัว” 

นางทำเสียงหงุดหงิดกับคำบอกลาของเขา 

            “ใช่...เป็นข้าที่ต้องรักษาตัว” เขาหัวเราะในลำคอ 

            เคอหลิ่งหลินกล่าวลาแล้วเดินออกมานอกห้อง เห็นว่าท่านหมอมู่ยังนั่งพูดคุยปรึกษากับคนอื่นๆอยู่จึงเดินเข้าไปหา 

            “มีอะไรให้ข้าช่วยได้หรือไม่ ยาสมุนไพรที่ไหนข้าจะขึ้นเขาไปหามารักษาคุณชายเฉิน” นางพูดอย่างจริงใจ และเชื่อมั่นว่าเขาต้องกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

            “หนทางนั้นมีแต่ลำบากนัก” หมอมู่พูดเสียงเบาไม่ต้องการให้คนในห้องได้ยิน 

            “ถ้าข้าทำได้ ข้าจะช่วยเต็มที่” นางยืนยัน

            “เป็นข้าที่จะเป็นคนไปหายามารักษาคุณชาย” ต้าซื่อพูดออกมา “อย่างที่ท่านหมอมู่บอก หนทางนั้นไกลนัก ข้าหวังใจว่าระหว่างที่ข้าไม่อยู่จะมีคนช่วยดูแลคุณชายแทนข้า”

            “วิทยายุทธ์ข้าอาจไม่สูงส่งเทียบท่านต้าซื่อ แต่วางใจเถิด หากข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดแตะต้องคุณชายเฉินได้แม้แต่ปลายเล็บ”

            “เห็นที่ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

            ต้าซื่อเห็นนางเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนี้ หนทางไปนำยามาถอนพิษให้คุณชายไม่ใช่เส้นทางปกติ เขาเองมีหน้าอารักขานายเหนือชีวิต แต่การรักษาชีวิตท่านไว้สำคัญกว่าสิ่งใด อยู่ในบ้านสกุลเหวินปลอดภัยในระดับหนึ่งอยู่แล้ว หากแต่มีคนใกล้ชิดที่

คอยดูแลคุณชายเพิ่มอีกสักคน ก็เป็นที่อุ่นใจมากทีเดียว

            เคอหลิ่งหลินรู้ตัวดีว่าการตกปากรับคำครั้งนี้มีความหมายมาก โชคดีที่ระยะนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรให้นางต้องกังวล  นางเพียงตื่นเช้ากว่าเดิมแล้วเข้าไปดูแลม้าในคอกม้า การฝึกทหารนั้นมีผู้อื่นดูแลแทนได้อยู่แล้ว  แต่เรื่องม้านั้นนางต้องเข้ามาดูในทุกเช้า แม้ไม่ได้ดูแลทุกตัวแต่นางก็พยายามจะทำด้วยตนเอง นางรักม้าเหล่านี้ราวกับพวกมันเป็นคนในครอบครัว  อาชาสำหรับแม่ทัพนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แม้ไม่อยู่ในช่วงศึกสงครามก็ต้องดูแลอย่างดียิ่ง หลายครั้งที่นางเอาชีวิตรอดกลับมาได้เพราะม้าเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วนางจึงให้คำสัญญากับพวกมันว่าจะดูแลพวกมันให้ดีที่สุดที่นางจะทำได้

            กิจวัตรที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย คือนางจะแอบหนีออกไปข้างนอก หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหยิบกระบี่ไม้ไผ่เตรียมออกไปข้างนอก แต่ชุนเอ๋อร์ก็ทันเห็นผู้เป็นนายที่กำลังจะกระโดดออกไป

            “คุณหนู! คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ”

            “ไป...ไปข้างนอก”  ร่างเพรียวนั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่างเตรียมจะออกไปเต็มที่

            “ข้างนอกที่ว่าคือที่ไหนเจ้าคะ” ชุนเอ๋อร์เท้าเอวมองนายของตนเองที่ทำตัวไม่สมเป็นกุลสตรีเลยสักนิด

ซึ่ง...ก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว

            “ข้างนอกก็คือข้างนอกไง” นางไม่อยากบอกว่าจะไปไหน เรื่องที่นางไปบ้านสกุลเหวินนั้นไม่มีใครรู้และนางก็ไม่อยากให้รู้ด้วย 

            “แต่วันนี้จะมีคนมาเยี่ยมเยือนท่านแม่ทัพ ฮูเหยินให้คุณหนูรอต้อนรับด้วยนะเจ้าคะ”

            “ใครๆ ก็มาเยี่ยมท่านพ่อออกบ่อยไป ข้าจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่เห็นต่างกันสักเท่าไหร่นักนี่”

            “แต่ฮูหยินกำชับมานะเจ้าคะ”

            “ก็บอกว่าเจ้าไม่เห็นข้าก็สิ้นเรื่อง ข้าไปล่ะ เจ้าจะได้ไม่เดือดร้อน” 

            “คุณหนู”

            ชุนเอ๋อร์ได้แต่มองร่างเพรียวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบกระโดดออกนอกหน้าต่างไป วิชาตัวเบาของเคอหลิ่งหลินไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด คนรับใช้อย่างนางจึงเห็นแต่แผ่นหลังไวไว หายลับตาไป 

            “ท่านไม่อยู่ต่างหากที่ทำให้บ่าวเดือดร้อน” ชุนเอ๋อร์ได้แต่พูดเสียงอ๋อยตามลำพัง เมื่อไหร่เจ้านายของนางจะแต่งตัวงดงามนั่งอยู่ในบ้านนิ่งๆ ในนางได้ปรนนิบัติเหมือนบ่าวไพร่คนอื่นบ้างนะ

            เคอหลิ่งหลินใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเรือนรับรองที่คุณชายเฉินพักอยู่ นางเหวี่ยงตัวนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่มองดูร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินออกมาบริเวณสวนหย่อม นางแปลกใจที่เขาเดินได้มั่งคงไม่เหมือนคนตาบอด แต่ยังไม่ทันไร เขาสะดุดกับก้อนหินเข้าให้   ร่างเพรียวผวาเฮือกแล้วกระโจนเข้าไปให้ดึงแขนเขาไว้อย่างรวดเร็ว 

            “ท่านจะทำอะไร” เคอหลิ่งหลินส่งเสียงดุเบาๆ จับไหล่สองข้างของเขาให้ยืนให้มั่นคง 

            “แม่นางเคอ?” 

เขาเอ่ยชื่อแล้วปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้ารอยยิ้มของเขาทำให้หญิงสาวเก้อเขินจนต้องรีบปล่อยมือจากไหล่สองข้างของเขา   

“ท่านเดินออกมาคนเดียวได้อย่างไร บ่าวไพร่คนอื่นเล่า ไม่มีใครมาดูแลท่านรึ” นางถามพลางจูงมือของเขามานั่งที่โต๊ะม้าหิน

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในลำคอ “ดวงตาของข้ายังไม่ถึงกับมืดบอด เรื่องเดินเหินแค่นี้ไม่ต้องให้มีคนมาประคองข้าหรอกนะ”

“เช่นนั้นก้อนหินมันทำอะไรผิดให้ท่านเตะเข้าไปเล่า”  นางทำเสียงหงุดหงิดแต่เขายังหัวเราะน้อยๆ ทำให้นางถอนหายใจ

 “เป็นข้าที่ผิดเอง”

“เอาเถะๆ ข้าแค่เป็นห่วงท่าน”

เขาไม่พูดอะไรแต่มุมปากยกยิ้ม หากเป็นเมื่อก่อนแววตาของเขาจะเป็นประกายใสสกาว แต่ตอนนี้เป็นสีขาวขุ่นจนน่าใจหาย พิษอะไรหนอที่ทำให้เขาต้องเป็นถึงเพียงนี้ แล้วนางก็นึกได้ที่ไม่เห็นเงาร่างของต้าซื่อคงเพราะเขาออกเดินทางไปหายามารักษาพิษให้คุณชายแล้ว

“แม่นางเคอมาที่นี่แต่เช้า กินอะไรมาหรือยัง” ชายหนุ่มถามเพราะปกติที่เคยเจอกันนางจะโผล่มาช่วงหลังเที่ยงไปแล้ว 

“ข้ากินหมันโถวตอนแปรงขนม้าแล้วล่ะ” นางพูดเหมือนเรื่องปกติ ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นจริง  และมักโดนท่านแม่ตำหนิเสมอ ก็นางกินจุนี่ หิวบ่อย จะทำอย่างไรได้เล่า

“ฮืม” เขามักได้ยินนางพูดเรื่องม้าอยู่บ่อยๆ ทำให้เขาเข้าใจว่านางเป็นคนดูแลม้าให้แม่ทัพจ้าว

“เจ้ามาดูแลข้าแบบนี้จะไม่มีปัญหาอะไรหรือ? ข้าควรไปพบท่านแม่ทัพเพื่ออธิบายว่าเจ้ามาดูแลข้าจะดีไหม”

“โอ๊ย! ท่านไม่ต้องลำบาก เอ๊ย!ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ช่วงนี้บ้านเมืองสงบสุขเป็นปกติดีงานของข้าก็พลอยไม่หนักหนาอะไรด้วย อ้อ! แต่ก่อนมาหาท่าน ข้าก็จัดการแปรงขนให้เจ้าเมฆเหินแล้วนะ”

            “เมฆเหิน?”

            “ใช่เมฆเหิน ม้าตัวโปรดของข้าเลยล่ะ ยามเมื่ออยู่บนหลังมัน ราวกับมีปีกได้โบกบินไปบนท้องฟ้าเลย” เคอหลิ่งหลินทำท่าจะพูดต่อแต่นึกได้ว่าพูดเรื่องตัวเองมากไปจึงเปลี่ยนเรื่อง 

“แล้วท่านล่ะ กินข้าวกินยาหรือยัง” 

            “ข้าเรียบร้อยแล้ว” 

            “แล้วท่านจะไปไหน ไปสอนหนังสือเด็กๆ เหรอ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนได้นะ”

            ใบหน้าหวานละมุนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมา แล้วพยักหน้าให้ แม้ตอนนี้ดวงตาของเขาจะพร่าเลือนแต่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ายิ้มกว้างก่อนจะประคองให้เขาเดินออกมาที่ประตูหลังของบ้านพักรับรอง 

            เกือบสองปีมานี่ เขามาพักรักษาตัวที่นี่ แม้จะไม่บ่อยนักแต่ทุกครั้งก็จะได้พบนางเสมอ นางเรียกเขาเพียงแค่คุณชายเฉิน แต่ไม่เคยถามว่าชื่อจริงหรือแซ่ของเขาเป็นมาอย่างไร สำหรับเขาแล้วสตรีมากมายที่อยากเข้าใกล้เขาจึงไม่แปลกใจที่นางจะเป็นเช่นนั้น ทว่านางไม่ได้สร้างความลำบากใจอันใดแก่เขา นางเพียงเหมือนเด็กที่อยู่ในร่างหญิงสาว  ยามที่เขาสอนหนังสือเด็กกำพร้าหรือเด็กยากจน นางก็จะนั่งฟังอย่างสนใจ ที่ผ่านมา  ไม่เคยต้องนัดหมายเพื่อพบหน้าหรือกล่าวลาเมื่อต้องจาก เมื่อกลับเมืองหลวง เขาก็เพียงแค่คิดถึงผู้หญิงที่หัวเราะเสียงดังอย่างเต็มเสียง ดูโผงผางไปบ้างแต่ก็จริงใจ นางอาจเป็นเพียงคนเลี้ยงม้าในจวนแม่ทัพจริงๆ และหากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็เป็นสหายที่น่าคบหาคนหนึ่ง

            เสียก็ตรงที่...เขาอาจจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของนางอีกก็เท่านั้น.