ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาร่ายรักฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป
ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก
การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’
“คุณชายเฉิน”
“คุณชายเฉิน”
“คุณชายเฉิน”
สามสี่วันมานี่ หูของเขาได้ยินแต่เสียงใสเรียก ‘คุณชายเฉิน’ นับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าของเสียงอยู่ตรงไหน หากแต่ถ้าเขาเผลอทำอะไรตกหล่นหรือเดินสะดุดอะไรสักอย่าง เสียงของนางก็ดังขึ้นข้างตัวเสมอ
สองปีก่อนเขาเดินทางมาพักฟื้นร่างกายที่นี่ ตามคำแนะนำของ เหวินเฮ่าหลัน เศรษฐีใหญ่ผู้มั่งคั่งจากการค้าขาย แม้จะอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ทว่าทางของเหวินเฮ่าหลันแต่เรื่องการค้านั้นสืบทอดความสามารถจากบิดาอย่างน่าชื่นชม ภายนอกมีบุคลิกเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญ แต่แข็งกร้าวเมื่อต้องต่อรองการค้า แม้กับทางราชสำนักเอง เขาก็ไม่เคยหวั่นกลัวหรือยอมก้มหัวให้ น่าประหลาดที่อุปนิสัยอย่างเหวินเฮ่าหลันกับคบหากับเขาได้ ร่างกายของเขาไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิด เขาเกิดก่อนกำหนดและมารดาก็สิ้นลมไปในวันที่เขาส่งเสียงร้องแรก ดูเหมือนการกำเนิดของเขาจะนำความเศร้าโศกให้ผู้เป็นบิดาจนแทบไม่อยากมองหน้าเขาเลยสักนิด ชีวิตของเขาจึงอยู่กับแม่นมและแม่บุญธรรมเสียมากกว่า เขาซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ที่อายุครบยี่สิบแปดแล้วนั้น ช่างเป็นชีวิตที่ผ่านมาด้วยความประหลาดดีแท้ แต่เพราะเขาเป็นแบบนี้ก็เป็นได้จึงทำให้ไม่มีใครมายุ่งกับชีวิตของเขา และยังไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงอำนาจจากใคร
การที่เขามาอยู่บ้านสกุลเหวินไม่เพียงแค่การพักรักษาตัวกับท่านหมอมู่เท่านั้น เหวินเฮ่าหลันมีเจตนาจะสร้างสำนักการศึกษาให้ผู้ที่สนใจใฝ่รู้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่ไหน ขอเพียงแค่อยากเรียนเท่านั้น เขาเห็นดีงามกับความคิดนี้จึงเข้ามาดูแลการก่อสร้างรวมทั้งหาครูมาสอนหนังสือ อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่เขาถนัดและทำมาตลอด
สภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างเขาความจริงก็เป็นสุขดีไม่น้อย ไม่นับอาการอ่อนเพลียของตนเองแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี บรรดาน้องชายน้องสาวก็ให้ความเคารพเขาตามสมควร มีเพียงสองเรื่องที่มารบกวนจิตใจของเขาคือการที่เขายังไม่แต่งงานและความวุ่นวายเดียวที่เขารับได้คือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ นางชอบเขาอย่างเปิดเผยทว่าจริงใจ หน้าตานางออกจะธรรมดา นิสัยยังโผงผางหรือบางครั้งก็เหมือนเด็กทั้งที่นางบอกว่าตัวเองอายุยี่สิบแล้ว
นางไม่เคยถามว่าเขาเป็นใคร นางพอใจกับการเรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ เขาจึงพึ่งพอใจที่จะเรียกนางว่า ‘แม่นางเคอ’ และเมื่อนางไม่ถามเรื่องส่วนตัวของเขา เขาก็ไม่ถามเรื่องของนาง รับรู้เพียงแค่นางชอบม้าและดูแลม้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่เสมอแต่ก็ไม่เคยเห็นนางใช้ทำร้ายผู้ใด
“แม่นางเคอ”
“หือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่สองมือยังประคองแขนให้เขาเดินไปข้างหน้า
“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาเลยล่ะ เจ้าได้กลับไปจวนแม่ทัพบ้างหรือไม่”
“แน่นอน ข้าต้องกลับอยู่แล้ว” นางไม่ได้โกหก หากไม่เพราะนางมีวิชาตัวเบาละก็ นางคงไม่ได้มาหาเขาบ่อยขนาดนี้หรอก เพราะจวนแม่ทัพจ้าวกับบ้านสกุลเหวินอยู่กับคนละมุมเมืองเลยทีเดียว
“ข้าเกรงเจ้าจะเหนื่อย”
“ข้าแข็งแรงไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” นางหัวเราะเสียงใส อบอุ่นใจที่เขาเป็นห่วงนาง เพิ่งรู้ว่าการที่นางอยู่ข้างกายเขามีประโยชน์อยู่บ้าง ดูเขายังไม่ชินกับสายตาที่เริ่มหม่นลงไปเรื่อยๆ นางเฝ้าภาวนาให้ต้าซื่อกลับมาพร้อมยารักษา นางอยากเห็นดวงตาอ่อนโยนของเขาอีกครั้ง
“เจ้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าวสบายดีหรือไม่”
“อืม...สบายดี” นางตอบตามตรง “ท่านถามทำไมรึ”
“เอ่อ...ถ้าข้าหายดี เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?”
คำถามนั่นทำให้นางนิ่งไปอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมาราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
“มาอยู่กับท่าน?” นางขมวดคิ้ว “บ่าวไพร่ท่านไม่พอใช้เหรอ”
“ไยเจ้าถามข้าเช่นนั้นเล่า” คราวนี้เป็นเขาที่ขมวดคิ้ว
“อ้าว ก็ท่านจะให้ข้าไปอยู่ด้วย ถ้าไม่เป็นบ่าวไพร่ จะเอาข้าไปทำอะไรล่ะ”
นางทำหน้างุนงง และอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ ใช่เขาอยากให้นางมาอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ให้นางมาเป็นบ่าวไพร่ เขาเพียงแค่อยากตอบแทนน้ำใจนางที่ดูแลเขายามดวงตาใกล้มืดบอดเช่นนี้
“ท่านอย่าได้กังวล ข้าช่วยท่านเพราะท่านเป็นคนดี ท่านไม่ดูถูกดูแคลนข้า ข้าก็ตอบแทนท่านได้เพียงเท่านี้”
เขานิ่งไปอึดใจ การนิ่งงันไปของเขาทำให้หญิงสาวหันมามองก่อนจะยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่อีกไม่นานเขาก็จะมองไม่เห็นแล้ว
“ท่านจะคิดอะไรมากเล่า ท่านถือข้าเป็นสหาย สหายก็ต้องดูแลกันซิ”
“สหาย? ข้าก็เห็นเจ้าเป็นสหายมานานแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น...” นางยิ้มแล้วชี้นิ้วที่ตัวเอง “เรียกข้าว่าหลิ่งหลินด้วยซิ เลิกเรียกแม่นางเคอเถอะ”
“ได้ซิ หลิ่งหลิน”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างพอใจแล้วพาเขาเดินกลับเข้ามาด้านใน แม่นมเหมยรีบเดินเข้ามาประคองให้นายนั่งที่เก้าอี้
“เจ้าลองคิดเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่อีกครั้งเถิดนะ” เขาเอ่ยย้ำเผื่อนางจะเปลี่ยนใจ
“ท่านแม่ทัพมีพระคุณกับข้ามาก ข้าไม่คิดจะไปจากบ้านตระกูลจ้าว” นางพูดตามจริง
“แม้แต่ออกเรือนเจ้าก็ไม่คิดรึ?”
“แต่งงานนะเหรอ” คราวนี้เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะงอหงาย ขนาดแม่นมเหมยยังประหลาดใจกับท่าทางของนาง
“ข้าอายุยี่สิบแล้ว เลิกคิดเรื่องออกเรือนไปนานแล้ว”
ถึงจะถูกพ่อแม่บุญธรรมพูดกรอกหูอยู่เสมอให้นางแต่งงาน แต่ชีวิตนางอยู่ในสนามรบตั้งแต่เล็กแต่น้อย จะให้เอาใจบุรุษเช่นกุลสตรีพึ่งกระทำนั้นยิ่งเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ไหนจะเรื่องที่นางประกาศไว้อีกว่าจะให้น้องชายตัวดีแต่งงานก่อน ป่านนี้จ้าว จิ่นสือก็ยังไม่เห็นมีแววจะไปทาบทามสาวบ้านไหนเลย
อาการหัวเราะจนน้ำตาเล็ดของเคอหลิ่งหลินทำให้ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก นางช่างแตกต่างจากหญิงทั่วไปจริงๆ
“เอาล่ะๆ อย่างไรข้าต้องขอขอบคุณน้ำใจของท่านมาก เอาเป็นว่าข้าไม่คิดไปจากจวนแม่ทัพจ้าว แล้วท่านก็ดื่มยาที่ท่านหมอมู่จัดให้ครบก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันต้าซื่อกลับมา ท่านหายดีก็จะได้กลับเมืองหลวงตามเดิม”
ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะเอ่ยปากแต่กลับนิ่งไป อาการนิ่งขรึมเป็นท่าทีประจำของคุณชายเฉินที่เคอหลิ่งหลินคุ้นชินแล้ว นางไม่เห็นเป็นความผิดปกติใด นางก้มศีรษะให้แม่นมเหมยและเอ่ยลาคุณชายแล้วกระโดดแผ่วออกไปอย่างรวดเร็วอย่างที่นางทำเป็นประจำ
“เป็นอะไรไปรึเจ้าคะ” แม่นมถามอย่างรู้สึกถึงบางสิ่งที่รบกวนคุณชายของนางอยู่
“นางเป็นคนดี”
“เจ้าค่ะ ถึงจะโผงผางไม่สมเป็นกุลสตรี กิริยามารยาท
ก็ราวกับหญิงสาวไร้การศึกษา”
“แม่นม” เขาเรียกเสียงเย็น แต่กลับได้เสียงหัวเราะเบาๆของแม่นมเหมย
“แต่นางก็ทำให้คุณชายเฉินหัวเราะ ยิ้มและถึงขั้นออกปากชวนนางมาอยู่ด้วย”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรกับนาง เพียงแค่ไม่อยากให้นางลำบากเลยอยากจะซื้อตัวนางมาอยู่เป็นเพื่อนแม่นม”
“คนแก่อย่างแม่นมเหมยคนนี้จะต้องการเพื่อนไปทำไมละเจ้าค่ะ ถ้าเอ็นดูนางก็ลองทาบทามนางเป็นอนุดีไหม”
“แม่นมเหมย ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่คิดอะไรกับนางเช่นนั้น อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใดกันเล่า”
“ท่านควรจะเลิกพูดให้ตัวเองอายุสั้นเช่นนี้เสียทีเถิด ไม่ว่าท่านจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ท่านก็ควรใช้ชีวิตให้เต็มที่ถึงจะถูก”
“ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า” เขาถอนหายใจเบาๆ “ไม่รู้ต้าซื่อจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาเป็นผู้อารักขาท่าน ท่านอย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลย รีบดื่มยาเถิดเย็นแล้วดื่มไม่คล่องคอ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วรับถ้วยยามาดื่ม ดื่มยาจนชินซ้ำยังมารับพิษแทนน้องชายอีก เอาเถิด...โชคชะตาจะเล่นตลกอะไร
กับเขาอีกก็เชิญเลย ข้าไม่ได้หวั่นกลัวกับความตายอีกแล้ว
เพียงแค่ครั้งนี้ หากจะต้องตาย ก็ขอได้เห็นใบหน้าของคนช่างเจรจาอีกสักครั้ง...ครั้งเดียวก็พอ
เคอหลิ่งหลินกลับมาถึงจวนแม่ทัพจ้าว ร่างเพรียวเดินผ่านประตูแล้วชะงักเท้าไป นางเดินเลี้ยวไปที่คอกม้าก่อน แม้จะมีคนดูแลม้าอยู่หลายคนแล้วนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ม้าก็เปรียบเสมือนอาวุธประจำกายแม่ทัพ แม้ยามสุขสงบก็ต้องดูแลอย่างดี นางแปลกใจที่มีม้าตัวใหม่มาเพิ่ม อาชาสีดำรูปร่างงามสง่า ใบหน้าสวยเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ม้ามองโกลตัวนี้มาได้อย่างไร”
“งามใช่ไหม”
“ใช่ งามสง่ามาก” นางตอบไม่หันไปมองเสียงที่เอ่ยถาม นางเดินเข้าไปใกล้ม้าสีดำที่ทำท่าพยศใส่
“ระวังด้วย”
“ชู่ว์” เคอหลิ่งหลินกระซิบพลางยื่นมือไปแตะปลายจมูกเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไว้ใจนาง นางจึงเลื่อนฝ่ามือลูบไล้มันอย่างปลอบโยน
“เจ้าช่างงามสง่านัก” นางกระซิบ “ข้าจะอาบน้ำแปรงขนให้เจ้าอย่างดี”
เสียงหัวเราะด้านหลังทำให้นางตื่นจากภวังค์แล้วหันไป
มอง ชายคนนั้นยืนมองนางอยู่ ด้วยสายตาที่ออกจะหยามเหยียด ใบหน้าคมเชิดขึ้นอย่างคนเอาแต่ใจ แต่นางกลับถอนหายใจเบาๆ เบื่อหน่ายกับคนประเภทนี้นัก คงเป็นสหายของจ้าวจิ่นสืออีกละซิ
เจ้าเด็กคนนี้ก็เลือกคบคนได้น่าประทับใจดีแท้
“เจ้าไม่กลัวม้าตัวใหญ่ขนาดนี้เลยหรือไง”
“ทำไมต้องกลัวม้าที่สง่างามเช่นนี้ด้วย
“เจ้าเป็นคนดูแลม้าของท่านแม่ทัพหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
นางยอบตัวลงคารวะตามธรรมเนียม ดูจากเสื้อผ้าแล้วเดาได้ไม่ยากว่าไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีอะไร เขาก็เดินจากไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น แต่จริงๆ ตั้งแต่เขาใช้สายตามองนางแล้วล่ะ นี่เป็นครั้งที่สองที่เจอกัน และเขาก็มองนางเช่นนี้ จะมีใครสักกี่คนที่มองนางด้วยสายตาอ่อนโยนเช่นคุณชายเฉิน โลกนี้คงหาได้ยากยิ่งนัก เอาเถอะ...นางชินชากับสายตาแบบนี้แล้ว มือเรียวลูบแผงคอของอาชางามสง่า นางส่งยิ้มให้แล้วพูดคุยกันสองสามคำก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา
“ถ้าข้าหายดี เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?”
เสียงอ่อนละมุนที่เอ่ยถามยังดังก้องอยู่ในสมองน้อยๆของเคอหลิ่งหลิน นางแปลกใจที่เขาเอ่ยถามนางเช่นนั้น นางชอบเขา เรื่องนี้เขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แค่การที่นางชอบเขาและไม่สร้างความรำคาญให้เขาก็นับว่าดีแล้ว แต่เขาจะให้นางไปอยู่กับเขาในฐานะอะไรกันเล่า ในเมื่อเขาไม่ได้ชอบนาง สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อนางก็ไม่ต่างจากที่เขาทำกับเด็กๆ ที่เขาสอนหนังสือเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ
เขาคงแค่สงสารนาง เอ็นดูนาง เหมือนเด็กๆ เหล่านั้น
หัวใจเจ็บแปลบขึ้นมาจนมือเรียวต้องยกมือขึ้นมาทาบอกสะกดความเจ็บปวดนั้นไว้ เพราะครั้งนี้ได้ใกล้ชิดกันมากกว่าปกติ ความเจ็บปวดจึงเกิดขึ้นกระมั้ง
ใช่ มันก็แค่นั้นจริงๆ.