ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาร่ายรักฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป
ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก
การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’
เคอหลิ่งหลินตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อดูแลม้าในคอกแล้วเตรียมตัวจะไปบ้านสกุลเหวิน ขณะกำลังจะย่องออกจากห้องนั้น ชุนเอ๋อร์ก็กระโดดออกมาขวางทางเสียก่อน
“คุณหนู! ห้ามไปไหนทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
“ชุนเอ๋อร์” เคอหลิ่งหลินร้องเสียงหลงอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะถูกสาวใช้จับได้เสียก่อน
“คุณหนูแอบหนีไปไหนทุกวันเจ้าคะ”
“ข้า...ข้า” นางโกหกไม่เก่ง ได้แต่กลอกตาไปมา
“ช่วงนี้คุณหนูได้พักผ่อนไม่ใช่หรือ บ่าวรู้ดีว่าเป็นเพียงบ่าวไพร่ คุณหนูไม่ให้บ่าวติดตามไปรับใช้ก็น่าก็บอกให้รู้สักนิดก็ยังดี”
เคอหลิ่งหลินเห็นสีหน้าน้อยอกน้อยใจของชุนเอ๋อร์แล้วก็ยิ้มน้อยๆ หมุนตัวลงมาจากกรอบหน้าต่างแล้วยื่นมือไปแตะไหล่ของสาวใช้อย่างเป็นกันเองไม่ถือตัว
“ชุนเอ๋อร์ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ระหว่างข้ากับเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายไม่เคยมองเจ้าเป็นบ่าวไพร่”
“ยังไงคุณหนูก็คือนายของบ่าวเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์สูดน้ำมูกกลั้นน้ำตา “ชีวิตชุนเอ๋อร์หากไม่มีคุณหนูยื่นมือเข้าช่วย ป่านนี้ก็คง”
“พอเถอะๆ ไม่ร้องไห้นะ”
เคอหลิ่งหลินปลอบใจคนไม่เก่ง ได้แต่ลูบไหล่ ลูบหลังสาวใช้อย่างสงสาร หลายปีก่อนนางเคยช่วยชุนเอ๋อร์จากพวกชายชั่วฉุดไปหมายจะขืนใจ ในครานั้นนางออกสำรวจเส้นทางก่อนออกรบบังเอิญได้พบเข้าจึงเข้าช่วยเหลือ ชุนเอ๋อร์จำใจต้องขายตนเพื่อนำเงินไปฝั่งศพบิดาไร้ญาติพี่น้องให้กลับไปพึ่งพา นางพอมีเงินติดตัวนิดหน่อยจึงขายกำไรหยกที่ติดตัวมาให้นางใช้จัดงานศพของบิดา หลังจากนั้นชุนเอ๋อร์ก็ขอติดตามนางเพื่อตอบแทนพระคุณที่ช่วยเหลือ แม้นางจะยืนยันปฏิเสธแต่ชุนเอ๋อร์เองก็ไม่มีที่ไป นางจึงรับชุนเอ๋อร์กลับมาที่จวนแม่ทัพเจ้า หญิงสาวไม่เคยคาดหวังให้ชุนเอ๋อร์มาคอยรับใช้นาง แต่นางขอร้องและทุกคนในบ้านก็เห็นดีด้วย ชุนเอ๋อร์จึงกลายเป็นบ่าวคนสนิทของนางไป เคอหลิ่งหลินมองไปด้านนอก เกรงจะไปเรือนสกุลเหวินช้ากว่าที่คิด กลัวคนดื้อที่ดวงตาพร่าเลือนจะไม่อยู่นิ่งๆ รอให้นางไปดูแล หญิงสาวจำเป็นจี้สกัดจุดไม่ให้ชุนเอ๋อร์ร้องตามนางออกจากบ้าน
“คุณหนู!” ชุนเอ๋อร์ที่ขยับปากได้เพียงนิดเดียวเปล่งเสียงรอดไรฟัน
“ขอโทษนะชุนเอ๋อร์ อีกครึ่งชั่วยามเจ้าก็กลับเป็นดังเดิม ข้าไปก่อนนะ ไม่ต้องห่วงข้าหรอก”
เคอหลิ่งหลินอาศัยวิชาตัวเบากระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชุนเอ๋อร์ยืนนิ่งไปหุ่นไม้ด้วยความไม่พอใจ หญิงสาวกระโดดไปตามหลังคาบ้านและไต่รั้วกำแพงหินไปตามเส้นทางลัดที่นางใช้ประจำ ทว่าหางตาของนางพลัดเห็นเงาร่างคุ้นตาเดินสะเปะสะปะเข้าตรอกเล็กแคบเข้าเสียก่อน คิ้วเรียวขมวดยุ่งด้วยความงุนงงก่อนจะเปลี่ยนทิศไปทางร่างเล็กในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนหวานผู้นั้น
“น้องฟางเหนียง”
“พี่หลิ่งหลิน!” มู่ฟางเหนียงที่ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ ดีใจจนโผเข้าใส่ร่างของเคอหลิ่งหลินอย่างลืมตัว
“เจ้ามาทำอะไรแถวนี้” ปกติมู่ฟางเหนียงแทบไม่ย่างเท้าออกจากโรงหมอเลยสักก้าว เหตุเพราะหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มผู้นี้หลงทิศหลงทางแม้กระทั้งทางในหมู่บ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่มาแรมปี
“ข้ามาตามหาพี่หลิ่งหลิน”
“ตามหาข้า? เจ้ารู้จักบ้านข้าหรืออย่างไร?” นางงุนงง
“ก็ท่านเคยบอกว่าท่านอยู่จวนแม่ทัพจ้าว ข้าก็จะไปจวนแม่ทัพเจ้า แต่...แต่...”
“เอาเถอะๆ ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
เคอหลิ่งหลินเกรงว่าเด็กสาวตรงหน้าจะถูกใครล่อลวงเข้าให้ เพราะมู่ฟางเหนียงแสนจะใจดีมีเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ ใครบาดเจ็บหรือป่วยไข้มานางก็รักษาอย่างเต็มกำลังแม้ตัวเองจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่นับรวมใบหน้าที่งดงามของนางอีกด้วย
“คนที่เป็นไม่ใช่ข้าแต่เป็นคุณชายเฉิน”
“อะไรนะ”
“พี่หลิ่งหลินรีบไปบ้านสกุลเหวินเถิด พ่อข้าก็อยู่ที่นั้น”
“คุณชายเฉิน” เคอหลิ่งหลินเรียกชื่อนั้นเหมือนละเมอ พอตั้งสติได้ก็จับข้อมือเล็กๆ ของมู่ฟางเหนียงไม่ให้ผลัดหลงแล้วรีบเร่งเดินทางไปทางบ้านสกุลเหวินทันที
หญิงสาวทั้งสองมาถึงบ้านสกุลเหวิน เคอหลิ่งหลินเข้าไปที่เรือนพักของคุณชายเฉินอย่างคุ้นเคยแต่มู่ฟางเหนียวอดเหลียวมองคฤหาสน์หลังใหญ่โตด้วยแววตาตื่นเต้นไม่ได้ เพียงหญิงสาวปราดเปรียวในชุดสีเขียวเข้มก้าวเข้ามา สายตาของนางก็ปะทะกับร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ของต้าซื่อ เคอหลิ่งหลินสูดลมหายใจลึก นางเคยอยู่ในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน ได้เจอคนบาดเจ็บล้มตายมานักต่อนัก แต่เมื่อเห็นบาดแผลของคนคุ้มกันของคุณชายเฉินแล้วหัวใจของนางก็เหมือนถูกบีบรัดแน่นจนเจ็บในอกไปหมด
“ฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่ออกจะแปลกใจที่เห็นลูกสาวมาอยู่ที่นี่ด้วย
“ท่านพ่อ ข้าไปตามพี่หลิ่งหลินมาเองเจ้าคะ”
“แล้วยาแก้พิษของคุณชายเฉินล่ะ”
เคอหลิ่งหลินรีบเข้าไปดูอาการของต้าซื่อ บาดเจ็บขนาดนี้ เอาชีวิตรอดกลับมาถึงที่นี่ได้นับว่าต้าซื่อมีความอดทนเป็นเลิศ ต้าซื่อรู้สึกตัวก็พยายามลืมตาขึ้น เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยแววตากังวลของเคอหลิ่งหลินแล้วก็พูดอะไรไม่ออก
“ข้าไม่อาจ...นำ...มัน...กลับ...มา...ได้”
หญิงสาวฟังชัดทุกถ้อยคำของต้าซื่อ ทุกคำกรีดหัวใจของเธอแทบหยุดเต้นไป เคอหลิ่งหลินหันไปทางท่านหมอมู่ที่กำลังทำแผลให้ผู้อารักของคุณชายเฉิ่น แม้ไม่เอ่ยปากท่านหมอมู่ก็เข้าใจว่าเคอหลิ่งหลินต้องการรู้สิ่งใด
“เรามีเวลาไม่มากนัก พิษร้ายเข้าสู่กระแสโลหิต ทำร้ายดวงตาของคุณชายและหลังจากนั้นอาจรวมถึงชีวิตของคุณชายเฉินด้วย”
“มีเวลาเท่าใดกัน”
“เพียงห้าราตรี แต่ถ้าคุณชายแข็งแรงดีก็อาจะยื้อได้เจ็ดราตรี”
ขนาดต้าซื่อมีวรยุทธสูงกว่านางยังบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ หญิงสาวได้แต่นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ราวกับไม่ได้ยินเสียงใด นางจะทำใจได้อย่างไรกัน ปล่อยให้เขาตายไปช้าอย่างนั้นหรือ?
“สิ่งแก้พิษที่ว่านั้นคือสิ่งใดและอยู่ที่ไหนกัน”
คำถามของเคอหลิ่งหลินทำให้ต้าซื่อพยายามเบิกตาขึ้น เขาจ้องมองนางอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเห็น เคอหลิ่งหลินเหมือนหญิงสาวที่ท่าทางกระโดกกระเดกหาความเป็นกุลสตรีเจอไม่ ทว่าบัดนี้ร่างกายที่เหยียดตัวตรงและสีหน้าเรียบนิ่งมีเพียงดวงตาที่ยังแววมุ่งมั่นนั้นทำให้เขารู้สึกได้เลยว่า นางไม่ใช่เคอหลิ่งหลินคนเลี้ยงม้าในจวนแม่ทัพเจ้าแน่ๆ
“อยู่ที่หุบเขาชิงซาน”
“เขาชิงซาน?” เคอหลิ่งหลินมีสีหน้าประหลาดใจ “ท่านคงไม่ได้หมายถึงไข่มุกหมื่นราตรีใช่ไหม?”
“เป็นสิ่งนั้นที่จะรักษาพิษในตัวคุณชายเฉินได้”
“ข้าไม่คิดว่าไข่มุกหมื่นราตรีจะมีอยู่จริง” นางเคยได้ยินท่านพ่อเล่าให้นางฟังอยู่บ่อยๆ แต่มันก็เหมือนเรื่องเล่าขานเคียงคู่หุบเขาชิงซาน
ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของต้าซื่อค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอนอย่างยากลำบาก เคอหลิ่งหลินเหลียวมองอย่างตกใจแล้วรีบเข้าไปประคอง
“แม่นางเคอ” เขาหยิบแผ่นหนังที่วาดแผนที่ออกมากจากอกเสื้อ “นี่คือแผนที่ซ่อนไข่มุกหมื่นราตรี ข้าขอร้องเจ้าโปรดช่วยชีวิตนายของข้าด้วย”
หญิงสาวรับแผ่นหนังเปื้อนเลือดมาดู เพียงกวาดสายตาไม่กี่อึดใจ นางก็จดจำรายละเอียดได้หมดโดยไม่จำเป็นต้องพกมันไปด้วย ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเรียบตึง
“ข้าจะไปเอาไข่มุกหมื่นราตรีเอง”
“พี่หลิ่งหลิน” มู่ฟางเหนียงเรียกเหมือนเตือนสติ “พี่จะไปอย่างไร ขนาดต้าซื่อยังเจ็บหนักขนาดนี้”
“เรามีเวลาไม่มาก ข้าจะกลับไปขอยืมเมฆเหิน-อาชาออกศึกของแม่ทัพจ้าวแล้วจะเดินทางไปหุบเขาชิงซานทันที”
“แม่นางเคอที่นั้นอันตรายมาก ซ้ำยังมีนักพรตหญิงวรยุทธสูงส่งที่เจ้าไม่อาจจะรับมือนางได้ ที่ข้ารอดกลับมาได้เพราะความปรานีของนาง”
“ข้าเคยได้ยินมาบ้าง” เคอหลิ่งหลินแย้มยิ้มให้ราวกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา “ช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญ ข้าจะรีบเร่งเดินทางไปเดี๋ยวนี้”
ต้าซื่อซาบซึ้งในน้ำใจของนางนัก ถึงกับยอมก้มศีรษะให้ แต่นางยกมือห้ามไว้ก่อน
“อย่าให้คุณชายเฉินรู้ว่าข้าเดินทางไปหายาแก้พิษ” นางกำชับ “เพราะถ้าเขารู้ต้องไม่ให้ข้าไปแน่ๆ”
หญิงสาวหันไปมองทางห้องพักของเขา ใจหนึ่งอยากเข้าไปกล่าวคำลา แต่อีกใจก็เตือนไม่ให้ตัวเองไปเฉียดใกล้ เขาผู้นั้นมีจิตใจอ่อนโยนย่อมยอมให้ตัวเองเจ็บแต่ไม่ยอมให้ใครลำบากแทนเป็นแน่ เพียงคิดถึงเขา นางก็ยิ้มน้อยๆออกมาอย่างไม่รู้ตัว นางหันกลับมามองทางต้าซื่ออีกครั้ง
“ไม่ว่าข้าจะกลับมาในสภาพใดก็ตาม โปรดบอกให้เขารู้ว่าข้าเต็มใจทำ และไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เราไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อกัน”
คำพูดของนางทิ้งเพียงความงุนงงให้คนฟัง เคอหลิ่งหลินพยักหน้าเป็นเชิงขอตัวแล้วกระโจนด้วยหัวใจเจ็บปวดเหมือนมีมือใหญ่มาบีบรัด นางรีบกลับจวนแม่ทัพจ้าว ไม่เพียงแต่ม้าฝีเท้าดีที่สุด แต่การไปครั้งนี้ นางยังไม่รู้ว่าตนเองจะกลับมาในสภาพใด การบอกกล่าวกับแม่ทัพจ้าวจึงเป็นสิ่งที่นางต้องครุ่นคิดให้หนัก
เพราะมีวิชาตัวเบาทำให้เคอหลิ่งหลินทะยานกลับจวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังช้านักสำหรับคนที่หัวใจเต็มไปด้วยความกังวล สายตาก็ปะทะกับร่างของพ่อบ้านตู้กำลังยกกาน้ำชาผ่านมาพอดี
“พ่อบ้านตู้” เคอหลิ่งหลินเรียกไว้ก่อน
“คุณหนู” พ่อบ้านแย้มยิ้มให้ราวกับมองเด็กหญิงตัวน้อย
“ท่านเห็นท่านพ่อไหม?”
“ท่านแม่ทัพอยู่ในห้องอักษรขอรับ”
“ท่านแม่อยู่ด้วยหรือไม่”
“ฮูหยินปักผ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ทัพขอรับ”
“แล้วจิ่นสือล่ะ”
“คุมทหารฝึกซ้อมหมัดมวยอยู่ขอรับ”
คำตอบของพ่อบ้านตู้ทำให้เคอหลิ่งหลินถอนหายใจหนักๆ ด้วยความเป็นพ่อบ้านมานานกว่าสิบปี ท่าทางลุกลี้ลุกลนของคุณหนูทำให้เขาสังเกตเห็นได้ชัดเจน จนอดเอ่ยปากถามมิได้
“คุณหนูมีสิ่งใดหรือขอรับ”
“ข้ามีเรื่องด่วนต้องเข้าพบท่านพ่อ แต่ท่านอย่าให้จิ่นสือรู้เด็ดขาด”
“นายน้อยยังไม่กลับเข้ามาจนกว่าจะถึงเวลาทานอาหารเย็นขอรับ”
เป็นปกติเช่นนี้เสมอ หากจ้าวจิ่นสือคุมการฝึกซ้อมของทหารก็จะไม่กลับเข้ามาในเรือนพักจนกว่าจะถึงเวลาเย็น
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดกับท่านพ่อ อย่าให้ใครเข้าไปรบกวน”
เคอหลิ่งหลินบอกแล้วยื่นมือไปรับถาดกาน้ำชาก่อนจะหมุนตัวเดินเร็วๆ เข้าไปในห้องอักษร พ่อบ้านได้แต่ชะเง้อคอยาวมองร่างเพรียวบางเดินเร็วๆ ผ่านสายตาไป
แม่ทัพจ้าวนั่งอ่านตำรายุทธเพื่อเตรียมแผนการฝึกซ้อมของทหาร แม้ตอนนี้บ้านเมืองสงบ แต่พลทหารก็ต้องฝึกซ้อมอยู่เสมอ หากเกิดศึกสงครามไม่ว่าจะเป็นศึกนอกหรือศึกในก็จะได้เตรียมตัวได้ทันท่วงที ส่วนฮูหยินอี้ซิ่วนั่งปักผ้าอยู่ใกล้สามี เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาทำให้ฮูหยินอี้ซิ่วเงยหน้าขึ้นและแปลกใจที่เห็นลูกสาวบุญธรรมยกน้ำชาเข้ามาให้แทนที่จะเป็นพ่อบ้านตู้
“เกิดอะไรขึ้น”
“เอ๋?” เคอหลิ่งหลินพลันชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะ
“พ่อถาม เจ้าไม่ได้ยินหรือไร” แม่ทัพจ้าวแม้จะมีโครงหน้าคมเข้มและใบหน้าขมึงทึงอยู่เสมอ ทว่าแท้จริงเป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนมีเมตตายิ่งนัก
“ท่านพี่ก็” ฮูหยินอี้ซิ่วส่ายหน้าไปมา “ท่านพูดดักคอแบบ
นี้ ประเดี๋ยวลูกสาวเราก็หนีไปอีกหรอก ยิ่งไม่ค่อยอยู่บ้าน วันๆหายหน้าหายตาไปไหนไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
ถ้อยคำของแม่ทัพจ้าวกับฮูหยินอี๋ซิ่วทำให้เคอหลิ่งหลินได้แต่ทำหน้าง้ำงอ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญที่ต้องรีบเร่งเดินทาง นางจึงรีบนั่งคุกเข่าต่อหน้าแม่ทัพจ้าว ฮูหยินอี้ซิ่วถึงกับตกใจที่เห็นท่าทางของลูกสาวบุญธรรมจึงหยุดมือจากการปักผ้าแล้วเดินมาจะประคองให้นางลุกขึ้นแต่เคอหลิ่งหลินขืนตัวไว้
“คราวนี้มีเรื่องอะไรอีกล่ะ” น้ำเสียงเนื่อยๆ เอ่ยถาม แม่ทัพจ้าวเองคุ้นชินการนิสัยโผงผางของลูกสาวคนบุญธรรมเป็นอย่างดี
“ข้าอยากขอยืมเมฆเหินไปหุบเขาชิงซานเจ้าค่ะ”
“หุบเขาชิงซาน! เจ้าจะไปที่นั้นทำไมกัน” คราวนี้ฮูหยินอี้ซิ่วตกใจแทบล้มทั้งยืน ดีที่นางตั้งสติได้รีบนั่งที่เก้าอี้เสียก่อน
“ข้าต้องช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งและต้องไปเอายาแก้พิษที่หุบเขาชิงซาน” นางยืดอกจ้องมองแม่ทัพด้วยแววตามุ่งมั่น
“ถ้าข้าไม่อนุญาตเจ้าก็จะขโมยม้าของข้าไปใช่ไหม?”
“ข้าเพียงแค่ขอยืม” นางทำเสียงอ่อน
“คนที่เจ้าช่วยเป็นผู้ใดกัน” น้ำเสียงของฮูหยินไม่ค่อยพอใจนัก รู้ดีว่าลูกสาวคนนี้ชอบช่วยเหลือคน แต่ครั้งนี้ดูจะเต็มไปด้วยอันตรายกว่าทุกครั้ง
“ข้าพูดไม่ได้” นางไม่หลบสายตา
“พูดไม่ได้หรือไม่พูด”
แม่ทัพจ้าวสูดลมหายใจลึก เคอหลิ่งหลินแม้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็เติบโตในป่าเขากับพ่อที่เป็นโจรป่า และเมื่อมาอยู่กับกองทัพก็ยังฝึกฝนวรยุทธเทียบเท่าบุรุษผู้อื่น แน่นอนว่า หากจะทรมานนางเพื่อเค้นเอาข้อมูลความจริงใดๆ หากนางไม่เปิดปากเองก็ไม่มีวันที่ใครจะง้างปากให้นางพูดออกมาได้ เช่นนี้แล้วแม่ทัพจ้าวจึงไม่เห็นว่าจะต้องบีบบังคับให้เคอหลิ่งหลินเอ่ยชื่อคนที่นางต้องช่วยชีวิต
“เป็นคนที่ทำให้เจ้าเพียรฝึกเพลงขลุ่ยใช่หรือไม่”
คราวนี้สีหน้าของเคอหลิ่งหลินมีแววหวั่นไหว เพียงเท่านี้แม่ทัพจ้าวก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เมฆเหินเป็นม้าศึก เจ้าต้องดูแลมันอย่างดี และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าต้องพามันกลับมาที่จวนอย่างปลอดภัย”
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ”
“วาจาเรียกข้าว่าพ่อ แต่เจ้าไม่ค่อยเคารพข้าเสียเท่าไหร่”
“ท่านพี่! อันตรายถึงเพียงนี้ท่านยังอนุญาตให้หลิ่งหลินไปอีกหรือ”
“ท่านแม่ โปรดเข้าใจข้าด้วย” นางก้มศีรษะลง
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าหาใครสักคนสองคนติดตามไปด้วย หรือไม่ก็ให้จิ่นสือไปเป็นเพื่อน”
“มิได้ท่านแม่ ข้าเดินทางครั้งนี้ต้องรีบเร่งแข่งกับเวลาที่เหลือน้อยเต็มที่ของคนผู้หนึ่ง การไปหลายคนเกรงว่าจะยิ่งล่าช้า ข้าไปคนเดียวสะดวกกว่า อีกอย่างเวลาที่ข้าออกสำรวจเส้นทางก็เดินทางคนเดียวเป็นประจำ ท่านแม่อย่าได้วิตกไปเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าให้เจ้ายืมเมฆเหินครั้งนี้ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกับข้า”
“ท่านพ่อต้องการสิ่งใด ข้ายินดีทำทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตข้าก็...”
“พอๆ” แม่ทัพจ้าวยกมือห้ามไว้ก่อน “เอาเป็นว่าเป็นเจ้าที่เสนอเอง”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าเอาม้าไปเถิดและจงจำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี เพราะข้าถือว่าเจ้าให้คำสัตย์สัญญากับข้าแล้ว”
เคอหลิ่งหลินได้แต่ก้มศีรษะ นางไม่กล้าสบตากับฮูหยินอี้ซิ่วเพราะเกรงจะพบสายตาดุๆ เอาเข้าจริงคนที่น่ากลัวกว่าแม่ทัพจ้าวก็คือฮูหยินอี้ซิ่วนี่เอง เคอหลิ่งหลินรีบถอยหลังออกมาแล้ววิ่งเร็วๆ กลับไปที่ห้องของตนเอง จัดแจงแต่งกายใหม่ด้วยด้วยชุดบุรุษ เวลาที่นางออกสำรวจเส้นทางมักแต่งกายเป็นชายเสมอ
ชุนเอ๋อร์เห็นผู้เป็นนายแต่งกายเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้
“คุณหนู มีงานสำคัญอะไรหรือท่านจึงแต่งกายเป็นชายเช่นนี้”
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้”
ชุนเอ๋อร์รีบเข้ามาช่วยเคอหลิ่งหลินเกล้าผมให้เรียบร้อย นางเองก็ชินแล้วที่ผู้เป็นนายมักจะพูดเช่นนี้ เพราะงานของคุณหนูมักเป็นความลับเสมอ หากแต่ครั้งนี้ผู้เป็นนายหยิบกระบี่แหนบกายไปด้วย
“ข้าเอาไปเผื่อต้องใช้” เคอหลิ่งหลินเข้าใจสายตาของชุนเอ๋อร์ดี หากไม่ได้อยู่ในสนามรบ นางจะพกเพียงกระบี่ไม้ไผ่ เพราะนางไม่อยากเห็นเลือดเปื้อนเปรอะกระบี่อีกแล้ว แต่ครั้งนี้นางจำเป็นต้องเอากระบี่ออกไปด้วย
“คุณหนู”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ ข้าไปไม่กี่วันก็กลับแล้ว”
เคอหลิ่งหลินแตะแก้มของชุนเอ๋อร์เบาๆ แล้วรีบก้าวออกจากห้องของตนไปที่คอกม้า นางพยายามหลบไม่ให้ใครเห็นเพราะเกรงว่าเรื่องจะรู้ไปถึงหูของจ้าวจิ่นสือแล้วจะทำให้นางลำบากที่จะเดินทางคนเดียว
“เมฆเหิน” เคอหลิ่งหลินลูบแผงคอของม้าอย่างเบามือ “ช่วยข้าหน่อยนะ”
ม้าส่งเสียงร้องเหมือนขานรับ เคอหลิ่งหลินเตรียมจะโดดขึ้นหลังม้าแต่พ่อบ้านตู้เรียกนางไว้ก่อนพร้อมยื่นห่อผ้าให้ หญิงสาวยื่นมือไปรับอย่างงุนงง
“ท่านแม่ทัพให้เตรียมเสบียงอาหารให้คุณหนูขอรับ”
“ขอบคุณท่านมาก”
เคอหลิ่งหลินได้แต่ยิ้ม คล้องห่อผ้าไว้กับไหล่แล้วขึ้นหลังม้ากระชับบังเหียนในมือแล้วควบม้ากระโจนมุ่งหน้าสู่หุบเขาชิงซาน!.