ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง

บุปผาร่ายรัก - ตอนที่ 8 สู่หุบเขา โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุปผาร่ายรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

บุปผาร่ายรัก โดย เพลงมีนา @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง

ผู้แต่ง

เพลงมีนา

เรื่องย่อ

เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป

ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก

การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’

สารบัญ

บุปผาร่ายรัก-บทนำ บทนำ,บุปผาร่ายรัก-01 หลุมพราง ,บุปผาร่ายรัก-02 ซุกซ่อน,บุปผาร่ายรัก-03 ขลุ่ยไม้ไผ่เซียงเฟย,บุปผาร่ายรัก-04 จุดเริ่มต้น,บุปผาร่ายรัก-05 คุณชายเฉิน,บุปผาร่ายรัก-06 เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 7 เราไม่มีสิ่งใดติดค้างต่อกัน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 8 สู่หุบเขา,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่9. ไข่มุกหมื่นราตรี,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่ 10. เหวินเฮ่าหลัน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่11. ตื่นฟื้น,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่12 แลกเปลี่ยน,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่13. เข้าวังหลวง,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่14. ใต้หล้านี้จะมีคนหน้าตาเหมือนกันเช่นนี้หรือ?,บุปผาร่ายรัก-ตอนที่15. รอยสัก

เนื้อหา

ตอนที่ 8 สู่หุบเขา

อาชาสีน้ำตาลพุ่งทะยานดุจก้อนเมฆบนท้องฟ้า ไม่ผิดจากชื่อ ‘เมฆเหิน’ เลยแม้แต่น้อย  ด้วยความแข็งแรงและปราดเปรียวของม้าแสนงามสง่าตัวนี้ ทำให้เคอหลิ่งหลินมาถึงหุบเขาชิงซานได้ในหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน 

อาจเป็นเพราะเมฆเหินรู้ใจผู้อยู่บนหลังอานม้าว่าจิตใจนั้นร้อนรนต้องการ ไปถึงปลายทางให้เร็วที่สุด มันมุ่งทะยานไปเต็มฝีเท้า  แม้เมื่อหญิงสาวหยุดพักม้า  มันก็ดื่มน้ำเล็มหญ้าเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะเหมือนจะเรียกให้ไปต่อ

            มาถึงที่หมายก็เย็นย่ำ หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า สายตาจับจ้องไปที่ภูเขาที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้า แม้จะรีบร้อนเพียงใดก็มิควรเข้าไปยามค่ำคืน คืนนี้คงต้องหาที่พักแรมและที่ปลอดภัยในเมฆเหินเสียก่อน แม้มีความกังวลอยู่ในใจ แต่ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม นางไม่แน่ใจว่า ‘บ้าน’ หลังนั้นของนางจะยังอยู่ไหม ความทรงจำในสถานที่นั้นเหลือน้อยเต็มที่ ทว่านางก็ยังจำที่ตั้งของสถานที่นั้นได้อย่างดี หญิงสาวลงจากหลังม้าแล้วจูงม้าเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กๆ ไม่นานนัก เบื้องหน้าปรากฏกระท่อมหลังน้อยที่สภาพซอมซ่อที่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ร่างเพรียวเดินเข้าไปใกล้ หัวใจตีบตัน แม่บังเกิดเกล้าให้กำเนิดนางได้ไม่นานก็ตายจาก เหลือเพียงพ่อที่เลี้ยงดูนางตามลำพังในกระท่อมหลังน้อย ท่านพ่อเป็นมากกว่าพ่อ เป็นทั้งครู อาจารย์ สอนนางขีดเขียนและอ่านตำรา ฝึกวรยุทธและการแกะรอยเดินป่า ไม่เพียงแค่นั้น ท่านยังเป็นพี่ เป็นเพื่อนเล่นให้นางไม่รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวและเป็นแม่เมื่อยามที่นางป่วยไข้ 

            เคอหลิ่งหลินสูดลมหายใจลึก กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลริน แม้ไม่มีผู้ใด นางไม่ปรารถนาจะให้น้ำตารินหลั่ง ต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาราวกับซุกซ่อนกระท่อมไว้จากสายตาผู้อื่น เท้าของนางเดินเข้าไปใกล้พลันภาพต่างๆ ผุดขึ้นในสมองเริงร่าทับซ้อนกับความจริงเบื้องหน้า  นางเห็นเงาร่างของพ่อที่มีร่างของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ขี่คออยู่ หญิงสาวเดินผ่านความทรงจำเหล่านั้นไปที่ประตูบ้าน  ออกแรงอยู่หลายครั้งก็ผลักมันเข้าไปได้ ไม่ได้กลับมาที่นี่นานสิบกว่าปี สภาพในกระท่อมยังให้ความรู้สึกคงเดิม นางแหงนหน้ามองด้านบน หลังคาเป็นรูในหลายแห่งแต่เพราะถูกหญ้าขึ้นปกคลุมจึงพอได้เป็นที่คุ้มศีรษะได้ คืนนี้นางคงจะอาศัยที่นี่พักผ่อนสักคืนก่อนจะเข้าสู่หุบเขาชิงซาน

            นางก่อกองไฟเล็กๆ จัดแจงเตรียมอาหารให้ตัวเอง แม้ไม่หิวนักแต่ต้องให้ร่างกายได้กินอิ่มเพื่อมีเรี่ยวแรงไปนำไข่มุกหมื่นราตรี นางมองดูเมฆเหินพักผ่อนแล้วก็เบาใจ ม้าตัวนี้ฉลาดนักเกินคำว่าแสนรู้เสียอีก ไม่เพียงแต่ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้วยังมีความสามารถในการจำทิศทาง มันสามารถพาคนที่อยู่บนหลังกลับที่พักได้เป็นม้าคู่ใจแม่ทัพอย่างแท้จริง   

            เสียงระบายลมหายใจเบาๆ ทำให้เมฆเหินหันมามองเพียงแวบเดียวแล้วก็ไม่ใส่ใจ เคอหลิ่งหลินเผลอหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าไปมา ท่าทางแบบนี้ช่างคล้ายจ้าวจิ่นสือไม่มีผิด เป็นห่วงแต่ไม่แสดงออก เขามักเป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนี้มาตลอด พ่อของนางพานางติดตามแม่ทัพจ้าวตั้งแต่อายุสิบขวบ หากสิ่งที่พ่อของนางตัดสินใจว่าดี นางย่อมเห็นว่าดีด้วย การเป็นโจรป่าของพ่อแตกต่างจากโจรป่าที่นางเคยรู้จัก เพราะพ่อกับนางใช้ชีวิตตามลำพัง ไร้ญาติพี่น้อง แต่โจรป่าที่อื่นนั้นมักจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ บ้างดำรงชีพด้วยการเป็นโจร บ้างก็เป็นโจรเพราะจำใจ นางไม่รู้หรอกว่าไยพ่อจึงเป็นโจร ความเป็นอยู่ของนางกับพ่อก็ไม่วิเศษเลิศเลออันใด  ยังคงเป็นแค่กระท่อมหลังน้อยที่แสนอบอุ่นนี้เท่านั้น จนเมื่อได้พบกับแม่ทัพจ้าวที่ช่วงนั้นออกปราบกบฎชายแดน   

            “แม่ทัพจ้าวเป็นคนดี ท่านช่วยเหลือชาวบ้าน พ่ออยากจะช่วยท่าน หลินเอ๋อร์เจ้าจะว่าอะไรพ่อหรือไม่”

            “ท่านพ่อว่าอย่างไร ลูกก็ว่าตามนั้น” นางยักไหล่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร พ่ออยู่ไหน นางอยู่นั้น ย่อมเป็นเช่นนั้น

            “แต่เราจะไม่ได้อยู่ที่กระท่อมหุบเขาชิงซานอีกแล้วนะ”  มือใหญ่หยาบกร้านลูบผมของลูกสาวอย่างทะนุถนอม

            “จะเป็นไรไป โลกกว้างใหญ่ใช่ที่ไร้ที่ซุกหัวนอน พ่ออยู่ไหนข้าอยู่นั้น ท่านพ่อจะไม่ทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียวใช่ไหม?”

            “แน่นอน พ่อไม่ทิ้งเจ้า แต่เจ้าจะทนไหวหรือไม่”

            นางหัวเราะเสียงใส ใช้นิ้วโป้งจิ้มที่หน้าอกตัวเอง “ข้าเป็นใคร ข้าเคอหลิ่งหลินบุตรสาวขุนโจรแห่งหุบเขาชิงซานเชียวนะ มีเรื่องอะไรให้ข้าต้องหวาดกลัวด้วยรึ”

            “ใช่ๆ เจ้าเป็นลูกพ่อ เจ้าต้องเข้มแข็ง ไม่ว่าวันนั้นเจ้าจะมีพ่ออยู่หรือไม่ก็ตาม”

            “ท่านพ่อ ท่านสัญญาซิว่าจะไม่ทิ้งข้าไปเหมือนท่านแม่” 

            “หลินเอ๋อร์ จำไว้ให้ดีว่าแม่ไม่ได้ทิ้งเจ้า แม่รักเจ้ามากยอมเสียสละชีวิตตนเองเพื่อให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ใช้ชีวิตเรียนรู้ทั้งสุขและทุกข์บนโลกใบนี้”

            “ข้าทราบแล้วท่านพ่อ” เด็กหญิงทำหน้างอ

            แต่ไม่กี่ปีผ่านมา ท่านพ่อก็ผิดสัญญากับนาง ไม่ซิท่านพ่อไม่ผิดสัญญา เพราะท่านบอกก่อนตายว่า “พ่อกับแม่จะอยู่กับเจ้าเสมอจำไว้หลินเอ๋อร์ของพ่อ”

            “ท่านพ่อ ท่านพ่อ” นางร้องไห้เป็นครั้งแรก 

            “หลินเอ๋อร์ของพ่อ ต่อไปนี้เจ้าต้องอยู่กับแม่ทัพจ้าวแล้ว เจ้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้วนะ”

            “ท่านพ่อผิดสัญญา” เด็กหญิงตัวน้อยเอาแต่ทุบอกบิดาที่นอนหายใจรวยริน เนื้อตัวมีบาดแผลฉกรรจ์จากการเอาตัวเองปกป้องแม่ทัพจ้าว

            “พ่อขอโทษ”

            “ไม่ๆ ข้าไม่อยากได้คำขอโทษจากท่านพ่อ ข้าอยากให้ท่านพ่ออยู่กับข้า”

            “หลิ่งหลิน”   

 เป็นเสียงของแม่ทัพจ้าวที่ดังเหนือศีรษะของนาง นางหันไปมองด้วยใบหน้านองน้ำตา แม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่งแต่นัยตาปวดร้าวไม่แพ้กัน มือใหญ่วางบนศีรษะของนางอย่างเบามือ แต่น้ำหนักนั้นราวกับจะย้ำเตือนว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน

“ต่อไปนี้ข้าจะเป็นพ่อให้เจ้าเอง เจ้ามาเป็นลูกสาวข้า ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีไม่น้อยกว่าพ่อของเจ้า”

“ท่านแม่ทัพ...ข้าขอบคุณเหลือเกิน” 

“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า”

เพียงสิ้นคำสั่งเสีย พ่อของนางจากไปอย่างไม่มีวันกลับ  เด็กหญิงตัวเล็กไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ควรเป็น นางได้แต่นิ่งงันไป แม่ทัพจ้าวจัดงานศพให้พ่อของนางตามธรรมเนียม นางยังเด็กและทำอะไรไม่ถูก หลังจากนั้นนางก็ติดตามแม่ทัพกลับมาที่จวน ได้พบฮูหยินอี้ซิ่วและจ้าวจิ่นสือเป็นครั้งแรก 

“เจ้ามาอยู่กับข้านะ ข้าอยากได้ลูกสาวมานานแล้ว”   

ฮูหยินอี้ซิ่วยิ้มอ่อนโยน แต่ครานั้นนางถือคำสั่งบิดาเป็นที่ยึดเหนียว บิดาสั่งให้นางติดตามแม่ทัพจ้าว ไม่ใช่ฮูหยินของแม่ทัพ นางจึงได้แต่สั่นศีรษะไปมาแล้วไปหลบด้านหลังของแม่ทัพจ้าวเสียอย่างนั้น      

            “เอาเถอะ! พ่อนางก็เพิ่งจากไป ให้อยู่กับข้าไปสักระยะก่อนก็แล้วกัน แล้วอย่างไรค่อยว่ากันอีกที” แม่ทัพจ้าวตัดบท และสั่งให้คนคอยดูแลเคอหลิ่งหลิน

            มือเรียวใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟเล็กๆ เบื้องหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้ม นางโชคดีเหลือเกินที่ได้รับความเมตตาจากแม่ทัพจ้าวและฮูหยินอี้ซิ่ว ทั้งที่ทั้งสองไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับนางนัก  แต่นางก็เติบโตมาอย่างดี เพียงแต่นางเลือกที่จะใช้ชีวิตตามคำสั่งเสียงของบิดา นางมีความสามารถในการแกะรอยสำรวจเส้นทาง อ่านแผนที่ได้อย่างแม่นยำ ยิ่งเติบโตในค่ายทหารได้ฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ไม่น้อยหน้าใคร ในสนามรบนางมักมีสีหน้าเรียบนิ่งดุจผิวน้ำในฤดูหนาว แต่เมื่อใช้ชีวิตปกติ นางกลับเป็นเคอหลิ่งหลินจอมทะโมน คงเพราะแบบนี้กระมั้ง นางจึงถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กรับใช้ในจวนแม่ทัพจ้าว หรือไม่ก็เพราะนางไม่ได้มีรัศมีเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิด

            นางไม่อยากคิดอะไรมาก คืนนี้นางต้องพักผ่อนเก็บแรงสำหรับวันรุ่ง ขณะเอนตัวลงนอนนางกลับฝันถึงตัวเองในวัยเด็ก เสียงหัวเราะและเรื่องราวของมารดาที่ไม่เคยพบหน้า

            แสงอาทิตย์แตะแต้มท้องฟ้า เคอหลิ่งหลินตื่นแต่เช้าตรู่จัดการธุระส่วนตัวแล้วยืนสนทนากับเมฆเหิน มือเรียวลูบแผงคออย่างเอาใจ

            “รอข้าอยู่ที่นี่นะ ข้าจะไม่ผูกเจ้า แต่โปรดรอข้าและพาข้ากลับไป เราจะกลับบ้านพร้อมกัน”

            เมฆเหินส่งเสียงร้องในลำคอราวกับจะบอกเป็นนัยว่าเข้าใจ นางยิ้มให้แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าสู่หุบเขาชิงซาน หากภูเขาไม่เคลื่อนย้ายตัวเอง นางก็จำเส้นทางเหล่านี้ได้แม่นยำ ในวัยเด็กบิดาพานางเข้ามาหาของป่าไปขายในเมือง ที่นี่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชและสมุนไพรสารพัด โดยเฉพาะสมุนไพรหายากหลากหลาย แต่เส้นทางสลับซับซ้อนซ้ำ เป็นป่ารกทึบทำให้หลงทางโดยง่าย

            “หากเราหาของป่าเหล่านี้ไปขายในเมืองก็ได้เงิน ไยท่านพ่อจึงต้องเป็นโจรปล้นผู้อื่นด้วยเล่า” เสียงนางในวัยเด็กถามบิดาขณะเดินเข้าไปในป่าลึกเช่นเดียวกับวันนี้

            พ่อหัวเราะเสียงกังวาน “พ่อทำเพราะคนที่พ่อปล้นเป็นคนไม่ดี เอาเถอะหลินเอ๋อร์ โลกกว้างใหญ่มีอะไรอีกมากที่เจ้ายังต้องเรียนรู้ แต่จำไว้ว่าพ่อทำเพื่อช่วยเหลือคนที่อ่อนแอ เจ้าก็เช่นกัน สิ่งที่พ่อพร่ำสั่งสอนก็เพื่อให้เจ้าปกป้องตนเองจากผู้อื่น และให้เจ้าช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่า อย่าได้นำสิ่งที่พ่อสอนไปรังแกใครล่ะ”

            “ข้าทราบแล้วท่านพ่อ”

            เคอหลิ่งหลินดีใจที่ตนเองยังจดจำเส้นทางเดินที่บิดาพานางมาได้ เพียงไม่กี่ชั่วยามนางก็เดินฝ่าแนวป่ารกทึบจนหูได้ยินเสียงน้ำตกอยู่เบื้องหน้า หากเป็นเวลาปกตินางคงชมความงามสองข้างทางแต่ไม่ใช่เวลานี้ที่ความเป็นและความตายกำลังคืบคลานเข้ามา 

            มือเรียวแหวกกอหญ้าที่สูงท่วมศีรษะ นางมองเห็นสระน้ำสีเขียวมรกต ที่นี่ถูกบิดาเรียกว่า ‘บึงมรกต’ และด้านหลังคือน้ำตกจันทรา 

            “ยามคืนพระจันทร์เต็มดวง ละอองน้ำกระเซ็นกระทบ

แสงจันทร์ งดงามราวกับไข่มุกสีนวลกระจ่างตา”

            เสียงของบิดาดังขึ้นในหัวน้อยๆ ของนาง 

            “ในบึงมรกตมีไข่มุกที่ใช้รักษาโรคภัยหรือพิษร้ายแรงได้”

            “ในบึงนี่นะหรือ? ข้านึกว่าไข่มุกมาจากทะเล” เด็กหญิงย่นจมูก

            “มุกน้ำจืดก็มีนะ แต่สำหรับที่นี่ เป็นสถานที่พิเศษ เจ้าไม่ควรให้ใครรู้ หากเป็นคนไม่ดีก็ทำนำสิ่งนี้ไปทำสิ่งผิด พ่อบอกเจ้าเผื่อวันข้างหน้าเจ้ามีเหตุจำเป็นต้องมาที่นี่”

            “อืม...” นางพยักหน้าแรงๆ เป็นการยืนยันว่านางจะไม่บอกใคร

 แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ หลายปีมานี่ นางได้ยินคนพูดถึงไข่มุกหมื่นราตรีบ่อยๆ สรรพคุณประดุจโอสถทิพย์จากสวรรค์  แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ครอบครอง 

            ไข่มุกหมื่นราตรีอยู่ในบึงเบื้องหน้า นางต้องลงไปนำมันขึ้นมา

            ดวงตาสีนิลเพ่งมองอย่างพิเคราะห์นึกถึงร่างกายกำยำของต้าซือที่เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสหนักเอาการ 

            หางตาเห็นการเคลื่อนไหวของ ‘บางสิ่ง’ กอหญ้าสั่นไหวและดูเหมือน ‘สิ่งนั้น’ พุ่งตรงมาทางนางอย่างรวดเร็ว!

            เคอหลิ่นหลิงกระโดดหลบ แม้จะเพ่งมองแต่ก็ไม่เห็นสิ่ง

ที่พุ่งเข้าใส่  อีกอึดใจสิ่งนั้นก็พุ่งใส่นางอีกครา สองมือของหญิง

สาวจับกิ่งไม้เหนือศีรษะแล้วโหนตัวเองขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ อยู่ที่สูงย่อมได้เปรียบ  นางหยิบกระบี่ที่ห้อยข้างกายออกมาแต่ยังไม่ชักออกจากฝัก แต่นางคิดผิดเพราะสิ่งนั้นกลับกระโจนใส่นางแม้นางจะอยู่บนกิ่งไม้สูง

 เงาร่างดำทมิฬทำให้นางตะลึงไปเสี้ยววินาที ปากที่อ้าปากและเขี้ยวแหลมคมนั้นทำให้นางต้องยกกระบี่ขึ้นกันตัวเอง ปากของมันงับเข้าใส่กระบี่ของนางก่อนจะถึงท่อนแขนที่มันหมายปอง หญิงสาวเสียหลักตกจากต้นไม้แต่ยังตั้งสติได้ทัน นางม้วนตัวลงมาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ยังทันได้สังเกต ‘สิ่งนั้น’ เต็มตา ลิงตัวใหญ่ยักษ์กว่านางถึงสองเท่ากำลังพุ่งเข้าใส่  แต่นางกลับเพ่งมองราวกับค้นหาบางสิ่งในความทรงจำ แล้วนางกลับยืนนิ่งเบื้องหน้าพญาวานร ลิงยักษ์ทำท่าจะตะปบนาง แต่หญิงสาวกลับเชิดหน้าขึ้นจ้องมอง

            “พี่วานร! พี่วานร! ข้าหลิ่งหลินเอง ท่านจำข้าได้หรือไม่”

            ลิงยักษ์ชะงัก มือทั้งสองยกค้างแล้วค่อยๆ ทิ้งลงข้างตัว มันจ้องมองนางก่อนยื่นหน้ามาสูดดมกลิ่นอายของนาง แม้หัวใจจะเต้นรัวแต่นางกลับยิ้มออกมา ความลับที่บิดาของนางไม่เคยรู้ ก็คือหลังจากที่บิดาพานางมาที่บึงมรกตครั้งหนึ่งแล้วนั้น นางก็แอบมาที่นี่คนเดียวอีกหลายหน ทำให้ได้พบกับ ‘พี่วานร’ ของนาง

            “พี่วานร ข้าเอง ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก” 

นางยื่นมือไปสัมผัสแก้มของลิงยักษ์อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน จากลิงยักษ์ที่ดุร้ายมุ่งหมายเอาชีวิต มาบัดนี้มันจดจำสัมผัสของนางได้ จึงย่อตัวลงแล้วโอบกอดนางแน่นจนหญิงสาวแทบหายใจไม่ออก

            “พี่วานร หากพี่กอดข้าแน่นเช่นนี้ กระดูกข้ากรอบแน่ๆ”  หญิงสาวหัวเราะดีใจที่ได้เจอพี่วานรของตน “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่” 

            ลิงยักษ์คลายอ้อมกอด เคอหลิ่นหลิงมองอย่างสำรวจหาสิ่งความเปลี่ยนแปลง ทว่านางต้องตกใจที่เห็นว่าแขนข้างหนึ่งเป็นแผลยาว ดูท่าจะเป็นแผลมานานแล้วไม่ใช่แผลใหม่ 

            “พี่วานรให้ข้าทำแผลให้พี่ก่อนเถิดนะ” นางไม่รอช้า จำได้ว่าทางที่เดินผ่านมีพืชสมุนไพรที่ใช้ใส่แผลให้สมานกันเร็วขึ้น  นางเดินย้อนกลับไปเด็ดมาเท่าที่ต้องใช้ จากนั้นเคี้ยวให้แหลกก่อนจะนำมันมาพอกกับแผลของลิงยักษ์แล้วฉีกชายผ้าพันแผลให้

            “คงพอช่วยให้แผลของพี่วานรสมานกันเร็วขึ้น” นางลูบหลังลิงษ์ยักษ์อย่างปลอบโยน “คงมีคนใจร้ายทำลายท่านใช่ไหม”

            “ก็คนอย่างพวกเจ้า! ที่หวังมากอบโกยสมบัติแห่งผืนป่านะซิ!”

            เสียงตะโกนดังกึกก้องแม้กระทั่งนกยังเสียขวัญบินแตกกระเจิงไปหลงทิศทาง ลิงยักษ์ยังแสดงความหวาดหวั่น หญิงสาวหยิบกระบี่ขึ้นเตรียมป้องกันตัว นางรู้สึกได้ถึงขุมพลังที่พุ่งเข้าใส่ หญิงสาวม้วนตัวหลบแรงปะทะนั้น ในนาทีต่อมานางรีบยกกระบี่ขึ้นป้องกันตน ประมืออีกฝ่ายที่ฟาดฝ่ามือใส่ แม้ไม่ถูกตัวนางแต่พลังนั้นกระแทกเข้าใส่จนร่างของเคอหลิ่งหลินถอยหลังซวนเซไปหลายก้าว

            “หึ! เป็นสตรีแต่แต่งตัวเป็นบุรุษ คิดจะมาเอากระบี่ผงาดฟ้า”

            เคอหลิ่งหลิงมองไม่เห็นผู้มาใหม่ได้ชัดนัก เห็นเพียงเงาร่างที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเส้นผมสีขาวดุจเงินยวน 

            “ชักกระบี่ออกมา!”

            “ข้าน้อยบุกรุกมาที่นี่เพื่อนำสิ่งหนึ่งไปรักษาชีวิตคน มิได้มาเพื่อสิ่งอื่นใด” นางยืนยันเจตนาของตัวเอง ไม่ยอมชักกระบี่ออกจากฝักซ้ำยังแค่แกว่งกระบี่ปกป้องตัวเองไม่ตอบโต้

            สิ้นประโยคของนางทำให้อีกฝ่ายชะงักไป เคอหลิ่งหลินไม่ประมาทแต่ไม่อาศัยจังหวะนี่ตอบโต้กลับ ผู้มาใหม่ถลาร่อนลงมาหยุดยื่นเบื้องหน้าทำให้นางได้มองเห็นอีกฝ่ายเต็มตา เป็นหญิงวัยสี่สิบต้นๆ แต่เส้นผมยาวสลวยนั้นเป็นสีขาว และสวมเสื้อผ้าสีขาว  หรือจะเป็นนักพรตหญิงที่ต้าซื่อกล่าวถึง และอาจเป็นที่มาที่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสกลับไปและหากใช่ นางเองก็ไม่ใช่คู่ต่อกรกับคนผู้นี้

            “ไป๋ลู่?”

            “?” 

            “ไป๋ลู่จริงๆ”

            “ท่านรู้จักท่านแม่ของข้าด้วยรึ”

            “ฮึ! เจ้าว่าอะไรนะ” นักพรตหญิงเดินเข้ามาใกล้แล้วเดินวนรอบหญิงสาว เพ่งพินิจแล้วส่ายหน้าไปมา “บิดาของเจ้าคือ...”

            “เคอตงตง ส่วนข้าเคอหลิ่งหลินเจ้าค่ะ”

            “เจ้านี่มันขี้เหร่ได้พ่อจริงๆ”

            เคอหลิ่งหลินอ้าปากค้าง เดี๋ยวก็บอกว่านางเหมือนแม่ เดี๋ยวก็ว่าขี้เหร่เหมือนพ่อ นักพรตหญิงท่านนี้จะเอายังไงกับนางกันละเนี้ย แต่กระนั้นนักพรตหญิงวางมือจากการโจมตีนางพลันหันหลังให้ หญิงสาวจ้องมองอย่างงุนงงจนได้ยินเสียงตะคอกอีกครั้ง

            “ยังจะยืนโง่อีกถึงเมื่อไหร่ รีบตามมายกน้ำชาให้ป้าของเจ้าซิ!”

            “!?!”.