ฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
รัก,จีน,ดราม่า,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุปผาร่ายรักฤดูกาลแห่งรักผลิิบาน พร้อมปริศารอยสักดอกไม้แดง
เคอหลิ่งหลิน จากเด็กกำพร้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง ใช้ชีวิตในกองทัพด้วยใบหน้าเย็นชา
ทว่าเมื่อได้อยูใกล้ชายที่นางแอบรัก หญิงสาวก็ถอดหน้ากากกลายเป็นหญิงสาวธรรมดา ซุกซนราวกับลิงน้อย
ชายผู้นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงจนเมื่อเขาได้รับพิษเข้าสู่โลหิตจนดวงตาเกือบบอดและจะสิ้นชีพในไม่ช้า
นางจึงทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเขา แม้หนทางนั้นจะยากลำบากและแลกกับชีวิตของนางก็ตามที
โดยไม่รู้ว่าการเดินทางไปนำ ‘ไข่มุกหมื่นราตรี’ มาเพื่อรักษาชีวิตของ ‘คุณชายเฉิน’ จะเปลี่ยนชีวิตของนางตลอดไป
ชายหนุ่มอมโรคที่มีชีวิตราวกับจะตายวันตายพรุ่ง หลังจากได้ไข่มุกหมื่นราตรีที่เขารับพิษแทนน้องชาย
กลับกลายเป็นว่านอกจากจะขับพิษออกจากดวงตาแล้วยังทำให้ร่างกายของเขาดีขึ้นตามลำดับ ทว่าเขากลับไม่พบเห็นหญิงสาวที่ซุกซนผู้นั้นอีก
การนำไข่มุกหมื่นราตรีกลับมารักษาคุณชายเฉินทำให้เคอหลิ่งหลินสูญเสียกำลังภายใน
นางต้องเดินทางเข้าวังหลวงตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ทัพจ้าว แม้นางจะเป็นบุญบุตรธรรมแต่นางคุ้นชินกับชีวิตชายแดนมากกว่า
แต่เพราะต้องรักษาคำพูดตนเองจึงจำใจต้องเข้าวังหลวงกับแม่บุญธรรมซึ่งเป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้เคอหลิ่งหลินได้พบคุณชายเฉินอีกครั้ง
ทว่าบัดนี้เขาคือ ‘องค์ชายไท่หยาง’ โอรสพระองค์โตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และเด็กกำพร้าอย่างนางจู่ๆกลับมีรอยสักรูปดอกไม้แดงปรากฏที่กลางแผ่นหลัง
ดอกไม้แดงคือสัญลักษณ์ของผู้นำทางไปสู่ที่ซ่อนของกระบี่ผงาดฟ้าที่คนในยุทธภพต่างหมายป้อง
จะเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตแต่เมื่อปลายนิ้วของทั้งสองมีด้ายแดงผูกพันกันไว้
แม้มีอุปสรรค พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าเพื่อได้ครอบครองใน ‘รัก’
เคอหลิ่งหลินตามนักพรตหญิงมายังกระท่อมที่พักบนภูเขา นางไม่เคยขึ้นเขามาถึงที่นี่ มาไกลที่สุดก็แค่บึงมรกตเท่านั้น หญิงสาวเดินตามแผ่นหลังของผู้ที่เรียกตนเองว่าป้าเข้ามาในกระท่อมไม้ไผ่ที่เรียบง่ายและสงบเงียบ
หญิงต่างวัยนั่งที่เก้าอี้กลางห้องขนาดเล็ก เคอหลิ่งหลินปรายตามองไปทางมุมหนึ่งของห้อง นางรู้ทันทีว่านางต้องเตรียมน้ำชาให้ อึดใจต่อมาจึงยกกาน้ำชามารินให้นักพรตหญิง
“เคอหลิ่งหลินคาราวะท่านป้าเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกว่าข้าเป็นป้าของเจ้า เจ้าก็เชื่อแล้วเรอะ” น้ำเสียง
กระด้างดุแต่ยื่นมือมารับถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย แต่แย้มยิ้มออกมา “ข้าน้อยไร้ญาติขาดมิตร หากท่านเมตตานับข้าน้อยเป็นลูกหลาน ข้าน้อยยอมดีใจจนไม่ถามสิ่งใด”
“พูดได้ดี พ่อเจ้าคงสอนมาละซิ”
“ท่านพ่อสั่งสอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้ดูต้นหญ้าเป็นตัวอย่างที่ยอมเอนลู่ไปพื้นดินไม่เสมอตนแม้จะเกิดอยู่บนภูเขาสูงเทียมฟ้า”
“เหอะ…แล้วพ่อเจ้าพูดอะไรถึงแม่เจ้าบ้างล่ะ”
“ท่านพ่อเล่าแต่เรื่องดีๆ ของท่านแม่”
“แล้วบอกไหม? ว่าเจอแม่เจ้าได้อย่างไร”
“ท่านพ่อบอกว่า ท่านไปหาของป่าแล้วเจอท่านแม่...” บิดาไม่ได้เล่ารายละเอียดมากนักในเรื่องนี้
“พ่อเจ้ามันเป็นโจร! มันตั้งใจมาขโมยเอากระบี่ผงาดฟ้า แต่แม่เจ้ามันใจอ่อน อ่อนแอไม่เข้าเรื่องถึงได้หลงกลพ่อของเจ้าไงล่ะ”
“แล้วข้าควรเรียกท่านว่าท่านป้าหรือนักพรตหญิงเจ้าคะ” ถามด้วยดวงตาใสซื่อ
“แม่ของเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า ข้าก็ต้องเป็นป้าของเจ้า!” นางเอานี้ชี้จิ้มหน้าผากหญิงสาวอย่างแรง “อย่ามาทำตาใสซื่อ ข้า
ไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ”
เคอหลิ่งหลินเม้มปากแน่นกลั้นยิ้ม ท่าทางท่านป้าอารมณ์ร้อน ปากร้าย ทว่าจิตใจดี ไม่เช่นนั้นนางคงถูกไม่ได้มานั่งอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้
“แต่ข้าไม่เคยเห็นท่านพ่อมีกระบี่อะไรนั้น” นางอยู่บิดาตลอดเวลา ตัวติดกันอย่างกับอะไรดี ไม่เคยเห็นท่านพ่อมีกระบี่วิเศษอะไรเสียหน่อย
“ก็พ่อเจ้าไม่ได้เอากระบี่ไป แต่เอาไป๋ลู่ไปแทนไงเล่า”
“อ่า...ท่านป้ายิ่งเล่าข้าก็ยิ่งงง”
“ข้ากับไป๋ลู่-แม่ของเจ้ามีหน้าที่ดูแลไม่ให้ผู้ใดมาช่วงชิงกระบี่ผงาดฟ้า แต่พ่อของเจ้าก็แอบเข้ามาหวังจะเอากระบี่ไป ทว่าพ่อเจ้าหลงใหลความงามของไป๋ลู่และนางเองก็มีใจให้พ่อของเจ้า ไป๋ลู่จึงยอมทำผิดกฏหนีไปอยู่พ่อของเจ้าไงล่ะ”
“ถ้าแม่ของข้ายินยอมพร้อมใจจากที่นี่ไป เช่นนั้นแล้ว พ่อข้าก็ไม่ได้เป็นโจรมาขโมยสิ่งใดจากท่านป้าไปใช่หรือไม่”
นางถอนแสร้งทำเป็นหายใจอย่างโล่งอกออกหน้าออกตา คราวนี้เป็นนักพรตหญิงที่มีอาการอึกอัก ท่าทางนี้ทำให้ เคอหลิ่งหลินยิ้มออกมาได้
“ท่านป้า... เรื่องเป็นเช่นนี้แล้วจะเรียกว่าพ่อข้าเป็นโจรได้อย่างไร ในเมื่อทั้งพ่อและแม่ของข้ารักกัน จนยอมทิ้งทุกสิ่งทุก
อย่างได้ ที่สำคัญทำให้ข้าได้เกิดมาเป็นตัวตนบนโลกใบนี้”
“ความรัก! ข้าละเกลียดคำนี้เสียจริง แม่เจ้าก็เอาแต่พร่ำคำๆ นี้” นางทำเสียงไม่พอใจ แต่เหลือบตามองหญิงสาวที่อยู่ในวัยสะพรั่ง ใบหน้าไม่ได้งดงามโดดเด่นแต่ก็หมดจดโครงหน้ารูปไข่สวยได้แม่มาทั้งหมด แล้วดวงตาคู่นั้นก็หรี่มองผู้เป็นหลาน
“อย่าบอกว่าเจ้ามาที่นี่ก็เพราะคำว่ารักนี่อีกคน”
“เอ่อ...” คราวนี้หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง นางชอบเขาแต่คำว่ารักดูเหมือนจะมากไปเกินกว่าจะเอ่ยออกมาได้ นางชอบเขาเพียงฝ่ายเดียว แค่นี้มันชัดเจนแก่ใจก็พอแล้ว
“ถ้าไม่ได้มาเอากระบี่ผงาดฟ้า เจ้ามาเอาสิ่งใดกัน”
“ข้าต้องการไข่มุกหมื่นราตรีเจ้าค่ะ”
คำตอบของเคอหลิ่งหลินทำเอานักพรตหญิงถึงกับแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ท่าทางนั้นทำให้หญิงสาวลงจากเก้าอี้กลมแล้วคุกเข่าเบื้องหน้าหญิงต่างวัยด้วยความเคารพยำเกรง หญิงสาวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่และพ่อก็ไม่อยู่ให้ถามแล้ว หากนางบอกว่านางเป็นป้าก็เรียกได้ว่านางจะเป็นเพียงญาติคนเดียวที่นางเหลืออยู่
“ข้าต้องการนำสิ่งนั้นไปช่วยชีวิตผู้อื่น”
“คงเป็นคนสำคัญที่เจ้ายอมแลกชีวิตเพื่อนำสิ่งนั้นไป” นักพรตหญิงหัวเราะแบบเย้ยเยาะในลำคอ “เจ้ารักคนผู้นั้นถึงขนาดยอมเอาชีวิตตนเองเข้าแลกงั้นรึ”
“...”
การนิ่งเงียบไปของเคอหลิ่งหลินทำให้นักพรตหญิงหัวเราะอีกครั้ง เป็นการหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเวทนาและสงสารอยู่ในที
“ไข่มุกหมื่นราตรีมีสรรพคุณแก้พิษรักษาชีวิตคนได้ แต่การจะนำไข่มุกหมื่นราตรีขึ้นจากบึงมรกตนั้น ก็ต้องรับพิษที่เปลือกหอยด้วยเช่นกัน ยิ่งไข่มุกมีคุณในการรักษามากเท่าใด พิษที่อยู่เปลือกหอยก็ร้ายแรงยิ่งนัก เจ้าอาจไม่รอดชีวิตก็เป็นได้ เจ้าจะยอมแลกชีวิตกับสิ่งนั้นเพื่อผู้อื่นงั้นเรอะ”
เคอหลิ่งหลินฟังทุกถ้อยคำที่เอ่ยเตือนสตินาง หญิงสาวครุ่นคิดแล้วแย้มยิ้มออกมา อย่างไรก็ตาม นางตัดสินใจแล้วและจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนใจนางได้เช่นกัน
“คนที่ข้าช่วยเป็นคนดี หากเขามีชีวิตอยู่ต้องทำสิ่งดีเพื่อผู้อื่น เช่นนั้นแล้วการกระทำของข้าก็ไม่สูญเปล่าแต่อย่างใด”
“แต่เจ้าจะตาย!”
หญิงสาวหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก “ตายแล้วอย่างไร ข้าก็แค่ได้ไปพบหน้าพ่อกับแม่อีกครั้งในปรโลก”
“บ๊ะ! พ่อเจ้านี่มันสอนเจ้าอย่างไรกัน” นักพรตหญิงส่ายหน้าไปมา “พ่อแม่เจ้าตายจากไปแล้ว แล้วตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใดกัน”
“ข้าอยู่กับแม่ทัพจ้าวเจ้าค่ะ”
“งั้นแม่ทัพจ้าวใช้ให้เจ้ามาเอาไข่มุกหมื่นราตรีงั้นเรอะ”
“มิใช่เจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมา
“พ่อของข้าหลังจากออกจากหุบเขาชิงซานก็ติดตามแม่ทัพจ้าวร่วมรบจนตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน จากนั้นแม่ทัพจ้าวก็รับข้าเป็นบุตรบุญธรรมให้ความเป็นอยู่สุขสบาย แต่การที่ข้ามาเอาไข่มุกหมื่นราตรีครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแม่ทัพจ้าว ข้าเพียงนำไปให้คนผู้หนึ่ง...”
“ซึ่งเจ้าก็จะไม่ปริปากว่าคนผู้นั้นเป็นใคร?”
“ขออภัยที่ข้าไม่อาจเอ่ยถึงเขาได้”
“อย่างน้อยก็เป็นบุรุษ” เข่นเสียงหัวเราะในลำคอ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าคงเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วใช่ไหม”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“เอาเถอะหน้าที่ของข้าคือปกป้องกระบี่ผงาดฟ้าหาได้มีหน้าที่ดูแลไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้เตือนเจ้าแล้ว เจ้าจะได้สิ่งนั้นมาแต่เจ้าจะสูญเสียทุกอย่างในตัวของเจ้าไป ข้าเพียงบอกเจ้าได้เท่านี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเวรกรรมและชะตาฟ้าลิขิต”
“ขอบคุณท่านป้า”
“เจ้าพักผ่อนเสียหน่อย เพราะเจ้าต้องดำน้ำลงไปเอาไข่มุกหมื่นราตรียามหลังเที่ยงคืน ต้องรอให้จันทร์กระจ่างฟ้า เพราะมีแต่แสงจันทร์เท่านั้นที่นำทางให้เจ้าได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยอยากขอความเมตตาจากท่านป้า ช่วยเล่าเรื่องท่านแม่ให้ข้ารู้สักหน่อยเถิด ข้าไม่เคยรู้ว่าท่านแม่เป็นมาอย่างไรก่อนเจอท่านพ่อ”
นักพรตหญิงมองหญิงสาวด้วยหางตาแล้วหัวเราะในลำคอ
“ได้ซิ ไหนๆ เจ้าก็จะได้ไปพบพ่อกับแม่เจ้าในปรโลกอยู่แล้ว จะให้เล่าเรื่องแม่ของเจ้าเสียหน่อยก็ไม่เสียเวลาอะไรนักหรอก”
ค่ำคืนคืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า แม้ว่าเคอหลิ่งหลินจะนั่งตั้งสติมานานหลายชั่วยาม ไม่อาจมีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจครั้งนี้ได้อีกแล้วนางใช้ชีวิตในสนามรบได้พบเห็นสายตาที่จ้องมองนางราวกับปีศาจตนหนึ่งก็ไม่ป่าน จะกล่าวว่าชินชาก็ไม่อาจเรียกได้เต็มปาก เพราะนางยังคงเจ็บปวดกับสิ่งเหล่านั้น
มือที่เปื้อนเลือดและเสียงร้องโหยหวนยังดังในหัวน้อยๆของนางแม้ในยามหลับใหล ทว่ามีเพียงสายตาของเขาเท่านั้นที่มองนางอย่างอ่อนโยนและไม่มีความรังเกียจใด อาจเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่านางเป็นใครและเข้าใจว่านางเป็นคนเลี้ยงม้าในจวนแม่ทัพจ้าว ก็นั้นแหละ นางไม่ได้โฉมสะคราญให้ผู้คนหลงใหลได้นี่ นางหัวเราะให้กับตนเอง เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว แค่สายตาของเขาทำให้นางระลึกได้ว่าตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ใช่มารปีศาจตนใดก็พอแล้ว
นักพรตหญิงหายไปที่ใดนางไม่อาจรู้ได้ มีเพียงถุงมือหนังสัตว์ที่วางไว้ให้ นี่อาจเป็นของขวัญที่มอบให้นางก่อนตายได้รับรู้เรื่องราวของท่านพ่อและท่านแม่ หญิงสาวเหยียดตัวขึ้นแล้วเดินตามแสงสว่างของจันทรา คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงงดงามนัก ผิวน้ำในบึงมรกตสะท้อนดวงจันทร์ราวกับกระจก เคอหลิ่งหลินหยิบถุงมือหนังสัตว์มาสวม กลั้นใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนสูดลมหายใจเก็บอากาศไว้เต็มปอดแล้วกระโจนลงไปในน้ำด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว
ผิวน้ำเยียบเย็นกว่าที่นางคาดคิด ราวกับถูกผ้าแพรสีเขียวมรกตรัดรึงทำให้นางต้องรีบเตะปลายเท้าแล้วแหวกว่ายดำดิ่งลงไป เป็นจริงเช่นคำของนักพรตหญิงกล่าวไว้ แสงจันทร์กระจ่างทำให้นางมองเห็นใต้ผิวน้ำได้แจ่มชัดมองเห็นคล้ายถ้ำตามที่นักพรตหญิงบอก นางว่ายเข้าไปแล้วโผล่หน้าขึ้นในช่องแคบเล็กได้อากาศอีกอึดใจก่อนจะดำลงไป หากไม่เพราะนางต้องการมาเพื่อนำเอาไข่มุกหมื่นราตรีไป นางคงชื่นชมความงามในถ้ำใต้น้ำเช่นนี้
ทว่าเวลานี้นางต้องตั้งมั่นทำในสิ่งที่ต้องการ นางไม่ได้ใส่ใจสิ่งอื่น เพียงสิ่งเดียวที่ต้องการคือไปให้ที่หอยมุกหมื่นราตรีที่เวลานี้อยู่เบื้องหน้านางแล้ว มองเพียงผิวเผินคล้ายก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนซ้อนทับไร้ระเบียบ แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเป็นหอยมุกขนาดใหญ่กว่าเด็กเจ็บแปดขวบด้วยซ้ำ แม้มีถุงมือหนังแต่นางต้องระวังอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อนำไข่มุกกลับไปให้จงได้ มือเรียวหยิบมีดสั้นที่พกไว้ออกมาแล้วงัดปากเปลือกหอยให้เปิดอ้า หอยมุกขนาดใหญ่นางต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีงัดมันให้เปิดออก เพียงปากหอยเปิดอ้า แม้จะเห็นไข่มุกสีดำแวววาวอยู่เบื้องหน้า ทว่านางรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งตรงเข้าใส่ ผิวกายปะทะกับคราบเมือกลื่นที่อยู่รายล้อมไข่มุก นางรีบใช้คว้าไข่มุกสีนิลใส่ถุงผ้าคล้องคอตนเองแล้วถีบตัวแหวกสายน้ำไปให้ถึงผิวน้ำโดยเร็ว
สติของนางเลือนลางทุกขณะ แต่กระนั้นก็เพ่งมองแสงจันทร์ที่ทอแสงราวกับจะนำทางในนางโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาได้ ร่างบางทะลึ่งกายจากบึงมรกต นางตะเกียดตะกายแหวกว่ายมาถึงฝั่ง สำลักน้ำอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าเมื่ออากาศเข้าปอดนางกลับรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่าง เจ็บปวดจนกรีดร้องไร้เสียงทิ้งร่างลงไปดิ้นทุรนทุรายบนพื้นดิน
“ไม่ได้ ข้าจะเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้” นางเรียกสติตัวเองยันตัวขึ้นจากพื้นดิน แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏเมื่อเห็นลิงยักษ์โหนเถาวัลย์ลงมาหาราวกับจะรอรับนางอยู่แล้ว
“พี่วานร พาข้ากลับไปกระท่อมทีเถิด ข้าต้องไปเอาม้าที่นั้น”
ลิงยักษ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แบกนางขึ้นบ่าแล้วห้อยโหนเถาวัลย์ไปถึงกระท่อมอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดที่บีดรัดหัวใจทำให้นางยังมีสติอยู่ ลิงยักษ์มองหน้าดวงแววตาห่วงใย มือนางสั่นระริกแต่ก็ยื่นไปแตะใบหน้าของ ‘พี่วานร’ จะเอ่ยปากบอกลาก็กลายเป็นกระอักเลือดสีสดออกมา แต่กระนั้นก็ฝืนยิ้มให้ทั้งที่มุมปากยังมีเลือดเปื้อนเปรอะ ลิงยักษ์ผงกศีรษะราวกับเข้าใจส่งที่หญิงจะเอื้อนเอ่ยมันช่วยพยุงนางขึ้นหลังม้า
‘ท่านป้า ข้าเคอหลิ่งหลินขอลาก่อน’
เคอหลิ่งหลินได้แต่รำพึงอยู่ในใจ เมื่อร่างของหญิงสาวขึ้นหลังเมฆเหินที่รอเหมือนรู้ล่วงหน้า นางพยายามหยัดตัวยืนขึ้นบนหลังม้า กระทุ้งเท้าเป็นสัญญาณให้เมฆเหินทะยานออกไป
ทว่าร่างของหญิงต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อหนึ่งฝ่ามือกระแทกแผ่นหลังนางอย่างแรง แรงจนนางกระอักเอาลิ่มเลือดออกจากปาก แต่ครั้งนี้โลหิตนั้นเป็นสีดำ ร่างของนางโงนเงนอยู่บนหลังม้าครู่หนึ่งก่อนจะซบลงไป แต่กระนั้นเคอหลิ่งหลินตวัดมือให้สายบังเหียนนั้นพันรอบข้อมือแน่น ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่นางจะยึดเหนี่ยวไว้ โดยไม่สนใจว่ามันจะรัดจนข้อมือนางเป็นรอยช้ำ
ดวงตาที่เกือบจะปิดสนิทพร้อมสติที่กำลังจะหลุดลอย มองเห็นเงาร่างของนักพรตหญิง สายลมภูเขาพัดเส้นผมสีเงินยวงท่ามแสงจันทร์
“ทะ..ท่าน...ท่านป้า”
หญิงสาวไม่เข้าใจ เหตุใดท่านป้าจึงซัดฝ่ามือใส่นางจนกระอักลิ่มเลือดและไม่มีเวลาจะเอ่ยถามเมื่อนางเองก็รู้ตัวว่าบาดเจ็บครั้งนี้ไม่น้อยกว่าที่ต้าซื่อได้รับ
“เคอหลิ่งหลิน” น้ำเสียงเยียบเย็นดังอยู่เบื้องหลัง มองดูอาชาสง่างามพาร่างบาดเจ็บสาหัสวิ่งไปตามเส้นทางออกจากหุบเขาชิงซาน
“มันคือชะตากรรมที่เจ้าเลือก...และจากนี้ไปชีวิตเจ้าไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว”.