"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"

(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐ - - ๐๑ โดย ssin_sz @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย,โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน

รายละเอียด

"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"

ผู้แต่ง

ssin_sz

เรื่องย่อ

(พญา x หลิว)

꧁✵꧂

 

หลิวเป็นคนขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็น ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่จึงได้แต่กักขังตนเองอยู่ภายใต้ความอัปลักษณ์นั้นจนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงการเชื่อมั่นในตนเองนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

ความหวาดกลัวฝังรากลึกลงในจิตใจของเขามาเนิ่นนาน

เพียงแต่ในตอนนี้กลับมีมือของใครบางคนฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากความกลัวนั้น

"เธออาจจะคิดว่ารอยแผลเป็นนั้นน่ารังเกียจจนทนไม่ไหว แต่สำหรับฉันแล้ว เธอมีค่ามากกว่าคำดูถูกพวกนั้นเสียอีก"

"..."

"อย่าได้สนใจคำพูดของคนอื่นอีกเลยอาหลิว เธอจำคำพูดของฉันเอาไว้แค่คนเดียวก็พอแล้ว"

และคุณพญาก็คือคนนั้น คนที่ใจดีกับเขาเสมอมา

ขอบคุณที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมเองก็สัญญาว่าจะภักดีต่อคุณตลอดไปเช่นกัน

 

꧁✵꧂

 

เปิดเรื่อง : 02/10/2566

จบบริบูรณ์ : 29/01/2567

 

คำเตือน

นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน เหมาะกับผู้อ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป อาจมีเหตุการณ์ไม่เหมาะสมที่ตัวละครในเรื่องได้กระทำ มีการบรรยายถึงความเชื่อศาสนา โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

หากไม่ชอบสามารถกดออกได้เลยค่ะ รบกวนไม่คอมเมนท์บั่นทอนจิตใจนักเขียนนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

— Trigger Warning —

Attempted murder, Physical Abuse, Mental Abuse, Blood, Branding, Body Shaming, Corpse, Dirty Talk, Domestic Violence, Forced Marriage, Mutilation, Trafficking

— Twitter —

https://twitter.com/ssinszxx

— Page —

https://www.facebook.com/profile.php?id=61566029091647

สารบัญ

(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๑,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๒,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๓,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๔,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๕,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๖,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๗,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๘,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๙,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๐,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๑,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๒,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๓,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๔,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๕,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๖,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๗,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๘,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๙,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๐,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๑,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๒,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๓,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๔,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๕,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๖,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๗,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๘ (จบบริบูรณ์),(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- 📍E-Book มาแล้วค่ะ!!

เนื้อหา

- ๐๑

ภัตตาคารไห่ฟู่เป็นภัตตาคารเลื่องชื่อในย่านถนนราชวงศ์ รูปทรงตึกเป็นแบบอังกฤษหรูหราที่มีถึงสามชั้น ดูใหญ่โตโออ่ากว่าภัตตาคารอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลกันออกไป และด้วยฝีมือการออกแบบของหม่อมราชวงศ์ผู้หนึ่งจากอดีตสมาชิกสมาคมสถาปนิกสยาม ภัตตาคารไห่ฟู่จึงเป็นที่สะดุดตาแก่เหล่าไฮโซน้อยใหญ่มากมาย

เถ้าแก่กวง ผู้เป็นเจ้าของภัตตาคารคลี่ยิ้มหน้าตาแช่มชื่นอยู่ทุกคืนเมื่อเห็นลูกค้าต่างหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เพราะนอกจากการตกแต่งที่ประณีตแล้ว อาหารของที่นี่ก็ยังเลิศรส รวมไปถึงความบันเทิงจากนักร้องเสียงหวานปานน้ำผึ้งนับสิบคนบนเวทีอีกด้วย

“ไชเท้าตุ๋นกังป๋วย[1]โต๊ะสิบเอ็ดชั้นสอง!”

ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าภัตตาคารจะหรูหราด้วยบรรยากาศแสนสงบคลอเคล้าเสียงดนตรีบรรเลง แต่ในครัวใหญ่ด้านหลังกลับเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของเหล่าแม่ครัว และความวุ่นวายของพนักงานเสิร์ฟที่เดินกันให้ขวักไขว่

“อาหลิว ลื้อมายืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนี้ ไป ๆ รีบเก็บถุงเศษผักในครัวไปทิ้งได้แล้ว”

ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มคนหนึ่งสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกจับได้ว่ามายืนอู้อยู่มุมหนึ่งด้านหลังร้าน เขารีบวางจานข้าวที่เพิ่งกินไปได้เพียงเล็กน้อยลงอย่างลนลานจากนั้นจึงเร่งกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ

“จริง ๆ เลย มาแอบกินข้าวอู้งานแบบนี้อีกแล้ว” 

ยังไม่วายได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของหัวหน้าคนงานในร้านตามหลังมาจนชายหนุ่มคอหด

หลิว ยกถุงเศษอาหารและเศษผักที่เหลือทิ้งจากในครัวใหญ่ลงรถเข็นที่ล้อขึ้นสนิมก่อนจะค่อย ๆ ออกแรงดันมันอย่างทุลักทุเล พลันเสียงข้างในท้องก็ร้องประท้วงด้วยความหิวอย่างน่าอับอายแม้จะไม่มีใครได้ยินก็ตาม

ข้าวมื้อนี้เพิ่งจะเป็นมื้อแรกของวันได้ แม้จะเป็นเพียงข้าวที่แม่ครัวไม่ใช้เสิร์ฟลูกค้าเพราะเม็ดแข็งไม่น่ากินและผักบุ้งผัดกับน้ำมันหอยก้นจาน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่กุลีแบกหามอย่างเขาพอจะหาได้ในตอนนี้

หลายวันมานี้หลิวต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่เพื่อไปรับงานแบกหามที่ท่าเรือราชวงศ์ใกล้สำเพ็ง ทำจนถึงบ่ายคล้อยก็ต้องรีบมาเปลี่ยนกะที่ภัตตาคารแห่งนี้

งานช่วงเช้าเป็นงานที่นายจ้างจ่ายเงินทันที พอได้เงินมาก็ต้องเก็บเอาไว้ ซื้อได้แค่น้ำเปล่าสองสามขวดกินประทังชีวิตแล้วมาอาศัยข้าวเย็นที่ภัตตาคารที่เขาทำงานอยู่ทุกเย็น

เหตุผลที่ต้องเก็บออมเอาไว้เพราะหลายวันก่อนเขาถูกนายจ้างคนหนึ่งเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงิน จากที่เคยคำนวณไว้ว่าเดือนนี้คงจะได้เงินเก็บมาสักก้อน สุดท้ายโอกาสก็กลับหายวับไปกับตา ร้อนไปถึงเงินเย็นที่เก็บเอาไว้ต้องควักเอาออกมาใช้ก่อน

มือเล็กเปรอะเปื้อนหยิบถุงขยะถุงใหญ่ขึ้นมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีก่อนจะหย่อนมันลงถังขยะ จากนั้นจึงนั่งลงพักเหนื่อยที่ข้างกัน ใครหลายคนมักบอกว่าเขารูปร่างโปร่ง ผอมบาง ไม่บึกบึนและสูงชะลูดอย่างที่พวกกุลีแบกหามที่ควรจะเป็น แต่ถึงอย่างไรนายจ้างก็มักจะชมอยู่เสมอว่าเขามีแรงเยอะและขยันกว่าพวกกุลีคนอื่น ๆ หลายสิบเท่า นอกจากนั้นสีผิวยังออกสีน้ำผึ้งดูเรียบเนียน แม้จะโดนแดดเผาไปบ้างแต่กลับไม่ดำคล้ำอย่างคนพวกนั้น 

ร่างกายของเขาดูไม่ใกล้เคียงกับคำว่ากุลีแบกหามเลยสักนิด เว้นเสียแต่ว่าทุกคนได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เมื่อนั้นความคิดจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

นั่นเพราะรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ไล่จากขมับลงมาถึงข้างแก้มซ้ายนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ความจริงแล้วเขาก็เป็นแค่คนอัปลักษณ์คนหนึ่งที่ดิ้นรนจะมีชีวิตก็เท่านั้น

“อั๊วก็อยากให้ลื้อมาทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟนะอาหลิว แต่หน้าตาลื้อเป็นแบบนี้ อั๊วกลัวว่าลูกค้าจะหนีกันหมดน่ะซี”

และด้วยเหตุผลนี้ ทุกเย็นที่ร้านเปิด เถ้าแก่กวงจึงให้เขาทำงานอยู่ที่หลังร้านแทน ไม่ให้ช่วยยกของหนัก ๆ ก็ให้เอาขยะไปทิ้ง และอย่าได้เฉียดไปใกล้บริเวณด้านหน้าภัตตาคารให้ลูกค้าได้เห็นเป็นอันขาด

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลิวนึกเกลียดใบหน้าของตนเองมากขนาดนี้

“เฮ้อ”

หลิวถอนหายใจหนักแล้วยกมือปาดเหงื่อไคลที่ไหลตามกรอบใบหน้า เขานั่งพักได้เพียงชั่วครู่แล้วจึงรีบกลับไปทำงานต่อ อย่างน้อยถ้าเร่งทำให้เสร็จโดยเร็วก็จะได้มีเวลากินข้าวมากขึ้น

ถุงขยะถุงสุดท้ายถูกทิ้งลงในถังและปิดฝาเสร็จสรรพ หลิวพรูลมหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะหันไปล้างมือที่ก๊อกน้ำแถวนั้น เขาถูคราบดินโคลนที่ฝ่ามือสาก ๆ ของตนจนแดงเป็นจ้ำ

ยังไม่ทันได้เดินกลับไปหยิบจานข้าวที่ตนเองวางเอาไว้ ก็ต้องเอี้ยวตัวเข้าไปหลบในมุมมืดเมื่อมีลูกค้าสองคนจากในร้านเดินผ่านมาทางนี้พอดี

จะให้ลูกค้าเห็นหน้าแบบครั้งก่อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องถูกเถ้าแก่ตัดเงินอีกแน่ ๆ 

“หล่อนได้ยินเรื่องงานแต่งงานของคุณพญาเมื่อวานซืนหรือเปล่า ที่เจ้าสาวหนีไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานน่ะ”

แต่แล้วชื่อของใครบางคนในบทสนทนาของพวกหล่อนก็หยุดฝีเท้าของเขาไว้ได้ หลิวชะงักปลายเท้าแล้วจำใจเสียมารยาทฟังต่อ

“ฉันจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไร ก็ข่าวนี้ดังกระฉ่อนไปทั่ว คุณพญาเป็นถึงลูกชายคนเดียวของตระกูลหยางแห่งมังกรเยาวราช มีใครที่ไหนบ้างที่จะไม่สนใจงานแต่งงานที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้กัน”

คุณพญา ที่พวกหล่อนหมายถึงคือ พญา ลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวเซี่ยแห่งตระกูลหยาง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมจินหลง[2] ขึ้นมาในย่านเยาวราชแห่งนี้ อาจพูดไม่ได้เต็มปากนักว่าทางการเป็นคนดูแลพื้นที่ในเยาวราชทั้งหมด เพราะอย่างไรอำนาจของเหล่าตระกูลในสมาคมจินหลงที่มีอยู่เดิมก็ยากที่จะกำจัดให้หมดออกไป แต่ถึงอย่างนั้นชาวบ้านในละแวกนี้ก็ไม่เคยเดือดร้อนเลยสักนิดเดียว

เจ้าสัวเซี่ยรักพวกพ้อง และรักความเป็นธรรมมาแต่ไหนแต่ไร ชาวบ้านที่อยู่ในย่านนี้จึงล้วนเป็นครอบครัวเดียวกับตระกูลหยางทั้งสิ้น พวกเขาจึงไม่เคยถูกทอดทิ้ง และนั่นก็ยิ่งทำให้อำนาจของตระกูลหยางเป็นที่เลื่องลือจนคับฟ้า 

และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาพญาก็ทำให้กิจการของตระกูลรุ่งเรืองเฟื่องฟูไม่แพ้คนเป็นพ่อ อีกทั้งยังเก่งกาจและเป็นที่ยอมรับจากชาวบ้านมากมาย เจ้าสัวเซี่ยจึงไว้ใจบุตรชายของตนและวางมือเร็วกว่าที่ทุกคนคิด 

พญารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหยางและสมาคมจินหลงด้วยอายุที่ยังไม่ถึงสามสิบดี ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบห้าปีแล้ว นอกจากความสุขุมที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุ เสน่ห์เย้ายวนและความหล่อเหลาก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน และด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ คุณพญาแห่งตระกูลหยางจึงกลายเป็นที่หมายปองของใครหลายคน

“นั่นซี แต่ฉันว่าคนตระกูลหยางคงจะพิลึกพิลั่นกันน่าดู ถึงได้ให้คุณพญาของฉันไปแต่งงานกับผู้ชายเสียได้ น่ารังเกียจพวกต้วนซิ่ว[3]เสียจริง” 

“หล่อนอย่าเอาไปพูดที่ไหนเสียล่ะ คุณพ่อฉันบอกว่าคุณพญาโดนบังคับ เพราะเจ้าสัวเซี่ยน่ะเชื่อคำทำนายของซินแสที่ศาลเจ้าว่าผู้ชายคนนี้มีบุญมาเกิดและเสริมดวงให้กับผู้ที่ครอบครองได้ แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าสัวเซี่ยจะใช้วิธีบังคับให้ลูกชายตนเองแต่งงานแบบนี้”

พวกหล่อนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ หลิวหดตัวลีบแทบจะติดกับผนังสกปรกเมื่อพวกหล่อนเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่เขายืนมากกว่าเดิม

“ผู้ชายคนนั้น เอ ชื่ออะไรนะ อ่อ คุณเพ่ยอะไรนั่นก็คงจะรับไม่ได้ที่ตนเองจะต้องมาเป็นเจ้าสาวของผู้ชายคนอื่น ถึงได้หนีไปแบบนั้นล่ะสิท่า”

“ก็คงจะจริงดังหล่อนว่า เพราะคุณพญาก็ดูจะไม่เดือดร้อนกับการที่เจ้าสาวตนเองหายตัวไปสักเท่าไร ไม่แน่พวกคุณเธอคงจะตกลงกันไว้ก่อนแล้ว”

เสียงบทสนทนาของหญิงสาวทั้งสองห่างออกไปแล้ว หลิวจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วเดินกลับไปยังที่ประจำหลังร้านของตนอย่างเหม่อลอย

เจ้าสาวของคุณพญาหนีงานแต่งอย่างนั้นหรือ

จะว่าไปเขาก็เคยเห็นคุณเพ่ยมาที่ภัตตาคารไห่ฟู่กับครอบครัวของคุณพญาอยู่บ่อย ๆ แต่เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้

ร่างโปร่งกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่กุลีแบกหามอย่างเขาจะต้องสนใจ แต่เพราะพญาคือผู้มีพระคุณของเขา หลิวจึงไม่อาจปล่อยผ่านได้

แปดปีที่แล้ว หลิวเคยมีครอบครัว แม้จะมีแค่มารดาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็ก ๆ ไม่ต่างจากรูหนูแต่นั่นก็เป็นครอบครัวสำหรับเขาแล้ว

“แกมันเป็นตัวซวยของฉันจริง ๆ เลย”

นั่นเป็นประโยคที่แม่บอกกับเขาเสมอตั้งแต่จำความได้ มันไม่เกินจริงนัก เพราะหล่อนบอกว่าทันทีที่หล่อนท้อง พ่อของเขาก็จากไปอย่างไร้ความผิดชอบ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาเป็นตัวซวยของแม่ได้อย่างไร

หลิวไม่รู้จักว่าความอบอุ่นคืออะไร หลิวเป็นคนโง่ไม่ได้รู้หนังสืออย่างเด็กรุ่นเดียวกัน เขามักจะถูกแม่ทุบตีบ่อย ๆ โดยไร้สาเหตุ บางครั้งหล่อนก็นั่งร้องไห้และพูดคนเดียวจนเขาหวาดกลัว 

แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ ความอดทนจึงเป็นสิ่งเดียวที่หลิวทำมันได้ดีที่สุด

จนกระทั่งวันเกิดปีที่สิบห้า หลิวกลับมาที่บ้านพร้อมกับข้าวที่ได้มาจากหลวงตาที่วัด หมายมั่นว่าจะเอาไปให้มารดาด้วยใจเปี่ยมสุข 

หากแต่วันนั้นกลับกลายวันที่เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

อาการของแม่คงจะกำเริบ แม่คงจะไม่ได้ตั้งใจที่จะพุ่งตัวเข้ามาบีบคอของเขาแบบนี้

“แ…แค่ก แ…ม่ครับ”

ลมหายใจขาดห้วง เวลานั้นเขาดิ้นจนสุดแรงเกิดเมื่อเห็นว่ามืออีกข้างของมารดาถือเทียนที่จุดไฟเอาไว้ 

ก่อนที่หล่อนจะจ่อเปลวเพลิงนั้นลงมาบนใบหน้าของเขา

หลิวไม่เคยลืมเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของตนเองในวันนั้น ราวกับว่าเขากำลังตกนรกทั้งเป็น

“ฉันเกลียดหน้าของแก! ฉันเกลียดที่สุด! แกต้องซ่อนตัวเองเอาไว้!”

ผู้เป็นมารดาย้ำประโยคเดิมที่เคยเอ่ยมาตลอดระยะเวลาสิบห้าปี หล่อนไม่ลังเลที่จะเอ่ยคำว่าเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ร่างกาย หรือแม้กระทั่งปานแดงคล้ายรูปดอกไม้ที่สะโพกของเขาก็ตาม

ทุกอย่างที่เป็นหลิวคือสิ่งที่หล่อนเกลียด ยิ่งปานที่คล้ายกับดอกไม้นั่นก็ยิ่งเป็นตำหนิที่ทำให้หล่อนอยากจะซ่อนเขาเอาไว้เพราะสุดแสนจะอัปลักษณ์เกินทน

หล่อนกดแท่งเทียนลงมาเรื่อย ๆ เสียงหวีดร้องและเสียงร้องไห้ของเด็กหนุ่มยังคงดังก้อง หลิวรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายผลักมารดาออกไปจนหล่อนชนเข้ากับโต๊ะและล้มลง

แท่งเทียนกระเด็นหลุดมือไปก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกไหม้หนังสือพิมพ์และแผ่นไม้แถวนั้น

เด็กหนุ่มเจ็บปวดเหลือแสน ผิวหนังบนใบหน้ายับยุ่ยด้วยความร้อน แต่เมื่อเห็นเปลวไฟเริ่มลามจนเกือบจะไหม้บ้านทั้งหลังก็รุดวิ่งเข้าไปช่วยพยุงมารดาขึ้นมาจากพื้นอีกครั้ง

“ออกไป! อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!”

แต่ทว่ามารดากลับผลักไสเขาออกห่างทั้งที่หล่อนกำลังจะจมอยู่ในกองเพลิง

“หนีไปอาหลิว!”

หล่อนหัวเราะสลับกับร้องไห้ ตะโกนด่าทอสลับกับขอร้องให้เขาหนีไป หลิวถอยห่างจากรัศมีความร้อนของไฟที่กำลังแผดเผาบ้าน เด็กหนุ่มทรุดตัวลงที่พื้นอย่างหมดแรงก่อนจะเริ่มร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง

หลิวไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วผู้เป็นแม่รักลูกคนนี้บ้างหรือไม่ ทั้งที่หล่อนทำลายเขาด้วยมือของตนเองแต่กลับห่วงใยจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เด็กหนุ่มสับสนจนเกือบจะสติแตก เขาร้องตะโกนขอความช่วยเหลือแต่ทว่ารอบด้านกลับไร้ผู้คน 

สุดท้ายจึงได้แต่นั่งฟังเสียงกรีดร้องของมารดาที่ดังอยู่ในบ้านนานนับนาทีก่อนที่มันจะเงียบหายไปตลอดกาล

แม่ของเขาหมดลมหายใจไปแล้ว เช่นนั้นชีวิตที่เหลือนี้จะไปมีค่าอะไร

ขาเรียวลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงนัก ก่อนจะมุ่งตรงไปยังกองไฟเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย แต่แล้วร่างของเขาก็ลอยหวือเข้าไปในอ้อมกอดของใครคนหนึ่งเสียก่อน

“อยากตายหรือไง!”

หลิวไม่ได้ตอบ ทั้งยังหมดแรงขัดขืน เพราะความจริงที่ว่าเขาอยากตายไปให้พ้น ๆ จุกอยู่ที่อกจนไม่สามารถพูดออกมาได้ ดวงตาใสซื่อที่เปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำตาเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายร่างสูงที่ช่วยเขาไว้

และในเสี้ยววินาทีนั้น หัวใจของเด็กหนุ่มก็สลักตรึงความสมบูรณ์แบบของผู้มีพระคุณตรงหน้านับตั้งแต่นั้นมา

ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าที่มีแผลเหวอะหวะของเขาขึ้นมาสบสายตากัน 

“ชีวิตเธอมีค่าเกินกว่าจะตายไปแบบนี้ อย่าคิดสั้นแบบนั้นเลย”

เสียงของชายหนุ่มอ่อนลงอย่างผู้ใหญ่ใจดี เขาอุ้มเด็กหนุ่มที่ร้องไห้จนตัวโยนขึ้นมาแนบอกก่อนจะหันหลังพาอีกคนเดินออกมาจากหน้าบ้านหลังนั้น

หลังจากวันนั้นมา หลิวก็ได้รู้ว่าผู้พระคุณของตนเองเป็นถึงลูกชายของผู้นำสมาคมจินหลงที่บังเอิญผ่านมาช่วยเขา ทั้งชื่อและภูมิหลังของคนผู้นั้นทำเอาเด็กหนุ่มหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดคุยด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นพญาก็ยังช่วยเหลือเด็กจน ๆ อย่างเขาให้มีชีวิตรอด ชายผู้นั้นจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับเด็กขี้กลัวอย่างเขาก่อน

“อยากให้ฉันไปส่งที่ไหนไหม” พญาเอ่ยถามขณะที่เด็กชายนั่งตัวเกร็งก้มหน้าอยู่บนรถหรู

“ผ…ผมไม่มีบ้าน”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะหาบ้านให้เธออยู่เอง”

“แ…แล้วศพของแม่ผม…”

“ฉันจะจัดการให้ ฉันจะทำหลุมศพของแม่เธอไว้ใกล้ ๆ กับที่เธออยู่ก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดเอ่ยบอกเสียงเรียบพร้อมกับคำขอบคุณแผ่วเบาที่ออกจากปากของหลิว พญาสั่งให้คนขับออกรถ นานนับหลายชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย และเมื่อตะวันตกดิน หลิวก็ได้รู้ว่าบ้านหลังที่สองของเขาคือที่ใด

“ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในชลบุรี ซินแสของที่นี่รับลูกศิษย์ไว้ช่วยงานที่ศาลเจ้าอยู่ตลอด ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนเธอ”

หลิวตอบรับคำ มือน้อย ๆ กำชายเสื้อของตนเองไว้แน่น ขอบตาก็ร้อนผ่าวคล้ายกับจะร้องไห้ออกมาเมื่อตระหนักได้ว่าหลังจากนี้ไปก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว

ทันใดนั้นฝ่ามือใหญ่ของพญาก็สัมผัสที่กลุ่มผมของเขาแผ่วเบา

“ฉันช่วยเธอมาแล้ว จงมีชีวิตอยู่ต่อไปนะอาหลิว”

ความทรงจำเกี่ยวกับคุณพญามีเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากวันนั้น คุณพญาก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย เวลาล่วงผ่านเลยไปจนกระทั่งหลิวอายุได้ยี่สิบสาม เขาจึงกราบลาซินแสและออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเอง

หลิวตั้งใจแล้วว่าจะกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ย่านเยาวราชเหมือนครั้งยังเด็ก เขาเปลี่ยนงานอยู่บ่อยครั้งเพราะถูกเอารัดอาเปรียบ แม้จะพอรู้หนังสือเพราะซินแสคอยสอนให้อยู่บ้างแต่กระนั้นก็ไม่มีวุฒิการศึกษาไว้สมัครงานอยู่ดี สุดท้ายแล้วก็ทำงานแบกหามเรื่อยมา จนในที่สุดก็ได้งานที่ภัตตาคารไห่ฟู่แห่งนี้

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีกเหตุผลสำคัญที่หลิวกลับมาที่นี่เป็นเพราะผู้มีพระคุณอย่างคุณพญา เขาอยากจะตอบแทนบุญคุณครั้งนั้นก่อนตาย อย่างน้อยก็ขอให้คนไร้ค่าเช่นเขาได้ทำเพื่อคุณพญาบ้างก็พอแล้ว

เพียงแต่คุณพญาคงจะลืมไปแล้วว่าเคยช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งเอาไว้เมื่อแปดปีก่อน

“อาหลิว! ลื้อมายืนเหม่ออะไรตรงนี้อีกแล้ว! ไอหยา เดี๋ยวอั๊วก็บอกให้เถ้าแก่หักเงินลื้อเสียหรอก ทำตัวให้ประโยชน์หน่อยซี!”

หลิวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงตวาดพร้อมกับฝ่ามือที่ตบเข้าที่หัวของเขาอย่างจัง เด็กหนุ่มรีบก้มหัวขอโทษขอโพยหัวหน้าคนงานยกใหญ่แล้วรีบจ้ำอ้าวไปเอารถเข็นมาในทันที

เมื่อพ้นสายตาของหัวหน้าคนงานแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างอดกลั้น

คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาด แม้ค่าแรงจะน้อยนิด แต่มันก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาจะมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้

“ฉันช่วยเธอมาแล้ว จงมีชีวิตอยู่ต่อไปนะอาหลิว”

นั่นเพราะหลิวจะไม่มีทางทำให้คุณพญาต้องเสียแรงที่ช่วยเขาไว้อย่างแน่นอน

 

 

  

 

 ไชเท้าตุ๋นกังป๋วย[1] กังป๋วย คือ  หอยเชลล์อบแห้ง เมนูนี้จะนำกังป๋วยที่แช่น้ำจนนุ่มและปรุงแล้วไปสอดไส้ในหัวไชเท้าที่คว้านไส้ออกจนหมด นำไปนึ่งและเสิร์ฟพร้อมผัก แล้วจึงราดด้วยน้ำแดงรสชาติเข้มข้น เป็นเมนูที่ใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก

จินหลง[2]  แปลว่า มังกรทอง

ต้วนซิ่ว[3] แปลว่า ชายรักชาย