"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"
ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย,โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"
(พญา x หลิว)
꧁✵꧂
หลิวเป็นคนขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็น ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่จึงได้แต่กักขังตนเองอยู่ภายใต้ความอัปลักษณ์นั้นจนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงการเชื่อมั่นในตนเองนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ความหวาดกลัวฝังรากลึกลงในจิตใจของเขามาเนิ่นนาน
เพียงแต่ในตอนนี้กลับมีมือของใครบางคนฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากความกลัวนั้น
"เธออาจจะคิดว่ารอยแผลเป็นนั้นน่ารังเกียจจนทนไม่ไหว แต่สำหรับฉันแล้ว เธอมีค่ามากกว่าคำดูถูกพวกนั้นเสียอีก"
"..."
"อย่าได้สนใจคำพูดของคนอื่นอีกเลยอาหลิว เธอจำคำพูดของฉันเอาไว้แค่คนเดียวก็พอแล้ว"
และคุณพญาก็คือคนนั้น คนที่ใจดีกับเขาเสมอมา
ขอบคุณที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมเองก็สัญญาว่าจะภักดีต่อคุณตลอดไปเช่นกัน
꧁✵꧂
เปิดเรื่อง : 02/10/2566
จบบริบูรณ์ : 29/01/2567
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน เหมาะกับผู้อ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป อาจมีเหตุการณ์ไม่เหมาะสมที่ตัวละครในเรื่องได้กระทำ มีการบรรยายถึงความเชื่อศาสนา โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากไม่ชอบสามารถกดออกได้เลยค่ะ รบกวนไม่คอมเมนท์บั่นทอนจิตใจนักเขียนนะคะ ขอบคุณค่ะ
— Trigger Warning —
Attempted murder, Physical Abuse, Mental Abuse, Blood, Branding, Body Shaming, Corpse, Dirty Talk, Domestic Violence, Forced Marriage, Mutilation, Trafficking
— Twitter —
— Page —
วันนี้ตรงกับวันที่ภัตตาคารไห่ฟู่ปิดให้บริการ เป็นโชคดีที่วันนี้หลิวรู้สึกไม่ค่อยดีนักจึงรับจ้างแบกกระสอบผ้าที่ท่าเรือเพียงช่วงเช้าอย่างเดียวและไม่ต้องรีบร้อนมาเปลี่ยนกะที่ภัตตาคารในช่วงบ่าย
หลิวนั่งพักเหนื่อยให้เหงื่อแห้งเมื่อขนกระสอบสุดท้ายเสร็จ ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินไปต่อแถวเพื่อรับเงินหลังจากที่นายจ้างตะโกนเรียก
“หลบไปไอ้ขี้เหร่”
ร่างโปร่งซวนเซเล็กน้อยเมื่อถูกเพื่อนร่วมงานที่ตัวสูงกำยำกว่าชนเข้า คนพวกนั้นหัวเราะเยาะและเดินแซงคิวกันซึ่ง ๆ หน้า หลิวกลอกตาอย่างนึกรำคาญใจก่อนจะถอยหลังให้คนพวกนั้นไปก่อนแต่โดยดี
เขาโดนดูถูกเสียจนชินแล้ว เพราะถึงจะไม่พอใจแค่ไหนแต่สุดท้ายเขาก็สู้แรงของพวกมันไม่ได้อยู่ดี
“นี่เงินของลื้อ อ่อ อั๊วให้พิเศษด้วยนะ เห็นว่าลื้อไปช่วยอากิ้มแกยกถุงถ่านเมื่อวานนี้”
“ขอบคุณครับเถ้าแก่”
หลิวคลี่ยิ้มกว้าง ยกมือไหว้เถ้าแก่ตรงหน้าหลายครั้งเสียจนเถ้าแก่อดเอ็นดูเด็กหนุ่มไม่ได้ แม้ใบหน้าจะมีรอยแผลเป็นแต่กระนั้นเครื่องหน้าทุกส่วนก็รับกันสมบูรณ์แบบ ถ้าหากทำเนื้อตัวให้สะอาดสะอ้าน เด็กหนุ่มตรงหน้าก็คงจะน่ามองมากกว่านี้
“เอ้อ อั๊วได้ยินว่าวันนี้ศาลเจ้าเลี่ยงหวงจัดงานทิ้งกระจาดประจำปี [1] แจกข้าวสารหลายกระสอบเลยนะ ลื้อลองไปดูสิอาหลิว”
เถ้าแก่เอ่ยบอกอย่างใจดี อาหลิวยกมือไหว้อีกครั้ง อย่างน้อยนายจ้างก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด ร่างโปร่งบอกลาเถ้าแก่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานับเงินที่เพิ่งได้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้จะมีเพียงอยู่น้อยนิดก็ตาม หลิวแบ่งออกมาส่วนหนึ่ง คิดเอาไว้ว่าจะซื้อน้ำแข็งไสสักถ้วยเป็นรางวัลให้กับตนเอง ก่อนจะเก็บส่วนที่เหลือเข้ากระเป๋าอย่างเปี่ยมสุข
ร่างโปร่งเดินทอดน่องไปอย่างไม่เร่งรีบ พลางคิดว่าเย็นนี้จะไปเอาข้าวสารแจกตามที่เถ้าแก่บอก แม้ว่าศาลเจ้าเลี่ยงหวงจะอยู่ไกลจากท่าเรือราชวงศ์พอสมควร แต่เวลานี้ยังเป็นเวลาบ่ายคล้อย หากเดินไปเรื่อย ๆ ก็คงจะถึงที่นั่นช่วงเย็นพอดี
ตะวันลอยเด่นเหนือหัวค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมาใกล้ขอบฟ้า พร้อมกับฝูงชนมากมายที่มารอรับถุงข้าวสารที่ลานกว้างหน้าศาลเจ้า หลิวมาทันเวลาอย่างที่คิดเอาไว้ แต่ทว่ากว่าจะเบียดเสียดกับกลุ่มคนและเข้าไปรับของแจกได้ก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร เงยหน้าขึ้นมาอีกทีดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มทีแล้ว
หลิวกอดถุงข้าวสารของตนเองไว้แน่นจากนั้นจึงเดินเลี่ยงผู้คนออกมาด้วยความยากลำบาก ก่อนจะหันไปเห็นว่าที่สักการะด้านในศาลเจ้าไม่มีใครอยู่เลยสักคน
ไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้ว เข้าไปไหว้เสียหน่อยก็คงจะดี
คิดได้ดังนั้นร่างโปร่งจึงก้าวเข้าไปด้านใน จุดธูปและเทียนอธิษฐานต่อหน้ารูปปั้นของเทพเจ้าทั้งหลายตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อกลับบ้านเสียที
แต่ยังไม่ทันที่จะเดินออกไป ในกรอบสายตากลับเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านบานประตูเข้ามาเสียก่อน
“คุณพญา…”
เสมือนดั่งเวลาหยุดหมุน สายลมก็คล้ายจะหยุดนิ่ง ลมหายใจของร่างโปร่งขาดห้วงเมื่อได้เห็นชายผู้มีพระคุณโดยบังเอิญ
คุณพญาแตกต่างไปจากครั้งแรกที่ได้เจอมากเหลือเกิน โครงหน้าสมบูรณ์แบบเสียทุกส่วน ดวงตาคมกริบกับนัยน์ตาสีทมิฬราวกับจะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ อีกทั้งสุ้มเสียงทุ้มเข้มก็พาลทำให้คนแอบฟังใจกระตุก
ความเยือกเย็นและความสุขุมแผ่กำจายอยู่รอบกายดั่งราชสีห์ คุณพญาทั้งน่าเกรงขามและดูภูมิฐานในเวลาเดียวกัน
หลิวก้าวถอยหลังหลบอยู่ที่มุมหนึ่งโดยที่ไม่อาจละสายตาไปจากพญาได้ เขาเผลอกำถุงข้าวสารจนแน่นเมื่อพญาเดินไปนั่งตรงที่ที่เขาเพิ่งลุกขึ้นมาก่อนหน้านี้
คุณพญาจะจำเด็กหน้าตาขี้เหร่อย่างเขาได้ไหมนะ
ไม่สิ คงจะจำไม่ได้หรอก หน้าตาอัปลักษณ์แบบเขามีอะไรให้ต้องจดจำกัน คุณพญาอยู่สูงเทียมฟ้าเช่นนั้นคงจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน
“ลื้อมาแล้วเหรออาเหวิน” ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในก่อนจะเอ่ยเรียกพญาไว้
เหวิน เป็นอีกชื่อของคุณพญาอย่างนั้นหรือ
“ขอโทษที่ทำให้รอนานนะครับซินแส” ร่างสูงตอบแล้วโค้งตัวให้กับชายชราตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไร ๆ อั๊วต้องขอบใจลื้อเสียอีกที่สละเวลามาแล้วก็ส่งคนมาช่วยงานเทศกาลอีก” ซินแสจื้อหัวเราะเล็กน้อยอย่างคนแก่อารมณ์ดี “ไป ๆ ไปนั่งคุยข้างในดีกว่า”
พลั่ก!
“โอ๊ย!”
ในขณะที่หลิวกำลังทอดมองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นั้น โดยไม่ทันได้รู้ตัว ใครบางคนก็โผล่มาจากด้านหลังและยึดไหล่เขาไว้แน่น ก่อนที่หลิวจะตระหนักได้ว่าเป็นหนึ่งในคนคุ้มกันของคุณพญาที่เดินเข้ามาเมื่อครู่นี้
“ลื้อเป็นใคร! มายืนแอบฟังอะไรตรงนี้!”
“ผม…คือผม…”
หลิวสะดุ้งตัวโยน เผลอปล่อยถุงข้าวสารหลุดมือ ไหล่บางถูกชายฉกรรจ์ตรงหน้าบีบแรงขึ้นจนต้องนิ่วหน้า น้ำเสียงใสอึกอักด้วยไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไร
พลันในเสี้ยววินาทีที่เงยหน้าขึ้นมานั้น ดวงตาเรียวสั่นระริกก็สบเข้ากับดวงตาคมกริบของคุณพญาพอดี
เหมือนกับถูกดึงดูดเข้าไปในราตรีมืดมิดของนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้น ร่างกายของหลิวแข็งทื่อราวกับตกอยู่ในภวังค์
ดวงตาคู่นั้นช่างน่าค้นหาแต่ทว่ามันก็น่าหวาดกลัวเช่นเดียวกัน
“ปล่อยเขา”
“แต่คุณพญาครับ…”
“ปล่อยเขาไป”
ลูกน้องคนสนิทรับคำเจ้านายแล้วจึงปล่อยมือออกจากไหล่เล็ก แต่ไม่วายที่จะหันไปส่งสายตาดุดันให้อีกครั้ง หลิวรีบก้มหน้าหลบ คว้าเอาถุงข้าวสารที่พื้นขึ้นมาแนบอกด้วยความรวดเร็ว
“แค่ชาวบ้านที่มารับของแจก อย่ามากความ”
คำสั่งของพญาถือเป็นประกาศิต ร่างสูงเลื่อนสายตามาทางเขาเพียงครู่เดียวราวกับมองผ่านไป ก่อนจะเดินตามหลังซินแสโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
หลิวรุดวิ่งออกมาจากศาลเจ้าด้วยใจที่เต้นระรัว ตลอดเวลาแปดปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยพบหน้าผู้มีพระคุณอย่างคุณพญาเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันนี้ได้พบกันแต่กลับไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าพึงพอใจเลยสักนิด
เขาทั้งขี้เหร่ ไม่น่ามอง เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน อย่างไรแล้วก็ไม่อาจสู้หน้าผู้มีพระคุณที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างได้
หลิวไม่อยากให้คุณพญาต้องมาเห็นสภาพน่ารังเกียจเช่นนี้เลย
ถุงข้าวสารที่แบกมาด้วยถูกวางส่ง ๆ ไว้ที่มุมหนึ่งภายในบ้าน หากแต่จะเรียกว่าบ้านก็คงไม่ถูกนักเพราะมันแคบแสนแคบไม่ต่างจากรูหนูสักเท่าไร
หลิวจุดตะเกียงเพื่อเพิ่มความสว่างในค่ำคืน ถึงแม้ว่าประเทศไทยในตอนนี้จะมีไฟฟ้าใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่คนจน ๆ อย่างเขาก็ไม่อาจเอื้อมถึงเพราะราคาที่ต้องจ่ายต่อเดือนมากเกินกำลังอยู่ดี
หลิวนั่งลงบนฟูกเก่า ๆ แล้วซบใบหน้าลงไปกับหัวเข่าตนเอง ความเงียบงันที่โอบล้อมรอบกายเป็นสิ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด แต่ครั้งนี้มันกลับทำให้หัวใจรู้สึกเหงามากกว่าที่ผ่านมา
กระจกบานเก่าที่ขุ่นมัวจนแทบมองเห็นไม่ชัดเจนสะท้อนภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มและรอยแผลเป็นที่ข้างแก้มซ้าย แล้วไหนจะปานแดงคล้ายดอกไม้ที่สะโพกอีก ทั้งหมดที่อยู่บนตัวเขาดูแล้วช่างน่ารังเกียจไม่ต่างจากเชื้อโรคเลยสักนิดเดียว
“เกลียดตัวเองจัง”
น้ำเสียงของหลิวอู้อี้และสั่นเครือ เขากอดตัวเองในความเงียบอยู่เช่นนั้น แม้ใจจะเกลียดชังร่างกายนี้เหลือแสน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนโชคชะตาได้ดังใจนึก
คงเป็นเวรกรรมที่ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น ในตอนนี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน ชีวิตไร้ค่าเช่นนี้หากหายใจต่อไปก็คงจะเปลืองลมฟ้าเสียเปล่า
แต่อย่างน้อยได้มีชีวิตรอดมาแล้วครั้งหนึ่งก็ถือว่าได้รับโอกาสมากพอแล้ว หากกัดฟันสู้ต่ออีกสักอึดใจก็คงจะไม่เป็นไรนัก
หลิวไม่อยากผิดหวังในตนเองอีกแล้ว และเขาก็ไม่อยากทำให้ผู้มีพระคุณที่คงจะลืมเขาไปแล้วผิดหวังด้วยเช่นกัน
*
รถยนต์หรูยี่ห้อฮัมเบอร์ ฮอร์ควิ่งอวดโฉมผ่านผู้คนบนถนนคอนกรีตมาจนถึงประตูรั้วเหล็กบานใหญ่ของบ้านตระกูลหยาง พาหนะสี่ล้อเคลื่อนตัวเข้าไปจอดด้านในเมื่อประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างสูงสง่าของผู้นำตระกูลลงมาจากรถ
พญาส่งเสื้อสูทที่เพิ่งถอดออกให้แม่บ้านที่วิ่งเข้ามารับไป เหล่าคนงานภายในบ้านหันมาค้อมตัวและเอ่ยทักทายทันทีที่พญาเดินผ่าน ร่างสูงพยักหน้าให้เล็กน้อยพลางปลดกระดุมเสื้อที่ข้อมือไปด้วย
“ส่งคนไปดูแลความเรียบร้อยที่ศาลเจ้าเพิ่มด้วย”
“ครับคุณพญา” เตชิน เลขาคนสนิทที่ทำงานกับพญามาหลายสิบปีแล้วพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทำตามคำสั่ง
“ตามหาอาเพ่ยเจอหรือยัง”
หากแต่ยังไม่ทันที่พญาจะได้ขึ้นไปพักบนห้องนอน เสียงของบิดาที่ไม่รู้ว่านั่งอยู่ที่โซฟากลางบ้านตั้งแต่เมื่อไรก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
พญาหยุดฝีเท้าของตนเองไว้ที่บันไดขั้นแรก เขาลอบถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปหาบิดาของตน
“ป๊ามาที่บ้านผมตั้งแต่เมื่อไรครับ”
พญาถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ถึงแม้ว่าเขาและบิดาจะอยู่ในรั้วบ้านตระกูลหยางเหมือนกัน แต่วลีที่บอกว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ พญาจึงแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการปลูกเรือนอีกหลังไม่ไกลจากเรือนหลัก และตั้งชื่อว่า ‘เรือนพญา’ ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่แทน
แน่นอนว่าแรก ๆ เจ้าสัวเซี่ยก็ไม่พอใจเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างไรพญาก็เอาความสบายใจของตนเป็นที่ตั้งอยู่ดี และหลังจากที่เขาทำผลงานให้บิดาพอใจจนขึ้นเป็นผู้นำตระกูลและสมาคมจินหลงได้ เจ้าสัวเซี่ยก็ลืมความโกรธเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น
จนกระทั่งวันนี้…เรื่องงานแต่งงานของเขากับเพ่ยที่เพิ่งจะล่มไปเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เจ้าสัวเซี่ยบุกมาเหยียบถึงเรือนพญาได้
“อย่ามาเปลี่ยนนะเรื่องอาเหวิน ลื้อไปทำอะไรให้อาเพ่ยไม่พอใจใช่ไหม อีถึงได้หนีลื้อไปแบบนั้น!”
“ผมกับเพ่ยไม่ได้รักกันครับป๊า”
“แต่ซินแสอีก็บอกแล้วว่าดวงของอาเพ่ยเหมาะสมกับลื้อที่สุด! ลื้อก็ยอม ๆ แต่งไปซี!”
ร่างสูงพ่นลมหายใจยืดยาวด้วยความอดกลั้น เขาเพิ่งจะกลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ แต่ก็ต้องมาเจอปัญหาคาราคาซังตลอดหลายวันที่ผ่านมา มือหนายกขึ้นมานวดหว่างคิ้วตนเองเบา ๆ
“เอาเป็นว่าผมจะตามหาเพ่ยให้เจอ ป๊าไม่ต้องห่วง”
“อย่าให้อั๊วรู้ว่าลื้อรวมหัวกับอาเพ่ยล่มงานแต่งงานครั้งนี้ อั๊วไม่ปล่อยไว้แน่”
เจ้าสัวเซี่ยลุกขึ้นจากโซฟาแล้วมาเดินมาหยุดตรงหน้าลูกชายของตน ใบหน้าของชายชรายังเต็มไปด้วยความสุขุมและเยือกเย็น แต่ถึงอย่างนั้นพญาก็รู้วิธีรับมือกับคนแก่อย่างเจ้าสัวเซี่ยได้ดีที่สุดเหมือนกัน
“ลื้อเก่งทุกอย่างอาเหวิน แต่ลื้อยังขาดคู่ครองเสริมบารมี ถ้าตระกูลอื่นมันได้ตัวอาเพ่ยไป อั๊วคิดบัญชีกับลื้อแน่”
“แล้วป๊าคิดว่าถ้าผมได้แต่งงานกับเพ่ยจริง ๆ ตระกูลอื่นจะยินดีอย่างที่ปากว่าหรือไง” พญามุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้น “มีตระกูลไหนบ้างที่ยกย่องเมียผู้ชายให้ขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้”
“อั๊วก็ไม่ได้ให้ลื้อยกย่องอาเพ่ยขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งเสียหน่อย ลื้อจะมีเมียผู้หญิงอีกสักกี่คนก็ได้อั๊วไม่ว่า แต่ลื้อต้องพลิกแผ่นดินหาตัวเสริมดวงชะตาในคำทำนายให้เจอแล้วแต่งงานกับมันซะ!”
“ผมพยายามตามหาอยู่ ป๊าก็อยู่เฉย ๆ แล้วเลิกคิดอะไรที่เห็นแก่ตัวแบบนี้สักที”
ร่างสูงยกมือลูบใบหน้าของตนระงับโทสะ หากแต่ดวงตาคมกริบมืดครึ้มลงไปอย่างเห็นได้ชัด พญาเบื่อหน่ายเต็มทีแล้วกับความคิดที่เห็นแก่ตัวของบิดา เขาหันหลังเดินขึ้นชั้นสองไปและไม่อยู่รอฟังคำของเจ้าสัวเซี่ยอีก
บานประตูห้องนอนถูกปิดลง มือหนาเอื้อมไปเปิดไฟก่อนจะตรงไปนั่งที่โต๊ะทำงานภายในห้อง พญาเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้อย่างอ่อนล้า เขาหลับตาลงพักสายตาอยู่ครู่หนึ่ง
“น่ารำคาญจริง ๆ”
เสียงทุ้มเอ่ยกับตนเอง น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยโทสะหลายส่วน พญาทั้งรำคาญและเกลียดการถูกบังคับ โดยเฉพาะเรื่องคำทำนายที่ขีดเส้นทางชีวิตของเขาเอาไว้
เพ่ยคือคนที่อยู่ในคำทำนายของซินแสจื้อ โดยซินแสจื้อเป็นซินแสที่สมาคมจินหลงทุกตระกูลเคารพนับถือมาช้านาน ซินแสจื้อไม่ใช่ผู้ที่จะทำนายดวงชะตาให้ใครไปเรื่อย คำทำนายในแต่ละครั้งมักห่างกันราวสิบปีได้ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นจริง
และคำทำนายครั้งล่าสุดคือเมื่อสิบปีที่แล้ว ณ ศาลเจ้าเลี่ยงหวง วันครบรอบสามสิบปีสมาคมจินหลงที่มีสมาชิกของทุกตระกูลอยู่กันพร้อมหน้า
คำทำนายนั้นได้ความว่า
‘หญิงหรือชายใดที่มีปานแดงคล้ายรูปดอกไม้บานสะพรั่งอยู่บนเนื้อผิว คนผู้นั้นถือเป็นผู้มีบุญมาเกิด และสร้างเสริมบารมีให้กับคู่ครองจวบจนชั่วชีวิต’
หลังจากคำทำนายถูกประกาศออกไปต่อหน้าผู้นำทุกตระกูล ไม่กี่วันให้หลังความวุ่นวายก็เกิดขึ้น แต่ละตระกูลพากันพลิกแผ่นดินตามหาคนที่มีลักษณะเฉพาะดังกล่าว
จนกระทั่งผ่านไปเกือบปี เจ้าสัวเซี่ยแห่งตระกูลหยางก็พบว่ามีเด็กชายอายุประมาณสิบห้าปีคนหนึ่งจากครอบครัวเศรษฐีใหม่เมืองเหนือที่มีปานแดงคล้ายดอกไม้ที่ต้นแขนขวา และเด็กคนนั้นก็มีชื่อว่า เพ่ย
เจ้าสัวเซี่ยเห็นแก่คำทำนายจนยอมกลืนน้ำลายที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าเกลียดพวกต้วนซิ่ว จากนั้นจึงรีบยื่นข้อเสนอให้กับบิดามารดาของเพ่ยก่อนที่ตระกูลอื่นจะหาตัวเจอว่า เมื่อใดที่เพ่ยบรรลุนิติภาวะแล้ว ตระกูลหยางจะมาสู่ขอเพ่ยให้กับพญาด้วยสินสอดตามที่พ่อและแม่ของเพ่ยต้องการทันที
แต่ถึงชีวิตเขาจะถูกขีดไว้เช่นนั้น พญาก็ไม่ได้ยินยอมที่จะถูกบิดาบังคับไปเสียทั้งหมด เขายืดเวลาออกไปได้เกือบสามปี ก่อนที่งานแต่งงานจะเกิดขึ้นและล่มไปในวันเดียวกัน
พญาไม่เคยเห็นว่าปานแดงนั้นเป็นอย่างไร และงดงามดังที่ซินแสได้ทำนายไว้หรือไม่ แม้จะไม่ได้รังเกียจว่าเพ่ยเป็นผู้ชาย แต่เมื่อไม่ได้รัก การแต่งงานครั้งนี้ก็เป็นเพียงโซ่ตรวนที่ผูกมัดเขาไว้เท่านั้น
โชคดีที่เพ่ยเองก็ไม่ได้รักเขาเช่นกัน ถึงได้ยอมหนีไปจากงานแต่งงานแบบนั้น
โชคดีจริง ๆ ที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปมากกว่านี้
พญานวดขมับตนเองอยู่หลายครั้ง สะบัดหัวไล่ภาพที่เพ่ยสวมชุดแต่งงานสีแดงออกไปจากความคิด ก่อนที่ร่างสูงจะนึกไปถึงงานเทศกาลในวันนี้แทน
สมาคมจินหลงเป็นเจ้าภาพจัดงานในครั้งนี้ อีกทั้งยังบริจาคเงินทำบุญแก่ศาลเจ้ารวมถึงซื้อข้าวของแจกชาวบ้านอีกมากมาย ดังนั้นเขาจึงต้องไปควบคุมดูแลความเรียบร้อยและพูดคุยกับซินแสพอเป็นพิธี
แต่จู่ ๆ ใบหน้ามีตำหนิของใครคนหนึ่งที่ได้พบที่นั่นกลับปรากฏขึ้นในความคิดกะทันหัน
ดวงหน้านั้นแสนจะตื่นตระหนก แววตาก็เจือด้วยความขลาดกลัวขณะที่แอบมองเขา ก่อนที่จะวิ่งหายไปทันทีที่ได้สบตากัน
หวังว่าข้าวสารถุงแค่นั้นคงจะพอกิน
เพราะถึงแม้จะเห็นเพียงแค่ครู่เดียว แต่ใบหน้าที่มีแผลเป็นขนาดใหญ่กลับเป็นที่น่าจดจำยิ่งนัก
ร่างสูงพ่นลมหายใจหนักออกมาอีกครั้ง เขาหยัดตัวขึ้นมาจากพนักพิงแล้วเรียกสติตนเอง จากนั้นตั้งหน้าตั้งตาตรวจเอกสารที่วางตรงหน้า ก่อนที่ในเสี้ยววินาทีถัดมา ความคิดรกสมองทั้งหมดก็ได้หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ทันที
ประเพณีทิ้งกระจาดประจำปี [1] เป็นประเพณีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่ล่วงลับไปแล้วทั้งที่เป็นญาติและไม่เป็นญาติ พร้อมกับทำทานให้แก่ผู้ยากไร้