"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"

(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐ - - ๐๓ โดย ssin_sz @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย,โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน

รายละเอียด

"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"

ผู้แต่ง

ssin_sz

เรื่องย่อ

(พญา x หลิว)

꧁✵꧂

 

หลิวเป็นคนขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็น ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่จึงได้แต่กักขังตนเองอยู่ภายใต้ความอัปลักษณ์นั้นจนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงการเชื่อมั่นในตนเองนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

ความหวาดกลัวฝังรากลึกลงในจิตใจของเขามาเนิ่นนาน

เพียงแต่ในตอนนี้กลับมีมือของใครบางคนฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากความกลัวนั้น

"เธออาจจะคิดว่ารอยแผลเป็นนั้นน่ารังเกียจจนทนไม่ไหว แต่สำหรับฉันแล้ว เธอมีค่ามากกว่าคำดูถูกพวกนั้นเสียอีก"

"..."

"อย่าได้สนใจคำพูดของคนอื่นอีกเลยอาหลิว เธอจำคำพูดของฉันเอาไว้แค่คนเดียวก็พอแล้ว"

และคุณพญาก็คือคนนั้น คนที่ใจดีกับเขาเสมอมา

ขอบคุณที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมเองก็สัญญาว่าจะภักดีต่อคุณตลอดไปเช่นกัน

 

꧁✵꧂

 

เปิดเรื่อง : 02/10/2566

จบบริบูรณ์ : 29/01/2567

 

คำเตือน

นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน เหมาะกับผู้อ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป อาจมีเหตุการณ์ไม่เหมาะสมที่ตัวละครในเรื่องได้กระทำ มีการบรรยายถึงความเชื่อศาสนา โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

หากไม่ชอบสามารถกดออกได้เลยค่ะ รบกวนไม่คอมเมนท์บั่นทอนจิตใจนักเขียนนะคะ ขอบคุณค่ะ

 

— Trigger Warning —

Attempted murder, Physical Abuse, Mental Abuse, Blood, Branding, Body Shaming, Corpse, Dirty Talk, Domestic Violence, Forced Marriage, Mutilation, Trafficking

— Twitter —

https://twitter.com/ssinszxx

— Page —

https://www.facebook.com/profile.php?id=61566029091647

สารบัญ

(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๑,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๒,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๓,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๔,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๕,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๖,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๗,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๘,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๐๙,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๐,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๑,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๒,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๓,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๔,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๕,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๖,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๗,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๘,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๑๙,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๐,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๑,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๒,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๓,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๔,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๕,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๖,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๗,(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- ๒๘ (จบบริบูรณ์),(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐-- 📍E-Book มาแล้วค่ะ!!

เนื้อหา

- ๐๓

บรรยากาศยามเช้าของเรือนพญาไม่แตกต่างจากเรือนหลักมากนัก ออกจะเย็นสบายและร่มรื่นมากกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากตัวเรือนติดกับสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณและสระน้ำขนาดใหญ่

และเป็นที่รู้กันดีในหมู่ของคนงานว่าเจ้าของเรือนนั้นชื่นชอบการดื่มกาแฟและรับอาหารเช้าในสวนหย่อมมากแค่ไหน ถ้าหากวันใดไม่มีงานเร่งด่วน พวกเขาก็จะเห็นพญานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใต้ต้นปีบต้นใหญ่ริมสระอยู่เสมอ

“วันนี้จะรับกาแฟในสวนไหมคะ” ดวงใจ หัวหน้าแม่บ้านเอ่ยถามขณะที่เห็นชายหนุ่มเดินลงจากบันไดมา หล่อนเป็นคนสนิทที่ทำงานที่ตระกูลหยางมายี่สิบกว่าปีแล้ว อีกทั้งยังเลี้ยงดูพญาแทนมารดาที่ตายไปตั้งแต่ยังเด็กด้วย

“วันนี้คงไม่ได้ พอดีมีงานเลี้ยงที่สมาคมน่ะครับ”

พญายิ้มรับอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นหญิงชราไม่ยอมพักผ่อนตามที่เขาบอก เนื่องจากหล่อนอายุมากแล้ว เขาจึงรับสมัครแม่บ้านคนใหม่ ๆ เข้ามาเพื่อช่วยหล่อนทำงานอยู่หลายคน

ร่างสูงเคารพนับถือดวงใจเสมือนมารดาคนหนึ่งของตน แม้ว่าภายนอกเขาจะดูสุขุมและเยือกเย็นแค่ไหน แต่พญาก็ไม่คิดที่จะเก็บซ่อนความอ่อนโยนของตนกับหล่อนอยู่ดี

“แม่ดวงไปพักผ่อนเถอะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”

ดวงใจระบายยิ้มกว้าง แล้วส่งมือเหี่ยวย่นของตนไปลูบไหล่ผู้นำตระกูลหยางแผ่วเบา “ตั้งใจทำงานนะคะคุณพญาของป้า”

เพียงได้รับคำอวยพรที่จริงใจจากคนที่รัก พญาก็ไม่หวั่นเกรงสิ่งใดที่ต้องพบเจอในวันนี้อีกแล้ว ร่างสูงเดินไปขึ้นรถพร้อมกับรับแฟ้มเอกสารที่เตชินยื่นมาให้ เขาเปิดอ่านก่อนที่เตชินจะรายงานกำหนดการคร่าว ๆ ในวันนี้ให้เขาฟัง

วันนี้ที่สมาคมจินหลงจะจัดงานครบรอบครั้งใหญ่ ผู้นำแต่ละตระกูลที่อยู่ภายใต้สมาคมจินหลงก็คงจะมากันครบทุกคน พญาแค่นหัวเราะกับตนเองเมื่อนึกไปถึงใบหน้าเจ้าเล่ห์ของพวกตาแก่ทั้งหลายที่เขาเกลียด

วันนี้ก็คงจะเป็นอีกวันที่ต้องเหนื่อยล้าและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“คุณพญาครับ เมื่อวานตอนเช้าคุณประสิทธิ์กับคุณนงนุชมาขอพบครับ แต่ผมแจ้งว่าคุณพญาติดประชุมทั้งวันก็เลยให้พวกเขากลับไปก่อน”

เตชินที่กำลังขับรถอยู่เอ่ยบอกเรื่องสำคัญขึ้นมา พญาขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสาร

พ่อกับแม่ของเพ่ยมาขอพบเขาเมื่อวานนี้ โชคดีที่เตชินทำงานกับเขามานานและรู้ว่าต้องจัดการกับสองคนนั้นอย่างไรก่อนที่จะถึงมือเขา

ร่างสูงเคาะนิ้วกับประตูรถอย่างพิจารณา เพ่ยเองก็ถูกครอบครัวบังคับไม่ต่างจากเขา และดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ของเพ่ยจะเห็นแก่เงินสินสอดมากกว่าลูกตนเองเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นถึงได้ยอมตกลงกับเจ้าสัวเซี่ยง่าย ๆ แม้ว่าเพ่ยจะไม่ได้ยินยอมก็ตาม

ฉะนั้นแล้วที่มาขอพบเขาคงไม่ใช่เพราะเรื่องการตามหาตัวเพ่ยแต่อย่างใด เห็นทีคงจะเป็นเรื่องสินสอดทองหมั้นเสียมากกว่า

พญาออกคำสั่งในขณะใบหน้าคมเปี่ยมไปความเดียดฉันท์

“ส่งคนไปบอกพวกนั้นว่าไม่ต้องมาพบฉันอีก สินสอดกับของหมั้นที่ตระกูลหยางเคยให้ไว้ก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะขอคืน”

“ได้ครับ” เตชินพยักหน้ารับก่อนจะนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ “สองคนนั้นยังฝากผมมาบอกคุณพญากับเจ้าสัวอีกว่าจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดที่เชียงใหม่ครับ”

“ก็ดี ฉันชังน้ำหน้าพวกมันเต็มทนแล้ว” นัยน์ตาของพญาวาวโรจน์ตามความรู้สึก “แล้วตอนนี้ได้ข่าวของเพ่ยบ้างไหม”

“ผมลองไปถามชาวบ้านละแวกนี้มาแล้วครับ ไม่มีใครพบคุณเพ่ยเลย บางทีอาจจะหนีไปไกลแล้ว คนของเจ้าสัวกับตระกูลอื่น ๆ ก็ยังหาไม่เจอเหมือนกันครับ”

พญาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แน่นอนว่าเตชินที่หมดหน้าที่รายงานในสิ่งที่เจ้านายถามก็เงียบเสียงลง สายตาของเลขาคนสนิทก็คอยสอดส่องระแวดระวังภัยให้กับเจ้านายของตนเองอยู่ตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะขับรถไปด้วยก็ตาม

รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างไม่เร่งรีบมากนัก การจราจรในเช้านี้ไม่ติดขัดมากเกินไป จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าสมาคมจินหลง รถยนต์หลากหลายยี่ห้อทั้งไทยและต่างประเทศต่างจอดกันเรียงรายละลานตา เช่นเดียวกับผู้คนนับร้อยจากหลายตระกูลที่ยืนอวดเบ่งอำนาจกันอยู่

เสียงพูดคุยภายในงานเลี้ยงค่อย ๆ เบาลงเมื่อรถยนต์ของผู้นำสมาคมมาจอดที่หน้าประตูบานใหญ่ เหล่าผู้อารักขาคนสนิทของพญาที่มารออยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าต่างก็พากันมายืนรอรับเจ้านายของตนอย่างพร้อมเพรียง รวมไปถึงตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ในงานเช่นกัน

ประตูรถถูกเปิดออกโดยเลขาคนสนิท ก่อนที่จะร่างสูงสง่าจะก้าวลงมาจากรถ พญาก้าวผ่านประตูเข้าไปด้วยความสุขุม เขากลายเป็นจุดรวมสายตาของใครหลายคน ดวงหน้าคมไม่บ่งบอกความรู้สึก แม้จะยิ้มรับคำทักทายของผู้นำตระกูลทั้งหลายที่เอ่ยขึ้นอย่างเอาใจ แต่รอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตาเลยสักนิด

ราวกับว่าพญากำลังเดินเข้าดงอสรพิษที่แสนจะอันตราย ทุกสายตาที่จับจ้องมานั้นคอยแต่จะทิ่มแทงกันอยู่ทุกเมื่อ แต่ทว่าเขากลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

นั่นเพราะเขาไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นผู้ล่าที่อยู่เหนือทุกคน ณ ที่แห่งนี้

ผู้นำสมาคมจินหลงเป็นตำแหน่งที่ใครต่อใครก็อยากจะได้ไปครอบครอง หากแต่ผู้ที่เหมาะสมกลับมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้น และไม่มีใครที่จะกล้าปฏิเสธความจริงข้อที่ว่า คนที่เหมาะสมกับการเป็นมังกรทองผู้ยิ่งใหญ่ของสมาคมมากที่สุดคือ พญา นายใหญ่แห่งตระกูลหยาง

“ลุงยินดีกับกิจการใหม่ด้วยนะอาเหวิน”

“ยินดีกับกิจการใหม่ด้วยนะครับคุณพญา”

“ยินดีกับกิจการใหม่ด้วยนะคะ”

คำเยินยอชื่นชมทั้งหลายผ่านเข้ามาในโสตประสาทคล้ายกับลอกคำพูดตามกันมา บางคนก็ไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าตระกูลหยางเพิ่งจะลงทุนเปิดกิจการใหม่ไปเมื่อต้นปี แต่พอได้ยินคนอื่น ๆ พูดขึ้นมาก็ไหลตามกันอย่างหน้าไม่อาย พญาเอ่ยขอบคุณแบบขอไปทีและไม่ได้ต่อบทสนทนากับใครอีก

เขาได้ยินคำชื่นชมอย่างเสแสร้งมาทั้งชีวิต หลาย ๆ คนมักบอกว่าพญาเป็นกุนซือด้านการทำธุรกิจ เพราะเขาคาดเดาและวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละกิจการได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำราวกับจับวาง

หลายครั้งที่คนอื่น ๆ มักจะลงทุนตามที่พญาเคยทำ ไม่ก็เข้ามาขอคำปรึกษาโดยตรงจนกิจการมีรายได้และกำไรมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ

จนกระทั่งมีคำเยินยอคำหนึ่งที่พญามักจะได้ยินมาตลอด นั่นก็คือ พญาผู้มีดวงตาที่สาม 

มันเป็นฉายาที่ดูดีแต่กระนั้นก็ไร้สาระจนเกินทน ดวงตาที่สามบ้าบออะไรกัน เขาก็แค่วิเคราะห์จากที่สิ่งที่เคยเห็นมากับตาก็เท่านั้น

เรื่องราวพวกนี้น่ะ พญาเคยผ่านมันมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ

ร่างสูงยังคงทำหน้าที่ของผู้นำสมาคมไม่ขาดตกบกพร่อง เขาทักทายและพูดคุยกับทุกคนพอเป็นพิธี จากนั้นจึงกล่าวเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ก่อนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพิธีกรประจำงานต่อไป

ทุกสายตาต่างสอดส่องเพื่อหาจังหวะที่จะเข้ามาพูดคุยพญาหลังจากบรรยากาศผ่อนคลายลงแล้ว โชคดีที่พญาหันไปเห็นเพื่อนสนิทของตนที่ยืนรออยู่อีกฝั่งหนึ่งเสียก่อน ร่างสูงโบกมือให้อีกฝ่ายก่อนที่อรรถพลจะตรงเข้ามาหา

“ยังให้กูเป็นไม้กันหมาพวกตาแก่นั่นทุกทีสินะ”

“อืม ขอโทษด้วย แต่ช่วยกูหน่อยแล้วกัน”

“กูก็หยอกเล่นไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดอะไรน่า”

อรรถพลตอบพลางตบไหล่เพื่อนสนิทเบา ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปรับแก้วจากพนักงานเสิร์ฟ พญายกขึ้นมาดื่มแก้กระหายจนหมด รสเหล้าอย่างแรงบาดคอให้ความรู้สึกขมปร่า เช่นเดียวกับอรรถพลที่นิ่วหน้าอยู่ข้างกัน

อันที่จริงแล้วอรรถพลไม่ใช่สมาชิกตระกูลใดในสมาคมจินหลงทั้งนั้น แต่เขาเป็นลูกชายของซินแสจื้อและเป็นเพื่อนเล่นกับพญามาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่เจ้าตัวจะแยกย้ายไปร่ำเรียนหมอถึงอเมริกา แต่กระนั้นความเป็นเพื่อนระหว่างพวกเขาก็ยังเหนียวแน่นอยู่เช่นเดิม

และในวันนี้ที่พญาเชิญเพื่อนสนิทของตนมาด้วยก็เพื่อให้อรรถพลช่วยกันตระกูลอื่นออกไป แน่นอนว่าการที่อรรถพลเป็นลูกชายของซินแสจื้อที่ผู้นำทุกตระกูลในย่านเยาวราชต่างก็นับถือและมักจะแวะเวียนไปหาบ่อย ๆ ย่อมต้องรู้เรื่องราวภายในของหลาย ๆ ตระกูล และมันก็เป็นประโยชน์ในการจัดการงานของพญาเป็นอย่างดี

“นั่นตระกูลเฟิ่งนี่หว่า พาลูกสาวเดินเข้ามาหามึงแล้ว”

“กันไว้ให้หน่อย”

“เอ๊ะไอ้นี่ กูจะไปทำอะไรได้ แค่ยืนบังมึงไว้ก็มีพิรุธจะแย่แล้ว ถ้าจะเดินเข้ามาหามึงโต้ง ๆ แบบนี้มึงก็ยอมคุย ๆ ไปเถอะน่า”

พญาถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เขาส่งแก้วที่ดื่มหมดแล้วให้เตชินรับไปก่อนจะจัดสูทของตนเองให้เรียบร้อย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เถ้าแก่เคี๊ยง ผู้เป็นนายใหญ่ตระกูลเฟิ่งและลูกสาวของเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพอดี

ตระกูลเฟิ่งถือได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับที่สามในสมาคม มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับบิดาของเขาเป็นอย่างดี แต่พักหลังดูเหมือนว่ากิจการโรงไม้ของตระกูลเฟิ่งจะขาดสภาพคล่องไม่น้อย ส่วนลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสัวก็ไม่ได้สนใจในกิจการงานของตระกูลสักเท่าไร พญาจึงส่งคนไปช่วยดูแลก่อนที่เถ้าแก่เคี๊ยงจะแบกหน้ามาขอความช่วยเหลือด้วยเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ของบิดาตน ปัจจุบันนี้ถึงจะเริ่มมีกำไรขึ้นมาบ้าง

“สวัสดีครับเถ้าแก่” พญายกมือไหว้ ถึงแม้ว่าเขาไม่ชอบการประจบประแจงอย่างที่อีกคนทำ แต่อย่างไรก็เป็นเพื่อนของบิดาและอาวุโสกว่าเขามาก

“ลื้อสบายดีใช่ไหมอาเหวิน”

“ผมสบายดีครับ เถ้าแก่ล่ะครับ” พญาตอบและถามกลับไป แม้จะรู้ว่าจุดประสงค์ในการทักทายครั้งนี้คงไม่พ้นแนะนำลูกสาวตนเองให้เขาได้รู้จักเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการดองกับตระกูลหยางในอนาคต

“อั๊วก็อยู่ไปวัน ๆ กิจการงานตอนนี้ก็ให้เลขาอีเป็นคนจัดการเสียส่วนใหญ่ อั๊วขอบใจลื้อมากเลยนะอาเหวินที่ส่งคนไปช่วยอั๊ว”

“ไม่เป็นไรครับ” ร่างสูงตอบเพียงเท่านั้น นัยน์ตาคมก็กริบลอบสังเกตลูกสาวของเถ้าแก่เคี๊ยงไปด้วย

หล่อนสวยสะกดสายตาและกิริยามารยาทก็อ่อนหวานเรียบร้อย เพียงแต่นัยน์ตากลับดูเหมือนไม่เต็มใจที่จะมาที่นี่เท่าไรนัก

“อ่อจริงสิ อั๊วพาอาบุษบางานนี้ด้วย เห็นอีบอกว่าอยากจะได้แนวคิดใหม่ ๆ มาพัฒนากิจการที่บ้าน อั๊วก็เห็นว่าถ้าได้คุยกับคนในสมาคมแล้วก็ลื้อ คงจะได้คำแนะนำอะไรกลับไปบ้าง มา ๆ อาบุษมาไหว้เฮียเหวินเร็วเข้า” เถ้าแก่เคี๊ยงอธิบายพลางดึงลูกสาวของตนมาด้านหน้า

บุษบาเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดใจเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพญาไปได้ หญิงสาวปรับสีหน้าและวาดรอยยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้พญาที่อายุมากกว่า

“สวัสดีค่ะเฮียเหวิน”

“ครับ” พญาก็ยกมือรับไหว้หล่อนเช่นกัน เขายิ้มกลับไปเล็กน้อย “ไว้งานติดขัดตรงไหนก็มาปรึกษาเฮียได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณนะคะ”

พญารู้ดีว่าถ้าไม่ไหลตามน้ำไปก่อน เถ้าแก่เคี๊ยงคงจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ แน่ ร่างสูงถลึงตาใส่อรรถพลที่ยืนห่างออกไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้อย่างคาดโทษ หากแต่เจ้าเพื่อนสนิทตัวดีกลับชูแก้วไวน์แล้วกระดกดื่มอย่างเยาะเย้ยเสียอย่างนั้น

เขาต่อบทสนทนากับเถ้าแก่เคี๊ยงและบุษบาอีกสองสามคำ ก่อนจะเอ่ยขอตัว แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินออกไปไกล ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าราวกับคำนวณเอาไว้แล้ว

คราวนี้พญาถอนหายใจหนักอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเจ้าสัวกิตติ ส่งยิ้มยียวนมาให้ ชายแก่ที่เดินเข้าวงสนทนามาผู้นี้คือผู้นำตระกูลอี้ ซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสมาคมและเป็นรองเพียงแค่ตระกูลหยางเท่านั้น

เจ้าสัวกิตติเคยเป็นอดีตรุ่นน้องคนสนิทของบิดา ภายหลังหยิ่งทระนงในอำนาจและหันไปตั้งกิจการแข่งกับตระกูลหยาง รวมไปถึงทำธุรกิจสีเทาหลายอย่าง มากไปด้วยเล่ห์และความเห็นแก่ตัวเท่าที่ชายแก่คนหนึ่งจะทำได้

ช่วงแรกที่ก่อตั้งสมาคมจินหลง มีหลายตระกูลที่เป็นพันธมิตรกับเจ้าสัวกิตติร่วมกันออกเสียงให้บิดาของเขายินยอมให้ตระกูลอี้มีชื่อในสมาคม จนในท้ายที่สุดแล้วเจ้าสัวเซี่ยก็ต้องยอมทำตามเสียงส่วนมากและเพิ่มตระกูลอี้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกอย่างจำใจ

ปัจจุบันนี้ ถึงแม้ตระกูลอี้จะเป็นอันดับสองในสมาคม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอี้และตระกูลหยางกลับแย่ยิ่งกว่าที่ใคร ๆ คิด

เตชินที่เห็นพญานิ่งไปเอ่ยกระซิบเรียกสติของนายตนเองเบา ๆ ก่อนที่คนเป็นนายต้องจำใจเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท

“สวัสดี ๆ” เจ้าสัวกิตติเอ่ยทักทายกลับมาด้วยใบหน้ากวนอารมณ์ “อั๊วก็นึกว่าผู้นำสมาคมอย่างลื้อจะมือไม้แข็งจนไม่ยอมยกมือไหว้อั๊วเสียแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหายไป ดวงตาคมดั่งมังกรทมิฬเรียบนิ่งในขณะที่เจ้าสัวกิตติยังคงส่งยิ้มน่ารังเกียจมาให้

“ทำไมเจ้าสัวถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ผมก็ยกมือไหว้คนที่อาวุโสกว่าและควรเคารพอยู่แล้ว หรือว่าเจ้าสัวไม่ใช่คนที่ผมควรจะเคารพอย่างนั้นหรือครับ”

ชายแก่หุบยิ้มลงทันทีที่ได้ยินพญาตอบโต้กลับมาเช่นนั้น อรรถพลเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้ามาสมทบ

“อ้าว สวัสดีครับเจ้าสัวกิตติ สบายดีนะครับ” อรรถพลลอบกระทุ้งศอกใส่พญาให้ถอยไป ก่อนที่เขาจะเป็นคนรับหน้าแทน

เจ้าสัวกิตติกัดฟันกรอดแต่ถึงกระนั้นก็หันไปพูดคุยกับอรรถพลด้วยรอยยิ้มเสแสร้งเช่นเดิม

พญามองชายแก่ที่เปลี่ยนท่าทีรวดเร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างนึกรังเกียจ เพราะศัตรูที่มุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ชัดแจ้งยังไม่น่ากลัวเท่ากับศัตรูที่เก็บซ่อนคมมีดเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแบบนั้นเลย

“อั๊วสบายดี ยังอยู่ร่วมสมาคมจินหลงได้อีกนาน” เจ้าสัวกิตติแค่นหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลก็ยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อเจ้าสัวเซี่ยแห่งตระกูลหยางหาตัวคนที่อยู่ในคำทำนายของซินแสเจอก่อนใคร

แน่นอนว่าครั้งนั้นตระกูลอี้ก็ทุ่มเทและทุ่มเงินกับการออกตามหาเช่นกัน เจ้าสัวกิตติถึงกับออกปากเองว่าจะยอมแต่งงานและยกย่องคนในคำทำนายขึ้นเป็นเมียหลวง ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม

หากแต่ท้ายที่สุดแล้วก็พ่ายแพ้ให้ตระกูลหยางแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น

ยกย่องเด็กผู้ชายคราวลูกออกนอกหน้าน่ะหรือ

ต่ำช้าสิ้นดี

ความจริงแล้วพญารู้ดีว่าคำพูดที่ออกจากปากของเจ้าสัวกิตตินั้นเชื่อถือไมได้สักนิด เพราะคนของเขาเพิ่งจะรายงานมาว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เจ้าสัวกิตติติดต่อแม่เล้าคนหนึ่งอยู่เสมอ และหล่อนก็มักจะส่งชายหนุ่มหลายคนให้เจ้าสัวกิตติระเริงกามารมณ์ถึงในบ้านแทบทุกคืน

ช่างเป็นชายแก่ที่มักมากในกามเสียจริง 

“จริงสิ อั๊วได้ข่าวมาว่าตระกูลหยางส่งคนไปตามหาตัวเจ้าสาวที่หนีไปของลื้อกันให้ควั่ก ไอ๊หยา อาเพ่ยอีแย่จริง ๆ ลื้อไม่ต้องเสียใจไปนะอาเหวิน ถ้าอยากให้อั๊วช่วยก็บอกได้ อั๊วจะส่งคนไปให้ถึงที่เลย”

เป็นอีกครั้งที่เจ้าสัวกิตติพูดจายั่วโมโหชายหนุ่ม พญาดันอรรถพลที่ยืนขวางออกไปก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมายืนด้านหน้า ความกดดันแผ่กำจายรอบกายจนหลายคนที่มองอยู่หวาดหวั่น นัยน์ตาสีดำสนิทหลุบมองชายแก่ตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในตระกูลหยาง ผมคงไม่รบกวนคนอื่นให้เข้ามาช่วย เจ้าสัวเองก็แก่ปูนนี้แล้วควรจะอยู่ในที่ของตัวเองเงียบ ๆ แล้วก็อย่าเข้ามาแส่จะดีกว่านะครับ ผมขอเตือนด้วยความหวังดี”

ร่างสูงกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินผ่านเจ้าสัวกิตติที่หน้าเสียออกไปทันที

นั่นเป็นคำขู่อย่างไม่ต้องสงสัย ตระกูลที่มีอำนาจเพียงน้อยนิดทั้งหลายหวั่นเกรงในประโยคนั้นราวกับว่าพญาเอ่ยมันต่อหน้าพวกเขาเอง

“กูกลับก่อนแล้วกัน เจอกันตอนเย็นที่ภัตตาคารไห่ฟู่”

“อ้าว มึงจะกลับแล้วเหรอวะพญา พญา ไอ้พญา”

พญาไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อนสนิทอีก เขาสั่งให้เตชินเปิดประตูรถจากนั้นจึงก้าวเข้าไปนั่งด้านในทันที และไม่ลืมที่จะกำชับให้คนของตนดูแลความเรียบร้อยที่งานต่อไป

แค่นี้พญาก็ฝืนใจตัวเองจะแย่แล้ว เขาเกลียดงานสังคมมากกว่าอะไรทั้งหมดแต่อย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงมันได้

แม้ว่าภาพที่เห็นตรงหน้าจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมที่เขาทุ่มเทดูแลด้วยชีวิต แต่แท้จริงแล้วเนื้อในกลับเต็มไปด้วยอสรพิษที่ชูคออย่างหยิ่งผยอง และรอคอยวันที่เขาจะตกลงมาจากปลายยยอดด้วยความพ่ายแพ้

“ส่งคนไปจับตาดูเจ้าสัวกิตติไว้ ถ้ามีอะไรผิดปกติก็รีบมารายงานฉันทันที”

หากแต่พญาไม่ใช่พวกที่จะพ่ายแพ้ต่อศัตรูได้ง่าย ๆ

เพราะใครก็ตามที่ล้ำเส้นเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว มันผู้นั้นก็เตรียมรับผลที่ตามมาไว้ได้เลย