"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"
ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย,โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"
(พญา x หลิว)
꧁✵꧂
หลิวเป็นคนขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็น ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่จึงได้แต่กักขังตนเองอยู่ภายใต้ความอัปลักษณ์นั้นจนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงการเชื่อมั่นในตนเองนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ความหวาดกลัวฝังรากลึกลงในจิตใจของเขามาเนิ่นนาน
เพียงแต่ในตอนนี้กลับมีมือของใครบางคนฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากความกลัวนั้น
"เธออาจจะคิดว่ารอยแผลเป็นนั้นน่ารังเกียจจนทนไม่ไหว แต่สำหรับฉันแล้ว เธอมีค่ามากกว่าคำดูถูกพวกนั้นเสียอีก"
"..."
"อย่าได้สนใจคำพูดของคนอื่นอีกเลยอาหลิว เธอจำคำพูดของฉันเอาไว้แค่คนเดียวก็พอแล้ว"
และคุณพญาก็คือคนนั้น คนที่ใจดีกับเขาเสมอมา
ขอบคุณที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมเองก็สัญญาว่าจะภักดีต่อคุณตลอดไปเช่นกัน
꧁✵꧂
เปิดเรื่อง : 02/10/2566
จบบริบูรณ์ : 29/01/2567
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน เหมาะกับผู้อ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป อาจมีเหตุการณ์ไม่เหมาะสมที่ตัวละครในเรื่องได้กระทำ มีการบรรยายถึงความเชื่อศาสนา โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากไม่ชอบสามารถกดออกได้เลยค่ะ รบกวนไม่คอมเมนท์บั่นทอนจิตใจนักเขียนนะคะ ขอบคุณค่ะ
— Trigger Warning —
Attempted murder, Physical Abuse, Mental Abuse, Blood, Branding, Body Shaming, Corpse, Dirty Talk, Domestic Violence, Forced Marriage, Mutilation, Trafficking
— Twitter —
— Page —
มื้อเย็นในสวนวันนี้ทำให้พญาผ่อนคลายกว่าหลายวันที่ผ่านมา ความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการโหมงานมาตลอดทั้งเดือนทำให้เขาไม่มีเวลาทานอาหารฝีมือแม่ดวงใจสักเท่าไรนัก กระทั่งปิดบัญชีของเดือนนี้เสร็จหมดแล้วถึงได้มีเวลาพักเป็นของตนเองบ้าง
แม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะยังไม่คลี่คลายก็ตาม
คนร้ายที่จับได้ปากหนักกว่าที่คิด ถึงแม้ว่าจะถูกเขาข่มขู่มากแค่ไหนแต่มันก็ไม่ปริปากบอกตัวผู้บงการเลยสักนิดเดียว
“คนของป๊ามาเอาตัวมันไปแล้วใช่ไหม”
“ครับคุณพญา เจ้าสัวบอกว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ทั้งหมดเองครับ แล้วก็ให้คุณพญาทำงานต่อไปไม่ต้องห่วงเรื่องนี้อีก”
“อืม”
เห็นทีคนร้ายคนนั้นคงจะชะตาขาดเร็ว ๆ นี้ เพราะถ้าพูดถึงความโหดร้ายแล้ว เจ้าสัวเซี่ยอยู่เหนือกว่าเขามากทีเดียว
พญาไม่ได้อยากเป็นเหมือนบิดาตนเองสักเท่าไร ถึงแม้ว่าตำแหน่งที่เขาเป็นอยู่จะหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่ผู้อื่นยำเกรงและหวาดกลัวมากที่สุด แต่พญาก็ไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นครอบงำหัวใจของเขาได้ทั้งหมด
แม่ดวงใจบอกกับเขาเสมอว่า หัวใจคนเรานั้นเปราะบาง ถ้าหากด้านชาจนเกินไป ตัวตนที่แท้จริงก็จะสูญหายไปตลอดกาล
ดังนั้น ต่อให้เขาจะอยู่บนปลายยอดสูงชันสักแค่ไหน พญาก็จะไม่ละทิ้งตัวตนของตนเองอย่างเด็ดขาด
“นายไปพักเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ครับ”
เตชินโค้งให้เขาครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงใจเดินสวนเข้ามาพร้อมกับชาร้อนในมือพอดี
“ป้าเอาชาร้อนมาให้ค่ะ” หล่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พญาเอื้อมไปรับมันมาแล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย
“ยังอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“ป้ารู้ค่ะว่าคืนนี้คุณพญาจะต้องทำงานดึกแน่ ๆ ป้าก็เลยชงชาร้อนมาให้ จะได้ไม่เครียดจนเกินไป”
“ขอบคุณนะครับ แม่ดวงก็ไปพักผ่อนเถอะครับ” พญาส่งยิ้มบางเบาให้หล่อน
หลาย ๆ คนมักบอกว่ารอยยิ้มของคุณพญาเปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่า หากได้เชยชมแม้เพียงครั้งเดียวก็ไม่อาจลืมเลือนความงดงามนี้ไปได้ตลอดชีวิต
“ฝันดีนะคะคุณพญาของป้า”
ชายหนุ่มวัยสามสิบห้าปีโผกอดหญิงชราอย่างออดอ้อน กิริยาท่าทางเช่นนี้ไม่อาจทำต่อหน้าลูกน้องได้ แม้ว่าความสุขุมจะยังไม่หายไปแต่ก็ไม่ควรให้ลูกน้องได้เห็นมุมนี้ของเขาอยู่ดี
ประตูห้องนอนถูกปิดลงหลังจากที่ดวงใจออกจากห้องไปแล้ว พญาวางแก้วชาร้อนลงบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายที่เขายังไม่ได้ตรวจสอบ ร่างสูงนั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่างวางอยู่มุมโต๊ะ
ผ้าเช็ดหน้าสีขาว
พญาหยิบมันขึ้นมาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกได้ว่าเป็นของเด็กเสิร์ฟที่ภัตตาคารคนนั้น
“เก็บมาด้วยงั้นหรือ”
พญาพึมพำกับตนเอง กลิ่นหอมสะอาดลอยเข้าจมูกมา จนรู้สึกสดชื่น แม่ดวงใจคงจะเป็นคนเอาไปซักให้และนำมาวางไว้ตรงนี้เพราะคิดว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าของเขา แต่หล่อนคงจะลืมนึกไปว่าคนอย่างเขาไม่เคยใช้ผ้าเช็ดหน้าเลยสักผืน
เด็กคนนั้นคงจะใช้ผ้าผืนนี้ผูกใบหน้าเพื่อปิดบังรอยแผลเป็นของตนเองเอาไว้
เรียวคิ้วของพญาขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาไม่รู้สึกว่ามันจะน่าเกลียดตรงไหน รอยแผลเป็นนั้น แม้จะไม่ราบเรียบแต่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ใบหน้าของเด็กคนนั้นก็ออกจะน่ามองเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่แววตาดูแสนเศร้าและหวาดกลัวราวกับลูกกวางตัวน้อย
“ขอโทษที่ฉันหยิบของของเธอมา” พญายกผ้าผืนนั้นขึ้นมาตรงหน้า เขาเอ่ยกับมันราวกับว่าเด็กหนุ่มกำลังฟังอยู่
พญาไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะได้เจอกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง
หรือบางทีเขาควรจะฝากให้เตชินเอาไปคืนเหมือนตอนที่เอาเงินและซองจดหมายไปให้ดี
แต่ทว่าความคิดทั้งหมดก็หายวีบไปเมื่อคิดได้ว่าของสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเป็นคนเอาไปคืนและขอโทษด้วยตนเองถึงจะถูกต้อง คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็พับมันอย่างประณีตและเก็บลงลิ้นชักข้างตัวทันที
น่าแปลกที่เขาอยากเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้กับตัวให้นานอีกสักหน่อย
ถ้าได้เจอกันอีก ฉันจะเอาไปคืนให้
ระหว่างนี้ฉันจะดูแลผ้าเช็ดหน้าของเธอให้เป็นอย่างดี
ฉันสัญญา
*
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พญาออกจากบ้านไปทำงานที่บริษัทแต่เช้า อาการปวดหัวจากความเครียดสะสมกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง ร่างสูงมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิดจนทำให้ลูกน้องหลายคนที่เห็นใบหน้าของเจ้านายในวันนี้ต่างก็ผวาไปตาม ๆ กัน
ไม่เว้นแม้กระทั่งเตชินที่ใกล้ชิดกับพญามากที่สุดด้วยก็ตาม
“เอกสารมีปัญหาหรือครับ”
“อืม คราวหลังนายก็ตรวจเช็กให้ดีก่อนจะส่งมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะฉีกทิ้งแล้วสั่งให้ทำใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แผนกล่างสุด”
“ขอโทษครับคุณพญา”
เตชินละล่ำละลักเอ่ยขอโทษทันควัน เพราะพญานั้นขึ้นชื่อว่าทำงานรอบคอบและผิดพลาดน้อยที่สุด อีกทั้งยังเข้มงวดยิ่งกว่าเจ้าสัวเซี่ยผู้เป็นบิดาเสียอีก ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้พญาขึ้นสู่จุดสูงสุดของสมาคมได้รวดเร็วกว่าที่ใคร ๆ คิด
“ฉันเซ็นให้หมดแล้ว ส่งไปให้ฝ่ายบัญชีได้เลย”
“ได้ครับ” เตชินตอบรับคำและยื่นมือไปรับแฟ้มเอกสารทั้งหมดจากเจ้านายของตนเอง
พญาถอนหายใจหนักแล้วโบกมือไล่เลขาคนสนิทออกไปก่อนจะยกมือขึ้นมานวดขมับตนเองเบา ๆ ยังไม่ทันที่เตชินจะปิดประตูห้องทำงานของเขาดี พนักงานระดับสูงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“อะไรกัน! ไม่รู้จักเคาะประตู…!”
“ไม่เป็นไรเตชิน” พญาเอ่ยห้ามเตชินเอาไว้ จากนั้นจึงหันไปหาพนักงานหญิงคนนั้น “มีเรื่องด่วนอะไรก็ว่ามาเลยครับ”
“โรงน้ำชาค่ะ…โรงน้ำชาถูกสั่งรื้อถอนแล้วค่ะ!”
หล่อนยังไม่ทันจะพูดจบประโยคดี พญาก็ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินออกจากห้องทำงานไปทันที เตชินยื่นแฟ้มเอกสารที่ถืออยู่ในมือให้พนักงานหญิงคนนั้นก่อนจะรีบร้อนตามคนเป็นนายออกไป
รถยนต์ที่เพิ่งจะจอดพักได้ไม่ถึงชั่วโมงถูกสตาร์ทขึ้นมาอีกครั้ง เตชินรีบเปิดประตูให้พญาอย่างรู้หน้าที่ก่อนที่เขาจะอ้อมไปขึ้นฝั่งข้างคนขับ
เตชินเหลือบมองใบหน้าคมที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธของเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง เขากลืนน้ำลายดังเอื้อก ดูเหมือนว่าวันนี้จะต้องเจอพายุลูกใหญ่จากเจ้านายเสียแล้ว นั่นเพราะโรงน้ำชาแห่งนี้เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่คุณโฉมผู้เป็นมารดาของพญาทิ้งไว้ให้ก่อนจะจากโลกนี้ไปตลอดกาล
คนขับรถเหยียบคันเร่งมาจนถึงหน้าโรงน้ำชาม่านมายาในเวลาไม่ถึงสิบนาที พญาไม่รอช้า เขาเปิดประตูลงไปด้วยความรวดเร็ว และภาพตรงหน้าที่เห็นคือพนักงานกับคณะงิ้วประจำโรงน้ำชาหลายสิบคนถูกโยนออกมาด้านนอกพร้อมกับสัมภาระที่กระจัดกระจายเต็มพื้น
แม้จะบอกได้ว่าโรงน้ำชาหลังนี้เป็นสมบัติของคุณโฉม แต่กลับมีเงินทุนของหุ้นส่วนคนสำคัญอย่างเจ้าสัวกิตติร่วมลงทุนอยู่ด้วย นั่นเพราะหลายสิบปีที่แล้วตั้งแต่ตอนที่เจ้าสัวกิตติยังเป็นคนสนิทของเจ้าสัวเซี่ย เขาได้ให้ความช่วยเหลือคุณโฉมในฐานะเพื่อนสมัยเด็กมาตลอด จากนั้นคุณโฉมและเจ้าสัวเซี่ยก็ได้มารู้จักและรักกัน
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจ้าสัวเซี่ยไม่อาจตัดตระกูลอี้ของเจ้าสัวกิตติออกจากวงโคจรของสมาคมได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณโฉมนั้นขอเอาไว้ก่อนตายจากไป
ฉะนั้น โรงน้ำชาม่านมายาหลังนี้จึงมีเจ้าสัวกิตติเป็นเจ้าของอีกคน
พญาขบกรามแน่นเมื่อเห็นเจ้าสัวกิตติยืนยิ้มเยาะอยู่ที่หน้าร้านขณะที่ลูกน้องช่วยกันโยนข้าวของที่อยู่ด้านในออกมาทีละชิ้นสองชิ้น
เขาประเมินเจ้าสัวกิตติไว้ต่ำเกินไป คิดว่าเจ้าสัวกิตติคงจะลืมโรงน้ำชาที่ผลประกอบการต่ำหลังนี้ไปเสียแล้ว ใครจะไปคิดว่าไอ้แก่เวรนี่จะเอาเรื่องนี้มาเล่นงานเขาได้
“คุณพญา ฮึก คุณพญาช่วยพวกเราด้วยนะคะ”
ผู้จัดการคณะงิ้วตรงเข้ามาเกาะขาพญาเอาไว้ หล่อนร่ำไห้เสียงดัง ใบหน้ามีรอยช้ำจากการขัดขืน เช่นเดียวกับคนที่เหลือที่ยกมือไหว้อ้อนวอนอย่างหมดหนทาง
พนักงานที่ประจำโรงน้ำชาและคณะงิ้วมีอยู่เกือบยี่สิบคน แน่นอนว่าพวกเขาใช้ชีวิตกันที่นี่ตั้งแต่เด็กจนโต โรงน้ำชาม่านมายาจึงเปรียบเสมือนบ้านของพวกเขา และทุกคนที่นี่เคยเป็นคนของมารดามาก่อน พญาจึงไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาไปได้
ร่างสูงกำหมัดแน่นอย่างอดกลั้น เขาหันไปหาเตชินที่อยู่ด้านหลัง
“หาที่อยู่ชั่วคราวให้พวกเขาก่อน” พญาสั่งกับเตชิน ก่อนที่เขาจะจับไหล่ผู้จัดการคณะงิ้วที่กำลังร้องไห้ไว้แน่น “ไม่ต้องห่วงทางนี้ ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำลายบ้านของพวกเธอได้แน่นอน”
“ขอบคุณนะคะ”
หล่อนร้องขอบคุณจนแทบจะหมอบกราบลงไปกับพื้น พญาห้ามหล่อนไว้ก่อนที่เขาจะมุ่งตรงไปยังเจ้าสัวกิตติที่ยืนมองอยู่
“มาแล้วหรืออาเหวิน คนของลื้อนี่ทำงานช้ากันจริง ๆ อั๊วสั่งรื้อถอนไปตั้งแต่เช้า กว่าลื้อจะมาก็เกือบบ่ายเสียแล้ว” เจ้าสัวกิตติฉีกยิ้มน่ารังเกียจ ยืนเอามือไขว้หลังอย่างถืออำนาจ
พญาเหยียดยิ้ม แววตาแข็งกระด้าง และเสียงทุ้มก็เอ่ยออกมาอย่างเยียบเย็น
“ไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือครับเจ้าสัว ใช้วิธีหมาลอบกัดแบบนี้ไม่สมกับเป็นผู้นำตระกูลอี้เลยนะครับ”
เจ้าสัวกิตติกัดฟันแน่น เขาข่มอารมณ์โกรธไว้ข้างในอกก่อนจะยิ้มเสแสร้งอีกครั้ง
“อั๊วเห็นว่าโรงน้ำชานี่ไม่มีกำไรมานานแล้ว ยอดขายกับลูกค้าก็ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อน เก็บเอาไว้ก็มีแต่จะขาดทุนนะอาเหวิน”
“แต่ที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายทั้งหมดและเงินเดือนของพนักงานทุกคนก็เป็นผมที่เป็นคนจ่ายไม่ใช่หรือครับ ผมไม่เห็นเจ้าสัวจะเดือดร้อนตรงไหน”
พญาเหลือบมองเจ้าสัวกิตติที่ไม่อาจตอบโต้กับความจริงข้อนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าสัวกิตติก็ยังสั่งให้คนของตนย้ายของภายในร้านออกไปอยู่ดี
“การจะรื้อถอนที่นี่ได้ไม่ใช่การตัดสินใจของเจ้าสัวเพียงผู้เดียว ผมก็เป็นเจ้าของที่นี่และมีสิทธ์ในการตัดสินใจเหมือนกัน เรื่องง่าย ๆ แบบนี้คงไม่มีอยู่ในสมองของเจ้าสัวสินะครับ”
“ไอ้พญา!”
เจ้าสัวกิตติยกนิ้วชี้หน้าชายหนุ่มด้วยความโกรธ หากแต่พญากลับไม่สนใจชายชราสันดานเสียคนนี้อีกแล้ว
“หยุดการรื้อถอนเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มแข็งกร้าวออกคำสั่งเสียงดัง คนของเจ้าสัวกิตติมองหน้ากันละล่ำละลักอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
หากแต่เจ้าสัวกิตติกลับไม่ยอมจำนน
“ขนของพวกมันออกมาให้หมด! ถ้าอั๊วไม่สั่งให้หยุดก็อย่า…!”
กริ๊ก
ราวกับเวลาหยุดชะงัก ทุกคนแทบหยุดหายใจเมื่อพญายกปืนสีดำสนิทขึ้นมาตรงหน้าเจ้าสัวกิตติ ก่อนที่ร่างสูงจะหันปลายกระบอกปืนไปยังคนของเจ้าสัวที่ยืนนิ่งด้วยความตกใจอยู่ภายในร้าน
คนสนิทของเจ้าสัวกิตติกำลังจะยกปืนขึ้นมาตอบโต้แต่เตชินเร็วกว่านั้น เลขาของเขายกปืนของตนจ่อเข้าที่ขมับของมันในทันที
ใบหน้าคมของพญาเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยอำนาจ ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเหยียดเมื่อเห็นเจ้าสัวกิตติหน้าถอดสี
“เลือกเอา”
“…”
“เจ้าสัวจะพาคนของเจ้าสัวกลับไปดี ๆ หรือว่าอยากจะเป็นศัตรูกับตระกูลหยาง…ก็ลองดู”
ดวงตาสีดำทมิฬบนใบหน้าคมคายวาวโรจน์ดั่งมัจจุราช
ในเมื่อเขาใจดีมอบทางเลือกให้กับพวกมันแล้ว ถ้าหากพวกมันไม่โง่จนเกินไปก็คงจะตัดสินใจเองได้ว่า ทางเลือกใดคือทางที่จะรอดออกไปจากขุมนรกที่เขาสร้างขึ้นมา