"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"
ดราม่า,รัก,ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย,โรแมนติก,พีเรียดไทย,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
(E-book) ลิขิตใจ — พีเรียด พ.ศ. ๒๕๒๐"ทำใจเถอะอาหลิว อัปลักษณ์อย่างลื้อจะมีใครมารัก เลิกหวังได้แล้ว"
(พญา x หลิว)
꧁✵꧂
หลิวเป็นคนขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไร ไร้ซึ่งความกล้าหาญที่จะยอมรับในสิ่งที่เป็น ตลอดระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่จึงได้แต่กักขังตนเองอยู่ภายใต้ความอัปลักษณ์นั้นจนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงการเชื่อมั่นในตนเองนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
ความหวาดกลัวฝังรากลึกลงในจิตใจของเขามาเนิ่นนาน
เพียงแต่ในตอนนี้กลับมีมือของใครบางคนฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากความกลัวนั้น
"เธออาจจะคิดว่ารอยแผลเป็นนั้นน่ารังเกียจจนทนไม่ไหว แต่สำหรับฉันแล้ว เธอมีค่ามากกว่าคำดูถูกพวกนั้นเสียอีก"
"..."
"อย่าได้สนใจคำพูดของคนอื่นอีกเลยอาหลิว เธอจำคำพูดของฉันเอาไว้แค่คนเดียวก็พอแล้ว"
และคุณพญาก็คือคนนั้น คนที่ใจดีกับเขาเสมอมา
ขอบคุณที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมเองก็สัญญาว่าจะภักดีต่อคุณตลอดไปเช่นกัน
꧁✵꧂
เปิดเรื่อง : 02/10/2566
จบบริบูรณ์ : 29/01/2567
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียน เหมาะกับผู้อ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป อาจมีเหตุการณ์ไม่เหมาะสมที่ตัวละครในเรื่องได้กระทำ มีการบรรยายถึงความเชื่อศาสนา โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากไม่ชอบสามารถกดออกได้เลยค่ะ รบกวนไม่คอมเมนท์บั่นทอนจิตใจนักเขียนนะคะ ขอบคุณค่ะ
— Trigger Warning —
Attempted murder, Physical Abuse, Mental Abuse, Blood, Branding, Body Shaming, Corpse, Dirty Talk, Domestic Violence, Forced Marriage, Mutilation, Trafficking
— Twitter —
— Page —
เจ้าสัวกิตติกลับไปแล้ว แม้จะดูไม่เต็มใจสักเท่าไรแต่ก็ถือว่ายังฉลาดที่ไม่เลือกเป็นศัตรูกับตระกูลหยาง เพราะนั่นหมายความว่าต้องเป็นศัตรูกับทุกตระกูลในสมาคม
ทุกวันนี้ที่เจ้าสัวกิตติยังมีที่ยืนได้ก็เพราะมีสมาคมจินหลงคุ้มกะลาหัวอยู่ และถ้าวันใดที่ตระกูลอี้หลุดจากอันดับที่สองไป พญาก็พร้อมจะเขี่ยทิ้งในทันที
เลี้ยงอสรพิษที่พร้อมจะแว้งกัดเราได้ทุกเมื่อแบบนั้นน่ะอันตรายที่สุดแล้ว
“ผมติดต่อช่างเรียบร้อยแล้วครับ ช่างจะมาถึงเย็นนี้และเริ่มซ่อมแซมบางส่วนก่อน ส่วนพนักงานกับคนในคณะงิ้วก็ถึงที่พักชั่วคราวแล้วครับ” เตชินรายงานคนเป็นนายคร่าว ๆ ลูกน้องของพญาคนอื่น ๆ ที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงก็ช่วยกันขนย้ายข้าวของเก็บที่เดิม
“ผู้ดูแลร้านคนก่อนใช่ไหมที่เป็นคนของเจ้าสัวกิตติ” พญากวาดสายตาตรวจสอบความเรียบร้อยพลางเอ่ยถาม
“ใช่ครับ หลังจากเซ็นยินยอมการรื้อถอนก็ขอลาออกไปเมื่อต้นเดือนพร้อมกับเงินที่เจ้าสัวกิตติให้ไปครับ”
“หาคนของเรามาทำหน้าที่นี้แทนซะ ส่วนเงินทุนที่เจ้าสัวกิตติเคยลงทุนกับโรงน้ำชาหลังนี้ก็ใช้คืนเขาไปให้หมด เอาไปโปรยที่หน้าบ้านมันได้ยิ่งดี”
“ได้ครับคุณพญา”
พญาก้าวขึ้นไปนั่งบนรถขณะที่อ่านเอกสารยินยอมการรื้อถอนที่มีลายเซ็นของผู้ดูแลคนเก่าอยู่บนนั้น เขาแค่นหัวเราะอย่างหงุดหงิดก่อนจะฉีกเอกสารนั้นทิ้งทันที
“ไปที่ศาลเจ้า”
“แต่ว่าตอนบ่ายคุณพญามีประชุม…”
“คิดว่าอารมณ์ของฉันในตอนนี้ยังไปประชุมได้อีกหรือไง”
“อึก…ครับ”
เตชินรีบหันไปบอกให้คนขับออกรถทันที เขาเหลือบมองเจ้านายของตนเองเล็กน้อยก่อนจะพบว่าใบหน้าคมคายนั้นเคร่งขรึมและบรรยากาศก็หนักอึ้งยิ่งกว่าเมื่อเช้านี้เสียอีก
ร่างสูงหัวเสียกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เจ้าสัวกิตติเหิมเกริมมากเกินไปแล้ว แน่นอนว่าเขาก็พอจะเดาออกว่าคนร้ายที่ลอบวางยาในอาหารของเขาที่ภัตตาคารคงจะเป็นคนของเจ้าสัวกิตติอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ว่าคนร้ายจะไม่ยอมปริปากบอกตัวคนบงการแต่การที่เจ้าสัวกิตติไม่มางานเลี้ยงในวันนั้นคงจะไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่
บางทีคำขู่ของเขาในวันนี้คงจะทำให้ตาแก่นั่นเจียมตัวได้บ้าง มิฉะนั้นมือของเขาคงจะต้องเปื้อนเลือดคนกันเองเข้าสักวัน
พญาก้าวเข้าไปยังที่สักการะทันทีที่มาถึงศาลเจ้าเลี่ยงหวง เขาจุดธูปไหว้องค์เทพทั้งหลายเบื้องหน้าและอธิษฐานถึงมารดาผู้ล่วงลับ ขอให้หล่อนให้อภัยเขาที่วันนี้ไม่อาจปกป้องโรงน้ำชาที่หล่อนรักได้
ก้านธูปถูกปักลงกระถางดิน กลิ่นควันลอยคละคลุ้งตามแรงลมพัดพาลให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา พญาลุกขึ้นยืมเต็มความสูงก่อจะหันไปเห็นซินแสจื้อเข้าพอดี
“มีเรื่องหนักใจอีกแล้วหรืออาเหวิน”
พญาแค่นยิ้มกับตนเองบางเบา หลายครั้งเขามาที่นี่ด้วยความร้อนใจเมื่อบางอย่างไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ และเขาก็หวังว่าซินแสจื้อจะตอบข้อสงสัยในใจที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้เสียที
ไม่ใช่เพราะคำถามนั้นยากเกินจะหาคำตอบได้
แต่ดูเหมือนว่าคำถามข้อนั้นจะไร้ซึ่งคำตอบเสียมากกว่า
“ครับซินแส” พญาตอบรับอย่างตรงไปตรงมา หากเพราะซินแสก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เขาไว้ใจมาโดยตลอด “พอดีมีเรื่องนิดหน่อยครับ”
“มีเรื่องที่ผู้นำตระกูลหยางอย่างลื้อจะจัดการไม่ได้ด้วยหรือ อั๊วคิดว่าไม่มีหรอกนะ”
“ซินแสเชื่ออย่างนั้นหรือครับ”
“คนอื่น ๆ บอกว่าลื้อมีดวงตาที่สามไม่ใช่หรืออย่างไร ลื้อถึงได้ตัดสินใจกับเรื่องในอนาคตได้ถูกต้องอยู่เสมอ” ซินแสหัวเราะเล็กน้อย เขามองชายหนุ่มด้วยแววตาคล้ายกับจะยิ้มได้
พญาระบายยิ้มอ่อนกับฉายาที่ผู้คนมักจะใช้เรียกเขา มันก็แค่คำยกยอปอปั้นในสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการเลยสักนิด แต่สุดท้ายก้นบึ้งของหัวใจก็ยังหวังในคำทำนายของซินแสจื้ออยู่ดี
หากเพราะเรื่องราวหลังจากนี้ยากต่อการคาดเดายิ่งนัก
“ยังหวังให้อั๊วทำนายอนาคตต่อจากนี้อีกหรืออาเหวิน”
“นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมมาที่ศาลเจ้าเกือบทุกครั้งที่ร้อนใจไม่ใช่หรือครับ”
ถึงจะเอ่ยเช่นนั้นแต่ซินแสรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่กำลังหลงทางในวังวนชีวิตของตนเองก็เท่านั้น
“ดวงตาที่สามของผมคงจะมืดบอดลงไปแล้วล่ะครับซินแส”
“ถึงอย่างนั้นอั๊วก็ไม่อาจทำนายให้ลื้อได้หรอกนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวลื้อ ดังนั้นลื้อก็ต้องเป็นคนตามหาคำตอบนั้นเอง”
“แล้วถ้ามันไม่มีคำตอบตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ”
“นั่นก็หมายความว่าโชคชะตาลิขิตมาแล้วอย่างไรล่ะ”
ชายหนุ่มไม่เคยหวั่นเกรงกับสิ่งใดมาก่อนจนกระทั่งได้รู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานั้นน่าหวาดกลัวมากเพียงใด
*
เข้าวันที่สามแล้วที่หลิวไม่ได้ไปทำงานที่ท่าเรือราชวงศ์ตอนเช้าและเลือกที่จะมาทำงานที่ภัตตาคารแทน
เขายังคงรู้สึกผิดกับเถ้าแก่ไม่หาย ตั้งแต่คืนนั้นมาข่าวลือเรื่องที่คนร้ายแฝงตัวเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านก็เป็นที่พูดถึงกันไปทั่วและจำนวนลูกค้าก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด วัตถุดิบในครัวที่เคยไม่พอกลับเหลือเต็มกระสอบ เถ้าแก่เองก็นั่งกุมขมับด้วยความเครียดจนลูกจ้างในร้านหดหู่ไปตาม ๆ กัน
“อาหลิว เจ๊เหมยเรียกลื้อไปช่วยงานทางนู้นน่ะ”
“เรียกผมเหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะซี รีบไปเร็ว เจ๊แกจะให้ไปช่วยยกลังเสื้อผ้า”
หลิวรีบวางถังน้ำที่เพิ่งขนลงจากรถเข็นลงกับพื้น ร่างโปร่งยกมือปาดเหงื่อก่อนจะรีบเดินไปหาเหมยลี่ นักร้องหญิงอันดับหนึ่งของร้านที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัว แม้จะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดเหมยลี่ถึงเรียกใช้เขาได้ ทั้งที่พวกเราแทบจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“เจ๊เหมย ผมมาแล้ว”
“เข้ามาข้างในเลยอาหลิว”
เสียงของเหมยลี่ตะโกนออกมาจากในห้อง หลิวลังเลเล็กน้อยที่จะเข้าไปในห้องแต่งตัวของหล่อน เพราะเขาจำได้ว่าเหมยลี่เกลียดหน้าตาอัปลักษณ์ของเขาอย่างกับอะไรดี ทุกครั้งที่หล่อนเรียกใช้เด็กในร้านก็มักจะหลีกเลี่ยงเขาเสมอ
หรือว่าวันนี้คนอื่น ๆ อาจจะไม่อยู่ให้หล่อนเรียกใช้กัน
“ช่วยเจ๊ขนลังเสื้อผ้านั่นออกไปหน่อย มันเป็นชุดเก่าของเจ๊ที่จะเอาไปขายมือสองน่ะ”
“ได้ครับ” หลิวตอบรับคำหลังจากเดินเข้าไปด้านในห้องแต่งตัวของนักร้องสาว ร่างโปร่งก้มลงกำลังจะหยิบกล่องลังที่วางอยู่กับพื้นแต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องของเหมยลี่เสียก่อน
“โอ๊ย!”
“เจ๊เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” หลิวร้องถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นเหมยลี่ซวนเซนั่งลงที่เก้าอี้พลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาของตนเอง
“อะไรก็ไม่รู้เข้าตาเจ๊ เจ็บมากเลยอาหลิว”
“ไหวไหมครับ ให้ผมไปตามคนมาพาเจ๊ไปหาหมอไหมครับ” หลิวละล่ำละลักอย่างทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นเหมยลี่ขยี้ตาตนเองแรงขึ้นจนแดงช้ำ
“ไม่ต้อง ๆ หลิวมาดูให้เจ๊หน่อยสิ”
ยังไม่ทันที่หลิวจะได้ตัดสินใจก็ถูกเหมยลี่ดึงเข้าไปใกล้เสียแล้ว ร่างโปร่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อจู่ ๆ เหมยลี่ก็รั้งคอเขาลงไปหาจนปลายจมูกเกือบชนกัน หล่อนโอดครวญเสียงหวาน อีกทั้งยังยึดไหล่เขาไว้แน่นจนหลิวต้องประคองหล่อนไม่ให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้
“ก้มหน้ามาใกล้ ๆ สิอาหลิว ช่วยดูให้เจ๊หน่อยว่ามีอะไรอยู่ในตาข้างนี้ของเจ๊ไหม” เหมยลี่ขยับเข้าหา ผ้าคลุมผืนบางที่ปกปิดไหล่เนียนของหญิงสาวหลุดรุ่ยลงพื้น
“เอ่อ เจ๊เหมยปล่อยก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผม…”
ประโยคที่ชายหนุ่มเอ่ยขาดห้วงไปทันทีที่หญิงสาวเข้ามาใกล้ชิดเสียจนหน้าอกอวบอัดของหล่อนบดเบียดสัมผัสที่เดียวกัน หลิวอึกอักคล้ายกับไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เขาพยายามดันหล่อนออกแต่หญิงสาวกลับจับไหล่เขาไว้แน่น
“เจ๊เหมยครับ ผมว่า…”
ปัง!
“เฮ้ย! มึงทำอะไรเมียกูวะไอ้หลิว!”
ทันใดนั้นประตูที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกจากด้านนอก ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเข้ามากระชากเขาให้ออกห่างจากเหมยลี่แล้วเหวี่ยงลงพื้น
“อั่ก!”
หลิวร้องออกมาด้วยความเจ็บ สะโพกของเขากระแทกพื้นอย่างแรงจนน่าจะเกิดรอยช้ำ ยังไม่ทันที่จะได้ลุกขึ้นและอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด นายแสง สามีของเหมยลี่ที่เป็นนักดนตรีประจำวงของร้านก็รุดเข้ามาคร่อมตัวเขาไว้และหวดหมัดลงมาไม่ยั้ง
หลิวพยายามขัดขืนและยกมือป้องกันตนเองแต่ก็สู้แรงของนายแสงไม่ได้ ในตอนนั้นเองเขาถึงได้เห็นว่าเถ้าแก่กวงยืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับลูกจ้างในร้านอีกหลายคนแล้ว
“หยุด!”
เถ้าแก่ออกคำสั่งเสียงดังแต่นายแสงก็ยังไม่ยอมหยุดจนคนอื่น ๆ ต้องเข้ามาจับแยก
“ผม…อึก ผมไม่ได้ทำอะไรเจ๊เหมย อึก เลยนะครับ”
หลิวพยายามขยับริมฝีปากบวมช้ำเป็นคำพูด เลือดที่ไหลตรงมุมปากหยดลงบนหลังมือขณะที่เช็ดมันออก ร่างโปร่งยึดโต๊ะด้านหลังเอาไว้และค่อย ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นมาจากพื้น
“กูเห็นเต็มสองตาว่ามึงกำลังจะปล้ำเมียกู! มึงยังจะโกหกอีกหรือวะไอ้หลิว!” นายแสงสบถคำออกมาด้วยความโกรธและพยายามจะเข้ามาทำร้ายหลิวอีกครั้ง โชคดีที่คนอื่น ๆ จับตัวนายแสงไว้ได้ทัน
หลิวส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน เขายกมือสั่นเทาขึ้นมาไหว้ร้องขอความเป็นธรรม สายตาของเถ้าแก่และคนในร้านที่มองมาทางเขาด้วยความผิดหวังเริ่มทำให้หลิวใจเสีย
“ถะ…เถ้าแก่ลองถามเจ๊เหมยดูก็ได้นะครับ”
“ว่าไงอาเหมยลี่ อาหลิวทำอะไรลื้อจริงหรือเปล่า”
หลิวหันไปมองหญิงสาวอย่างคาดหวังว่าหล่อนจะแก้ต่างให้ แต่แล้วก็ตัวเขาก็ชาไปทุกส่วนเมื่อเห็นใบหน้าเรียบเฉยของหล่อนเมื่อครู่นี้กลับเต็มไปด้วยหยดน้ำตาอย่างเสแสร้ง
“เจ๊เหมย! เจ๊เหมยบอกไปสิว่าผมไม่ได้ทำอะไรเจ๊!” หลิวตะโกนใส่หล่อนอย่างหมดหนทาง เหมยลี่ทำทีเป็นสะดุ้งด้วยความตกใจคล้ายกับกลัวว่าเขาจะทำอะไรหล่อนไปมากกว่านี้
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตาก่อนจะเค้นเสียงสะอื้นตอบคำถามเถ้าแก่ราวกับเหยื่อที่ถูกกระทำ
“อาหลิว ฮึก อาหลิวเข้ามาในห้องฉัน แล้วก็จะทำไม่ดีไม่ร้ายฉัน ฮึก”
“ไม่จริงนะครับเถ้าแก่ ไม่จริงนะครับ เจ๊เหมยเป็นคนเรียกผมเข้ามาในนี้เอง” หลิวคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวกราบกรานเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าและปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
หากแต่เหมยลี่นั้นแสดงบทบาทของหล่อนได้ดีจนเกินไป คำพูดของเขาจึงกลายเป็นแค่คำแก้ตัวโง่ ๆ ในทันที
“อั๊วผิดหวังกับลื้อมากนะอาหลิว อั๊วนึกว่าลื้อจะเป็นคนดีกว่านี้เสียอีก”
“เถ้าแก่ครับ! ผม…”
“อั๊วไล่ลื้อออก อย่ากลัยมาเหยียบที่นี่อีก ไม่อย่างนั้นอั๊วจะจับลื้อส่งตำรวจทันที”
ราวกับว่าฟ้าฝ่าลงมาที่กลางหัวของเขา หลิวนั่งนิ่งอยู่กับพื้นจนกระทั่งเถ้าแก่พูดจบและเดินออกไป หลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นรุมก่นด่าและสาปแช่งเขากันไม่ขาดปาก นายแสงที่ถูกปล่อยตัวแล้วรีบเข้าไปประคองเหมยลี่ที่ร้องไห้อยู่ตรงนั้น หล่อนซบใบหน้าลงกับไหล่ของสามีและเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
เหมยลี่งดงามปานนางฟ้านางสวรรค์ เพราะเหตุนั้นแล้ว ใครจะมาเชื่อคำพูดของไอ้อัปลักษณ์อย่างเขากัน
“เจ๊ทำแบบนี้ทำไม”
หลิวเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ ใบหน้าสวยแสนเศร้าเมื่อครู่นี้กลับมาเหยียดยิ้มโดยที่ไม่มีใครเห็น เช่นเดียวกับนายแสงที่เยาะเย้ยใส่เขาราวกับว่าไม่เคยโกรธกันมาก่อนหน้านี้
หลิวเบิกตากว้างเมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคน
“เพราะแกมันตัวซวยของร้านอย่างไรล่ะ ตั้งแต่แกมาทำงานที่นี่ก็สร้างความเดือดร้อนในร้านไม่หยุดหย่อน ไหนจะหน้าตาขี้เหร่ของแก ไหนจะเรื่องที่แกเสร่อไปจับตัวคนร้ายอีก”
“…”
“เหอะ ในเมื่อเถ้าแก่ไม่ไล่แกออกไปสักที ฉันก็เลยต้องทำแบบนี้อย่างไรล่ะ”
“…”
“อย่าโกรธกันเลยอาหลิว ถ้าจะโกรธก็โกรธที่แกเกิดมาหน้าตาน่าเกลียดจนเป็นตัวกาลกิณีแบบนี้เถอะ”
เหมยลี่พูดจบเพียงเท่านั้นก็เสแสร้งร้องไห้อีกครั้งและเดินจากไป
หลิวพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นทั้งที่ไร้เรี่ยวแรง เขาเดินผ่านสายตาของทุกคนที่มุงดูด้วยความเกลียดชังออกมาจนถึงหน้าร้านและไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้วยความอาลัยอาวรณ์อีก นั่นเพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ร้องไห้จนหมดเสียงก็คงไม่มีใครมาเห็นใจ
หลิวเคยชินกับการถูกปฏิบัติเช่นนี้แล้ว
ท้ายที่สุดหน้าตาอัปลักษณ์ของเขาก็เป็นต้นเหตุของทุกเรื่องเลวร้ายในชีวิตนี้อยู่ดี
*
กว่าหลิวจะตั้งสติกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว เขาไม่ได้กลับบ้านหรือนั่งร้องไห้อย่างคนขี้แพ้อย่างที่ใจอยากทำ นั่นเพราะชีวิตที่ต้องดิ้นรนทุกวินาทีนั้นบังคับให้เขาไม่อาจเสียเวลาไปกับความเสียใจที่มีได้
หลิวตัดสินใจแล้วว่าจะทำงานแบกหามที่ท่าเรือเป็นงานหลักแทนงานที่ถูกไล่ออกจากภัตตาคารมา ส่วนตอนเย็นก็คงต้องหารับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ประทังชีวิตไป
แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ไม่เข้าข้างคนอย่างเขาเช่นเคย
“ขอโทษทีนะอาหลิว อั๊วเห็นลื้อลางานไปหลายวันอั๊วก็เลยหาคนใหม่มาแทน อั๊วว่าจะให้คนไปบอกลื้ออยู่พอดีว่าพรุ่งนี้ลื้อไม่ต้องมาทำงานที่ท่าเรือกับอั๊วแล้ว”
เถ้าแก่ที่ท่าเรืออธิบายอย่างรู้สึกผิด หลิวจึงได้แต่ยิ้มรับแม้ในใจจะกังวลกับชีวิตต่อจากนี้ก็ตาม
มันเป็นความผิดของเขาเอง หากเขาเป็นนายจ้างก็คงไม่จ้างคนที่ลางานกะทันหันหลายวันแบบนี้ต่อไปเหมือนกัน สู้ไปจ้างคนมาทำงานให้เป็นประจำเสียยังดีกว่า
“นี่เงินค่าจ้างก้อนสุดท้ายของลื้อ รับไปสิ”
“ขอบคุณครับ”
“เฮ้อ เอาเป็นว่าถ้าลื้อมีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็มาปรึกษาอั๊วได้ ถ้าอั๊วช่วยได้อั๊วก็จะช่วยนะอาหลิว”
เถ้าแก่ตบไหล่ให้กำลังใจเขาเบา ๆ แล้วจากไป หลิวทอดถอนหายใจอย่างอดกลั้น ร้อนผ่าวที่ขอบตาเสียจนต้องรีบหันหลังเดินออกมาเพราะไม่อาจกลั้นมันไว้ได้อีก
เหตุใดโชคชะตาถึงโหดร้ายกับเขาเช่นนี้
แม้แต่การที่เขายังมีลมหายใจอยู่ก็กลับกลายเป็นความผิดบาปไปแล้วอย่างนั้นหรือ
เด็กหนุ่มเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อยออกมาจากท่าเรือ เขาเดินอย่างไร้จุดหมายและหมดความหวัง ก่อนจะหยุดลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งไร้ผู้คนผ่านไปมา
และเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็ไม่อาจฝืนใจได้อีกต่อไป
ร่างโปร่งซบใบหน้าลงกับฝ่ามือก่อนจะเริ่มร้องไห้จนไหล่บางสั่นสะท้าน
เขาโกรธ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรคนพวกนั้นได้
เขาเสียใจ แต่ก็ไม่อาจเรียกร้องให้ใครมาเอ่ยขอโทษได้
เขาเหนื่อย แต่ก็ไม่อาจยอมแพ้กับชีวิตห่าเหวนี้ได้
ทั้งที่ควรจะคิดหาหนทางต่อแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมืดทั้งแปดด้าน หลิวจึงปล่อยให้ตนเองได้ระบายความอัดอั้นผ่านหยดน้ำตาเสียให้พอใจ เผื่อว่าวันพรุ่งนี้คนโชคร้ายเช่นเขาจะคิดหาทางออกดี ๆ ได้บ้าง
มือเล็กยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวก ๆ หน้าตาของเขาตอนนี้คงจะน่าเกลียดน่าดู หากใครมาเห็นคงไม่วายจะต้องรังเกียจอย่างแน่นอน
ในระหว่างที่คิดว่าจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิต เสียงในท้องก็ร้องประท้วงขึ้นมาพร้อมกัน เวลานี้ก็เกือบค่ำแล้ว เขายืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้นี้อยู่หลายชั่วโมงและยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า ดังนั้นเขาควรจะทำให้ท้องตนเองอิ่มเสียก่อนที่จะคิดแก้ไขปัญหาต่อไป
หลิวตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังตลาดที่เป็นทางผ่านระหว่างทางกลับบ้าน เขาซื้อข้าวหนึ่งกล่องและน้ำหนึ่งขวด ตั้งใจเอาไว้ว่าจะประหยัดจนกว่าจะได้งานใหม่ จากนั้นจึงตรงกลับบ้านเพื่อพักผ่อน
แต่ทว่าในระหว่างที่เขาเดินใจลอยอยู่นั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายจากที่ไหนสักแห่งก็ดังขึ้นก่อนที่ใครคนหนึ่งจะวิ่งออกมาจากตรอกด้านหน้าและชนกับเขาเข้าอย่างจัง
ตุ้บ!
“โอ๊ย!”
ทั้งคู่ล้มลงกับพื้น หลิวกอดถุงข้าวของตนเองเอาไว้แน่นก่อนจะหันไปหาคนแปลกหน้าที่วิ่งเข้ามาชน คนผู้นั้นดูรีบร้อนคล้ายกับกำลังวิ่งหนีใครบางคนอยู่
“คุณเป็นอะ…”
หากแต่พอได้เห็นใบหน้าร้อนรนของอีกฝ่ายภายใต้หมวกปีกกว้างนั่นแล้ว คำพูดทั้งหมดของเขาก็ถูกกลืนลงไปราวกับคนบื้อใบ้ในทันที
“…คุณเพ่ย”
หลิวเบิกตากว้างด้วยความตกใจจนเกือบจะทำถุงข้าวหล่นลงพื้น มือบางเผลอคว้าแขนของเพ่ยเอาไว้แน่นก่อนที่อีกฝ่ายจะวิ่งหนีไป
ไม่จริงน่า ทำไมเจ้าสาวของคุณพญามาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน