จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘คาสโนว่าตัวพ่อ’ ดันเกิดถูกใจ‘ยัยนักร้องสาวสวย’ ที่ใครใครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอคนนี้หยิ่งและถือตัวสุดๆ!! งานนี้เขาจะสามารถคว้าตัวและหัวใจของเธอได้หรือไม่?

Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง - ตอนที่5 หัวใจที่แตกสลาย โดย Sugar Brown @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ญี่ปุ่น,ยุคปัจจุบัน,อ่านฟรี,ไอดอล,รักโรแมนติก,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ญี่ปุ่น,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

อ่านฟรี,ไอดอล,รักโรแมนติก,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง โดย Sugar Brown @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จะเป็นอย่างไรเมื่อ ‘คาสโนว่าตัวพ่อ’ ดันเกิดถูกใจ‘ยัยนักร้องสาวสวย’ ที่ใครใครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอคนนี้หยิ่งและถือตัวสุดๆ!! งานนี้เขาจะสามารถคว้าตัวและหัวใจของเธอได้หรือไม่?

ผู้แต่ง

Sugar Brown

เรื่องย่อ

*นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งเพียงเท่านั้น ตัวละคร ชื่อสถานที่ต่างๆเป็นเพียงแค่นามสมมติไม่มีอยู่จริง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน*


ขอฝากนิยายเรื่องแรกของไรท์ไว้ในอ้อมอก อ้อมใจของนักอ่านทุกคนด้วยนะคะ


สุดท้ายนี้อย่าลืมกดติดตาม กดถูกใจ และเพิ่มนิยายเข้าชั้นหนังสือเพื่อเป็นกำลังใจในการอัพเดตแก่นักเขียนกันนะคะ


-อัพเดตทุกวัน อ,พ,พฤ,ส,อา-


.


.


*นักอ่านสามารถติดตามการอัพเดตนิยายก่อนใครได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้เลยค่ะ*


TIKTOK: นามปากกาชูก้าร์ บราวน์


FB: นามปากกาชูก้าร์ บราวน์

สารบัญ

Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง-ตอนที่1 MUSE,Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง-ตอนที่2 คุณท่านผู้นั้น,Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง-ตอนที่3 The Black Entertainment ,Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง-ตอนที่4 Music X,Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง-ตอนที่5 หัวใจที่แตกสลาย,Bind love and heart ผูกรักมัดใจยัยนักร้อง-ตอนที่6 6 Years later

เนื้อหา

ตอนที่5 หัวใจที่แตกสลาย

“ม..มะเร็ง...”

         “คนไข้ป่วยเป็นลูคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้ายครับแล้วตอนในนี้อาการของคนไข้ก็ย่ำแย่มากพอสมควร เนื่องจากมีสภาวะโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นครับ”

         “พอจะมีทางรักษาหรือยืดระยะเวลาได้มั้ยครับคุณหมอ”

         “หมอต้องขอโทษด้วยนะครับตอนนี้เราคงทำได้เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น เพราะคนไข้เลือกที่จะปฏิเสธเข้ารับการรักษา จึงเป็นเหตุทำให้ร่างกายของคนไข้อ่อนแอจนไม่สามารถตอบสนองกับตัวยาได้แล้วครับ...ว่าแต่พวกคุณทั้งสองไม่ทราบเลยใช่มั้ยครับว่าคนไข้ป่วยเป็นโรคนี้”

         “ไม่...ไม่ทราบเลยค่ะ...”

         “หมออยากจะให้คุณทั้งสองคนเตรียมใจไว้นะครับเพราะคนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่สองสัปดาห์ หากคนไข้ฮึดสู้ก็อาจจะอยู่ต่อได้ถึง 1-2 เดือน...ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวไปดูเคสอื่นก่อนนะครับ”

         ทันทีที่นายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้เดินออกไปน้ำใสๆก็ได้ไหลออกจากดวงตาของเด็กสาวที่ยังคงนั่งอ่านเอกสารในมือของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาเพื่อหวังมันอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกเพียงเท่านั้น

         “ยูอิ...”

         “คุณอา...หนูจะทำยังไงดี...ฮือๆ”

         สุดท้ายแล้วเธอไม่ก็มิอาจกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นที่สั่นเทาของตัวเองได้อีกต่อไป...ชายวัยกลางคนที่เห็นหลานสาวของตัวเองนั่งร้องไห้ตัวโยนเขาทำได้เพียงแค่เข้าไปกอดปลอบเธอ...เพราะเขาไม่สามารถพูดคำว่า ‘มันจะไม่เป็นอะไรทุกอย่างจะต้องโอเค’ กับเธอได้เพราะสิ่งที่หลานสาวของเขาได้รับรู้ในวันนี้นั้นมันช่างน่าเจ็บปวดใจเสียเหลือเกิน...หัวใจของเด็กคนนี้จะแตกสลายขนาดไหนกันนะเขาเองก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ

         หลังจากที่ทั้งสองออกมาจากห้องของแพทย์ยูอิก็ขอปลีกตัวออกไปด้านนอกเพียงคนเดียวโดยมีแค่คุณอาของเธอที่เดินกลับมายังหน้าห้อง ICU เพียงเท่านั้น เมื่อชายวัยกลางคนกลับมาถึงเขาก็เห็นว่าเด็กหนุ่มทั้งสามคนเพื่อนของหลานสาวของตนนั้นยังคงอยู่ครบทุกคน เขารู้สึกดีใจที่อย่างน้อยโลกใบนี้ก็ยังส่งเพื่อนที่ดีขนาดนี้มาให้เธอ

         “ขอบคุณพวกเธอมากนะที่เป็นเพื่อนที่ดีให้กับยูอิ...ฉันขอบใจพวกเธอมากจริงๆ”

         “ค...คุณอาครับ!!”

         เด็กหนุ่มทั้งสามรีบเข้าไปจับตัวของชายวัยกลางคนอย่างโทจิทันทีที่เห็นว่าเขานั้นทำท่าที่จะก้มศีรษะขอบคุณพวกเขาทั้งสามคน เมื่อสามหนุ่มเข้าไปใกล้ๆคุณโทจิก็ถึงกับผงะกับภาพที่พวกเขาทั้งหมดนั้นเห็น เพราะภาพที่เขาเห็นนั้นคือคุณอาโทจิเขา...กำลังร้องไห้ ทั้งสามพาชายวัยกลางคนอย่างโทจิไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาว ก่อนที่เซย์จินั้นเลือกที่จะเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

         “มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณอา” 

         “ผลการตรวจระบุว่าแม่ของยูอิป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว...ระยะสุดท้ายอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 2สัปดาห์...”

         “........”

         เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสามคนได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถพูดอะไรออกมาได้เลยสักคน ขนาดพวกเขาที่เป็นเพียงแค่เพื่อนของลูกสาวยังรู้สึกตกใจขนาดนี้แล้วเพื่อนของเขาอย่างยูอิที่เป็นลูกสาวล่ะ...เธอจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มากแค่ไหนกันเชียว ฮารุที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้ก่อนใคร ก็ได้มองไปรอบๆเพื่อมองหาใครสักคน

         “คุณอาครับแล้วพี่ยูอิล่ะครับ”

         “เธอบอกว่าอยากจะขอเวลาอยู่คนเดียวสักครู่น่ะ”

         “ปล่อยไว้คนเดียวแบบนั้นจะดีเหรอครับ” โฮชิที่ดูเป็นห่วงยูอิจึงเอ่ยปากถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าเพื่อนของตัวเองหายไปได้สักพักใหญ่ๆแล้ว

         “ผมว่าเราโทรตามให้เธอกลับมาดีกว่าครับปล่อยไว้แบบนั้นไม่ดีแน่” เซย์จิที่เห็นด้วยก็ได้หันไปบอกกับโทจิ 

         โทจิเองก็เริ่มคิดตามและรู้สึกว่าเห็นด้วยกับเด็กหนุ่มทั้งสามคนจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทสีน้ำตาล พร้อมกับกดต่อสายตรงไปยังหลานสาวของตัวเองแต่ปรากฎว่าปลายสายไม่มีการตอบรับเลยสักนิด

         “รับสิยูอิ...รับสายอาสิ” โทจิยังคงกดโทรติดต่อหายูอิซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้ายปลายสายนั้นก็ไม่มีการตอบรับอยู่ดี

         “ยูอิไม่รับใช่มั้ยครับ”

         “อืม เธอไม่รับสายเลย”

         “งั้นเดี๋ยวพวกเราจะออกไปตามหาเธอให้เองครับคุณอาใจเย็นๆแล้วนั่งรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ”

         “ฝากด้วยนะ”

         “ครับ”

         ทั้งสามคนรีบปลีกตัวออกมาจากจุดหน้าห้อง ICU ทันที โฮชิรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่เขาจะรีบต่อสายหาใครสักคน ไม่นานปลายสายก็กดรับในทันที

         “ฮัลโหล เร็นตอนนี้นายถึงไหนแล้ว”

         [ฉันใกล้ถึงโรงพยายบาลแล้วมีอะไรรึเปล่า]

         “ยูอิหายไป”

         [ว่าไงนะ!]

         “ตอนนี้พวกเรากำลังออกตามหาฝากนายหาตัวยัยนั่น ระแวกแถวทางนั้นทีนะเดี๋ยวทางนี้พวกฉันสามคนจะแยกกันไปตามหาระแวกใกล้เคียงโรงพยาบาล”

         [โอเค ถ้าเจอแล้วโทรมาบอกกันด้วยล่ะ]

         “เอองั้นแค่นี้แหละ”

         โฮชิวางสายจากเร็นไปเป็นที่เรียบร้อย แล้วพวกเขาทั้งสามคนก็เริ่มแยกย้ายกันออกไปตามหายูอิที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เขานึกเพียงแค่ว่าภาวนาขออย่าให้มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเพื่อนของพวกเขาเลยนะ

         สายฝนที่โหมกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักหน่วงพร้อมกับเร็นที่ตอนในนี้ตัวของเขาเองก็กำลังวิ่งออกตามหาตัวของยูอิอยู่เช่นกัน เร็นออกตามหาในทุกที่ ที่เขาพอจะนึกออกว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง 

         “เธอไปอยู่ที่ไหนกันนะยูอิ” เร็นยังคงออกตามหายูอิอย่างไม่หยุดแม้ว่าฝนจะตกหนักขนาดไหนเขาก็จะตามหาเธอให้เจอ และในจังหวะนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงแตรรถที่ส่งเสียงเหมือนกำลังบีบไล่อะไรสักอย่างพร้อมกับเสียงตะโกนด่าทออย่างรุนแรง

 เมื่อเร็นหันไปมองสิ่งที่เขาเห็นนั่นคือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพที่ดูเลื่อนลอยไม่มีสติ เธอกำลังนั่งขวางหน้ารถอยู่ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำพร้อมกับเสียงบีบแตรและเสียงตะโกนด่าทอของผู้ขับรถที่เธอนั่งขวางเอาไว้

         “นังบ้านี่อยากตายมากรึไงวะจู่ๆ ก็ข้ามถนนมาไม่มองสัญญาณไฟแบบนี้!!!”

         “ยูอิ!!!” เร็นรีบวิ่งเข้าไปทันทีที่เห็นว่าคนขับรถนั้นกำลังจะลงจากรถเพื่อมาลากยูอิออกไป เร็นได้เข้าไปขวางและรีบดึงยูอิให้ลุกขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะกล่าวคำขอโทษแก่คนขับผู้นั้น

         “ต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”

         “ถ้าสติไม่ดีก็ดูแลดีๆหน่อยสิวะ! ปล่อยให้มาวิ่งเพ่นพ่านแบบนี้ถูกรถชนตายขึ้นมาก็ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนกันหมด!” เมื่อกล่าวคำด่าทอจบชายผู้นั้นก็รีบขึ้นรถและออกรถไปในทันที ท่ามกลางสายตาของผู้คนระแวกนั้นเร็นก็รีบพยุงยูอิออกจากจุดนั้น

         “ยูอิ...ได้ยินฉันมั้ย...ยูอิ!!!” เร็นเขย่าตัวของยูอิที่ในตอนนี้เธอได้แต่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นกระบอกที่ไม่มีการตอบสนองใดๆแก่คำพูดของเขาเลย

         “ยูอิ!ตั้งสติหน่อยสิ!!” ยูอิที่ยังคงดูมีอาการเหม่อลอยต่อหน้าของเร็นก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีการตอบสนองต่อเสียงของเร็นมากขึ้นเพราะสายตาของเธอเริ่มมองขึ้นมาที่ใบหน้าของเร็นพร้อมกับน้ำตาที่กำลังไหลลงมาอาบที่พวงแก้มขาวซีดทั้งสองข้างของเธอ

         “เร็น...”

         “ใช่ ฉันเอง”

         “นายมาทำไม...นายมาช่วยฉันไว้ทำไม!!” ยูอิตะโกนใส่หน้าเร็นทั้งน้ำตาเธอทั้งพยายามดันพยายามผลักแต่ดูเหมือนว่าเร็นที่กำลังยืนจับไหล่ของเธอไว้นั้นไม่มีความสะทกสะท้านต่อพละกำลังของเธอเลยสักนิด

         “เธอตั้งสติหน่อยสิยูอิ!”

         “ฮือ ฮือ ปล่อยฉัน!ปล่อย!!”

         “ยูอิ!!”

         “ฉันอยากตาย...ฉัน!อยาก!ต...”

         เพียะ!!

         พวงแก้มที่เคยขาวซีดบัดนี้ได้กลายเป็นสีชมพูที่ขึ้นเป็นรอยแดงตามแรงตบจากฝ่ามือหนาของเร็น ยูอิที่ดูเหมือนว่าจะได้สติมากขึ้นก็ค่อยๆยกมือขึ้นจับที่พวงแก้มพร้อมกับหันหน้ามาทางเร็นอย่างช้าๆ

         “จะเลิกบ้าได้รึยัง”

         “ฮ..ฮึก...เร็น!” แทนที่เจ้าตัวจะรู้สึกโกรธเคืองที่เขาตบเธอ แต่ยูอิกลับรีบพุ่งตัวเข้าไปกอดเร็นเอาไว้อย่างแนบแน่นพร้อมกับปล่อยน้ำตาและเสียงสะอื้นออกมาอย่างไม่หยุด เร็นที่เห็นว่ายูอิเริ่มมีสติมากขึ้นเขาจึงค่อยๆใช้อ้อมแขนโอบกอดเธอด้วยความอบอุ่นพร้อมกับลูบกลุ่มผมแสนนุ่นที่ตอนนี้มันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนอย่างเบามือ

         “ใจเย็นๆ มีอะไรก็ค่อยๆพูด”

         “ฮือฮือ...ฉันจะทำยังไงดีเร็น”

         “มันเกิดอะไรขึ้นแล้วทำไมถึงเดินออกมาคนเดียวแบบนี้”

         “แม่...แม่ฉันกำลังจะตาย...”

         “อะไรนะ?”

         “แม่...เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย พอฉันรู้แบบนั้นฉันก็เลยสติหลุดแล้วเดินออกมา ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปที่ไหนก็เลยเดินออกไปเรื่อยๆจนเห็นแสงสว่างจากดวงไฟบนท้องถนนฉันก็เลยเดินเข้าไปเผื่อว่าหากฉันตื่นขึ้นมาเรื่องพวกนี้มันอาจจะเป็นแค่เรื่องฝันร้ายที่ฉันกำลังฝันอยู่...แต่มันก็ไม่ใช่...มันไม่ใช่ความฝัน...ทุกอย่างมันคือความจริง....”

         เร็นที่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาว่าเธอกำลังรู้สึกแตกสลายมากแค่ไหน เพราะสำหรับยูอิแล้วแม่ของเธอนั้นเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเธอ เร็นที่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงเพื่อให้บรรยากาศมันดีขึ้นเขาจึงทำได้เพียงแค่กระชับอ้อมกอดนี้ให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นที่พักพิงให้กับคนตัวเล็กในอ้อมแขนนี้

         ยูอิค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดของเร็นอย่างช้าๆพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำตาเม็ดเล็กๆบนพวงแก้มอย่างลวกๆ

         “ขอโทษนะที่ฉันตบหน้าเธอน่ะ” เร็นกล่าวคำขอโทษต่อยูอิทันทีที่เห็นว่าเธอเริ่มใจเย็นลงแล้ว

         “อืม ฉันไม่โกรธนายหรอกต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ช่วยดึงสติฉันกลับมา...ขอบคุณนะเร็น”

         “เธอโอเคขึ้นแล้วใช่มั้ย”

          “ก็เริ่มมีสติมากขึ้นบ้างแล้วล่ะ”

         “งั้นเรารีบกลับไปที่โรงพยาบาลกันเถอะคุณอาโทจิกับพวกนั้นกำลังรอเราอยู่”

         “อือ”

         “เดี๋ยวฉันขอโทรบอกพวกมันก่อนว่าเจอเธอแล้ว” เร็นที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบรายงานบรรดาเพื่อนๆของเขาที่หาตัวของยูอิเจอแล้ว 

         เร็นหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเองโชคดีที่กระเป๋าของเขามันเป็นแบบกันน้ำโทรศัพท์ของเขาจึงไม่ได้เสียหายอะไร เร็นได้โทรไปยังเบอร์ของโฮชิไม่นานปลายสายก็กดรับทันที

         [เป็นไงบ้างวะไอ้เร็นเจอยูอิมั้ย]

         “อืม เจอแล้ว”

         [เห้ออ ค่อยโล่งอกหน่อยแล้วไปเจอยัยนั่นที่ไหนวะ]

         “ถนนย่านคิทากะ”

         [โห! เดินไปไกลเหมือนกันนะนั่น]

         “เออเอาไว้ค่อยคุยกัน เดี๋ยวรอฝนซาลงกว่านี้อีกสักหน่อยฉันจะรีบพายูอิกลับไป”

         [เออๆเดี๋ยวฉันจะบอกคุณอาโทจิให้พวกนายก็รีบมาล่ะ]

         “เออ”

         เมื่อสายฝนที่เคยโหมกระหน่ำนั้นได้ซาลงเป็นเพียงแค่ละอองฝนเร็นและยูอิก็รีบเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาลที่เพื่อนๆและอาของเธอกำลังรออยู่

.

.

         โทจิที่เห็นว่าหลานสาวของตนนั้นกลับมาแล้วอย่างปลอดภัยเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วงที่เขามีให้เธอไม่น้อยต่างจากลูกสาวของเขาเลยสักนิด

         “ยูอิหายไปไหนมารู้มั้ยอาเป็นห่วงเธอขนาดไหน”

         ยูอิที่รู้สึกผิดกับการกระทำที่สิ้นคิดของตัวเองก็ได้แต่ก้มศีรษะและกล่าวคำขอโทษต่อคุณอาของเธอ

         “หนูขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วง” โทจิไม่ตอบอะไรแต่เขานั้นกลับลูบผมของเธออย่างแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่เขามักจะมอบให้เธออย่างอบอุ่นไม่ต่างจากคุณพ่อ และคุณปู่ของเธอเลย

         “ไม่เป็นไรแค่เธอกลับมาอย่างปลอดภัยอาก็ดีใจแล้ว”

         “ฉัน...ขอโทษพวกนายด้วยนะ” ยูอิไม่ลืมที่จะหันไปขอโทษเพื่อนๆอีกทั้งสี่คนที่กำลังยืนมองอยู่ที่ด้านหลังของเธอในตอนนี้

         “ไม่เป็นไรหรอกแค่เธอกลับมาพวกเราก็ดีใจแล้ว” โฮชิพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของเขา

         “ที่หลังอย่าหายไปแบบนี้อีกนะพี่พวกเราเป็นห่วงกันแทบแย่แหน่ะ” ฮารุรีบพูดเสริมขึ้นต่อในทันที

         “อืม ที่หลังจะไม่ทำแล้ว”

         “เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะยูอิ เธอยังมีพวกเราอยู่ตรงนี้” เซย์จิพูดพร้อมกับดีดหน้าผากของยูอิเบาๆ

         “ขอบคุณนะ...ขอบคุณที่คอยอยู่ข้างฉันเสมอ”

         “เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนอยู่แล้วสิ...ใช่มั้ยวะเร็น” โฮชิพูดพร้อมกับกอดคอของเร็นด้วยท่าทางที่กวนประสาท

         “อืม”

         “เธอโอเคขึ้นแล้วใช่มั้ย” เซย์จิยังคงถามยูอิด้วยความเป็นห่วง

         “ดีขึ้นแล้วพวกนายรีบกลับกันเถอะนี่มันก็ดึกมากแล้ว แล้ววันนี้พวกนายก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วด้วย”

         “โอเคถ้างั้นเดี๋ยวพวกเรากลับกันก่อนนะ”

         “อือ กลับกันดีๆล่ะ”

         “ดูแลตัวเองดีๆนะยูอิ” เร็นบอกกับยูอิก่อนที่เขาจะเดินจากไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อน

         “ถ้าไม่สบายใจอะไรยังไงโทรหาพวกเราได้เสมอนะพี่” ฮารุตะโกนกลับมาเบาๆพร้อมกับทำมือเป็นท่าโทรศัพท์แล้วแนบไว้ที่ข้างหูของตัวเองด้วยท่าทางที่ทะเล้นตามนิสัยของน้องคนเล็กอย่างเขา

         “อาดีใจนะที่หลานสาวของอามีเพื่อนที่ดีอย่างพวกเขา”

         “หนูก็ดีใจค่ะที่ได้เป็นเพื่อนเจ้าพวกนั้นเพราะนอกจากแม่และคุณอาแล้วก็มีเจ้าสี่คนนั้นนั่นแหละที่หนูรักเหมือนคนในครอบครัว” ยูอิพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ

         “นี่ก็ดึกแล้วอาว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”

         “ค่ะคุณอา”

1 สัปดาห์ต่อมา

ณ บ้านตระกูลอาคาชิ

         “นั่นแกกำลังจะไปไหนโทจิวันนี้เป็นวันหยุดของบริษัทไม่ใช่เหรอ”

         “คุณแม่”

         คุณนายแห่งบ้านตระกูลอาคาชิที่กำลังนั่งจิบชาร้อนรีบเอ่ยปากถามลูกชายคนเล็กของเธอทันทีที่เห็นว่าโทจินั้นมีท่าทางที่ดูเร่งรีบเหมือนมีเรื่องด่วนอะไรทั้งที่ในวันนี้เป็นวันหยุดของเขาแท้ๆ

         “แกจะไปไหน”

         “ผมจะไปโรงพยาบาลครับ” โทจิได้พูดออกตรงๆโดยไม่คิดที่จะปิดบังความจริงกับผู้เป็นแม่ของเขาเลย หญิงสูงวัยที่กำลังนั่งจิบชาร้อนได้วางแก้วชานั้นลงอย่างเบามือก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่ใบหน้าของลูกชายของเธอด้วยสายตาที่ยากเกินจะคาดเดา

         “นังผู้หญิงคนนั้น...อาการเป็นยังไงบ้าง”

         “อาการยังคงทรุดลงเรื่อยๆไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลยครับ”

         “งั้นเหรอ...แล้วเด็กคนนั้นล่ะเป็นยังไงบ้าง” ถึงแม้ว่าหญิงสูงวัยผู้นี้จะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อแต่โทจิเขานั้นรู้ดีว่าแม่ของเขากำลังหมายถึงใคร...

         “ช่วงที่เธอทราบข่าวถึงอาการที่แม่ของเธอล้มป่วยมันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำใจสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งครับ...แต่พอวันเวลาผ่านไปเธอก็มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นถึงแม้จะไม่มากแต่เธอก็กำลังพยายามครับ”

         เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่นั้นไม่มีคำพูดใดๆเพิ่มเติมโทจิจึงก้มศีรษะลงเพื่อเคารพ ก่อนที่ตัวของเขากำลังจะเดินออกไปหญิงสูงวัยที่นั่งเงียบขรึมอยู่นานก็ได้เอ่ยเรียกเขาไว้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นอีกครั้ง

         “โทจิ”

         “ครับคุณแม่”

         “ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นแกช่วยจัดการทุกอย่างให้มันถูกต้อง...แล้วก็พาเธอไปฝังอยู่ข้างๆพี่ชายของแกซะ”

         “ค...คุณแม่”

         “นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันพอจะทำให้เด็กคนนั้นได้ แล้วแกก็ไม่ต้องบอกเธอล่ะว่าฉันเป็นคนสั่งเข้าใจมั้ย”

         “เข้าใจแล้วครับ”

         โทจิที่รับฟังคำสั่งจากผู้เป็นที่แม่เรียบร้อยเขาก็ได้เดินออกจากบ้านไปทันที หญิงสูงวัยที่เห็นว่าลูกชายคนเล็กของตนนั้นเดินออกไปแล้วเธอจึงหันไปมองยังกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้องโถงภาพในรูปนั้นที่มีเธอ สามีของเธอ และลูกชายอีกสองคนของเธอ เธอมองดูรูปนั้นด้วยสายตาและใบหน้าที่เรียบเฉยเฉกเช่นมนุษย์ที่ไร้ความรู้สึก....

         “ฉันทำให้เมียและลูกของแกได้เท่านี้นะเทนมะ”

ณ โรงพยาบาล

         ยูอิที่อยู่ในชุดเยี่ยมไข้ปลอดเชื้อเธอยืนมองดูร่างกายที่ผอมซูบของแม่ตัวเองที่กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้โดยที่มีเครื่องมือช่วยหายใจและสายของเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆที่ระโยงระเยงเต็มรอบเตียงไปหมด

         “แม่...”

         ยูอิเดินเข้าไปใกล้ๆพร้อมกับค่อยๆคว้ามือที่ผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูกนั้นขึ้นมาแนบไว้ที่ข้างแก้มตัวเองพร้อมกับเอ่ยปากเรียกผู้เป็นแม่ที่กำลังหลับไหลด้วยเสียงที่แผ่วเบา...

         “แม่...แม่ได้ยินหนูมั้ย”

         ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆเธอพยายามฝืนร่างกายส่งเสียงเรียกชื่อของลูกสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเธอในตอนนี้ด้วยเสียงที่แหบแห้งและแผ่วเบา

         “ยู..ยูอิ”

         “อือหนูเอง”

         “ลูก...มาหา...แม่...อีก..แล้ว”

         ถึงแม้ว่าการฝืนร่างกายในการเปล่งเสียงพูดออกมานั้นมันจะทำให้ตนทรมานแต่ผู้เป็นแม่ก็จะอดทนต่อความเจ็บปวดนั้นเพื่อลูกสาวของตัวเอง เธออยากจะคุยกับลูกสาวของเธอให้ได้มากที่สุดก่อนที่เธอนั้นจะไม่มีโอกาสได้คุยกับลูกของเธออีกต่อไป

         “แม่รู้มั้ย...หนูมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยนะ” ยูอิยังคงเอามือที่ผอมแห้งนั้นแนบไว้ที่ข้างแก้มของตนพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ว่าจะพยายามแสดงออกมาให้มันสดใสมากขนาดไหน...สุดท้ายแฃ้วมันก็ดูออกอยู่ดีว่าเธอกำลังฝืนยิ้ม

         “หนูสอบติดมหาลัยที่หนูเคยบอกแม่เอาไว้ได้แล้วนะ...แม่ดีใจมั้ยลูกสาวแม่คนนี้น่ะเก่งสุดๆไปเลยใช่รึเปล่า” แม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดและสีหน้าของยูอินั้นจะดูยิ้มแย้มแจ่มใส แต่กลับมีน้ำใสๆกำลังไหลออกมาจากดวงตาของเธอ

         “อือ..ลูก...ของ..แม่..ก..เก่ง..มา..ก”

         “ที่หนูเก่งได้ขนาดนี้ก็เพราะว่าหนูเกิดมาเป็นลูกแม่ยังไงล่ะ เนอะ”

         “ม..แม่...ข..ขอ..โทษ...นะ..ท..ที่...มะ..ไม่”

         “แม่คะ...แม่ไม่ต้องขอโทษอะไรหนูทั้งนั้นนะ...ถึงแม้ว่าหนูกับแม่จะมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไม่เท่าไหร่แต่หนูก็ดีใจนะที่อย่างน้อยในช่วงเวลาที่หนูได้เติบโตขึ้นมานั้นมีแม่อยู่ในชีวิตของหนูด้วย หนูรู้ว่าแม่พยามรักและดูแลหนูอย่างดีเพราะงั้นแม่อย่าขอโทษหนูอีกเลยนะคะ...” ยูอิพูดขึ้นพร้อมน้ำตาทั้งที่เธอนั้นสัญญากับตัวเองไว้แล้วแท้ๆว่าจะไม่ร้องไห้และจะเข้มแข็งแต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถทำได้ตลอดทุกครั้งที่เธออยู่ต่อหน้าแม่

         “อ...อย่า...ร้อ..ง..ไห้..เลย..ล...ลูก”

         “หนูขอโทษนะคะที่หนูร้องไห้โชว์แม่อีกแล้วแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะหนูสัญญาว่าหนูจะเข้มแข็งและดูแลตัวเองให้ดี”

         “แ...แม่...รัก...ลูก...นะ”

         “หนูก็รักแม่นะคะ...แม่ไม่ต้องห่วงหนูแล้วนะ...”

         ยูอิหยุดคำพูดต่อไปที่เธอกำลังจะพูดต่อจากนี้เอาไว้ก่อนเพราะเธอรู้สึกว่าคำคำนี้มันจุกอกเกินกว่าที่จะพูดออกไปแต่เมื่อเธอย้อนกลับไปยังคำพูดของหมอที่บอกกับเธอก่อนที่เธอจะเข้ามาเยี่ยมแม่ของตัวเองนั้นมันก็ยิ่งทำให้ยูอิรู้สึกจุกอกมากยิ่งขึ้นไปอีก

        ‘หมออยากจะขอให้ญาติๆได้สั่งเสียหรือบอกอะไรกับผู้ป่วยเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ เพราะจากอาการของผู้ป่วยที่หมอได้ทำการตรวจแล้วคนไข้น่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้ครับ’

         พอนึกถึงคำพูดของหมอก่อนหน้านั้นแล้วสุดท้ายยูอิก็ตัดสินใจพูดคำคำนั้นออกไปทันในทันที

         “แม่คะต่อจากนี้แม่ไม่ต้องเหนื่อยแล้วนะ...หนูจะดูแลตัวเองให้ดี กินข้าวให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย แล้วหนูก็จะประสบความสำเร็จอย่างที่แม่อยากให้เป็น...เพราะงั้นแม่...นอนหลับพักผ่อนให้สบายนะคะ...”

         หญิงวัยกลางคนที่ได้ฟังคำเช่นนั้นที่พูดออกมาจากปากของลูกสาวของตัวเองเธอก็เผยรอยยิ้มเล็กๆนั้นออกมาพร้อมกับค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ ยูอิหันไปมองยังหน้าจอแสดงผลสัญญาญชีพจรที่กำลังแสดงตัวเลขที่กำลังลดลงเรื่อยๆ เธอก็ได้แต่นั่งเอามือปิดปากของตัวเองเอาไว้เพราะกลัวว่าเสียงร้องไห้ของเธอนั้นจะส่งเสียงเล็ดลอดออกไป....ไม่นานนักเสียงของหน้าจอสัญญาณชีพจรนั้นก็ดังขึ้นเพื่อส่งสัญญาณถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ...

-จบตอนที่5-

*โปรดติดตามตอนต่อไป*