ใครบอกว่าเด็กเนิร์ดไม่มีประสบการณ์กันล่ะ หมาป่าในคราบแกะมีอยู่จริงนะ

แกงจืด รสแซ่บ - ตอนที่ 5 - โดย ศรกามเทพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ไทย,เรื่องสั้น,โรงเรียนไทย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

แกงจืด รสแซ่บ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,วัยว้าวุ่น,ไทย,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรงเรียนไทย,เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ,แฟนตาซี

รายละเอียด

แกงจืด รสแซ่บ โดย ศรกามเทพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ใครบอกว่าเด็กเนิร์ดไม่มีประสบการณ์กันล่ะ หมาป่าในคราบแกะมีอยู่จริงนะ

ผู้แต่ง

ศรกามเทพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 1 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 2 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 3 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 4 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 5 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 6 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 7 -,แกงจืด รสแซ่บ-ตอนที่ 8 -

เนื้อหา

ตอนที่ 5 -

ถ้าลนเมื่อไรความบรรลัยจะเกิดขึ้นกับผมทันทีเพราะปกติแม้กระดุมจะกลัดง่ายมากแค่ไหนมันก็จะยากขึ้นมาทันทีจนผมกลัดอันล่างไปด้านบนจากอันบนไปทางด้านล่างจนกลายเป็นทางซิกแซกเหมือนเป็นฝีมือของเด็กอนุบาล

"จะรีบอะไรขนาดนั้น ! ? โรงเรียนไม่หนีหายไปที่ไหนหรอกนะคร้าบ" พร้อมกับเอื้อมมือจากด้านหลังของผมเพื่อที่จะแก้การกลัดกระดุมของผมให้กลับมาเป็นปกติตามเดิมโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวว่าหัวกะทิของห้องมาตอนไหนก็ไม่รู้เพราะมันเบาและเงียบอย่างกับเขาฝึกวิชานินจาจากญี่ปุ่น

แถมกลิ่นกายที่เหมือนมาทั้งสวนดอกไม้ก็ทำให้หัวใจของผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกด้วยเหมือนมันอยากจะออกจากอกเพื่อวิ่งหนีไปจากตรงนี้และทิ้งให้ผมต้องเผชิญกับคนเจ้าเล่ห์ที่ชอบถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่มีความเกรงอกเกรงใจอะไรทั้งสิ้น

"โอเคไหนดูหน่อยสิครับ" หัวกะทิของห้องว่าอย่างนั้นก่อนที่จะหมุนทั้งตัวของผมให้หน้าผมหันไปทางใบหน้าของเขาแถมยังถือวิสาสะจะเอาชายเสื้อเก็บเข้ามาในกางเกงของผมอีกด้วยจนผมถึงกับเดินถอยหลังด้วยความระแวงว่าเขาจะเอานิ้วมือมาเขี่ยตรงเป้ากางเกงในของผมเล่นรึเปล่า

"ฉะ..ฉันจัดการที่เหลือต่อเองได้ นายไม่จำเป็นต้องดูแลฉันดีขนาดนั้นหรอก" เขาเห็นผมทำหน้าเหมือนไม่ไว้ใจหัวกะทิของห้องเลยไม่มายุ่งกับผมอีกก่อนที่จะผูกเนคไทที่ผมก็ดันลืมไปว่าทำไม่เป็นจนต้องเงยหน้าและสบตากับใบหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ของเขาอย่างช่วยไม่ได้

จนหัวกะทิของห้องเหมือนจะรู้สึกตัวว่ากำลังโดนมองอยู่จึงหันมามองและเมื่อได้สบตากันและกันก็เป็นผมซะเองที่ดันเขินจนรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มทั้งสองข้าง

"อยากให้ผมหอมแก้มหรือครับ ? " แล้วยิ้มอ่อนพร้อมกับขำเบา ๆ จนผมรู้สึกหัวร้อนแทนขึ้นมาทันที

"เป็นพวกหลงตัวเองหรือ ?ฉันแค่อยากให้นายสอนวิธีผูกเนคไทต่างหากล่ะ!" หัวกะทิของห้องได้ยินแบบนั้นก็ผงกหัวแต่ก็ยังหลุดคำอีกจนผมถึงกับต้องส่งเสียงด้วยความไม่ค่อยพอใจเบา ๆ

หลุดขำทำแมวอะไร!

หัวกะทิของห้องค่อย ๆ ผูกเนคไทไปที่ละขั้นตอนอย่างใจเย็นในขณะที่สายตาดันจดจ้องมาที่ผมแทบตาไม่กระพริบ ในตอนแรกผมก็ไม่กล้าที่จะสบตาตรง ๆ ของเขาหรอก แต่ผมกลัวว่าหัวกะทิของห้องจะล้อผมว่าป๊อดเลยต้องสบตาแบบเอาชนะทั้งที่ในใจก็แค่ใจดีสู้เสือก็เท่านั้น

มันเป็นระยะใกล้ที่อีกนิดเดียวจมูกก็จะชนกันแล้วและเผื่อ ๆ อาจจะไม่จบแค่การชนจมูกก็เป็นไปได้แถมหัวใจยังเต้นแรงราวกับกลองรัวจนผมกังวลว่าเขาจะได้ยินเพราะยืนใกล้กันในระยะเผาขนซะขนาดนี้

ใช้เวลาไม่ค่อยนานเท่าไรเพราะถ้านานมากกว่านี้ผมอาจจะขาดใจตายไปซะก่อนเพราะแทบไม่ได้หายใจเพราะถ้าหายใจก็อาจจะแรงเหมือนคนกำลังมีอารมณ์ทางเพศก็เป็นได้จนอาจจะทำให้หัวกะทิของห้องมีการเข้าใจผิดกันได้และอาจจะคิดว่าผมกำลังอ่อยอยากได้ไอติมอุ่นของหัวกะทิของห้อง

"เสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ" ค่อย ๆ หายใจเบา ๆ เพื่อไม่ให้มีพิรุธก่อนที่จะเดินไปทางประตูเพื่อที่จะสวมรองเท้าอย่างเร่งรีบเหมือนเดิมเพราะเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้เอากระเป๋าเรียนมาด้วย

จากนั้นก็เอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตูในขณะที่สายตายังคงมองบนพื้นและไม่ทันได้มองว่ามีมืออีกข้างหนึ่งของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังเอื้อมมือมาสัมผัสที่ลูกบิดเช่นเดียวกัน

ความนุ่มและอุ่นที่ได้สัมผัสกับหลังมือของผมทำเอาผมถึงกับขนลุกซู่ก่อนที่จะเงยหน้าจนใบหูได้ไปสัมผัสกับสิ่งที่นุ่ม ๆ และอุ่นกว่าจากด้านหลังแถมยังมีลมอุ่น ๆ มาเป่าที่แก้มข้างหนึ่งของผมอีกด้วย

ผมชักมือกลับทันทีจนเกือบล้มอีกรอบแต่คนล่ะสถานที่ แต่โชคยังดีที่มีแขนของคนจากด้านหลังมาโอบเอวเอาไว้ได้ทันก่อนที่จมูกจะกระแทกกับพื้นหน้าประตูจนเลือดกำเดาออก

"ซุ่มซ่ามจริง ๆ เลย!" หัวกะทิของห้องพูดคำหยาบเป็นรอบที่สองจนผมเงิบเพราะไม่ชินกับมันสักที "จะให้ผมเป็นห่วงคุณมากแค่ไหนกันล่ะครับถึงจะหยุดซุ่มซ่ามอีก" ทั้งที่เป็นคำพูดของเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทกันด้วยซ้ำแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่ดูเหมือนจริงใจเพราะตอนนี้ผมดันรู้สึกเขินเหมือนโดนบอกรักทางอ้อม