เมื่อ ‘ฟราย’ ต้องนำอาหารไปส่งที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกลักพาตัวมาที่ ‘ชุมชนคนผิวเผือก’ โดยมีชายปริศนาอ้างว่าเป็นสถานที่ที่มอบการศึกษาให้แก่เด็กผิวเผือก เรื่องแปลกประหลาดจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่นั้น

Nightmares in the hell - 03 | ชุมชนคนผิวเผือก โดย ก้อนเมฆฤดูฝน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดราม่า,ผจญภัย,แฟนตาซี,ลึกลับ,สะท้อนปัญหาสังคม,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Nightmares in the hell

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,ผจญภัย,แฟนตาซี,ลึกลับ,สะท้อนปัญหาสังคม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

เมื่อ ‘ฟราย’ ต้องนำอาหารไปส่งที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกลักพาตัวมาที่ ‘ชุมชนคนผิวเผือก’ โดยมีชายปริศนาอ้างว่าเป็นสถานที่ที่มอบการศึกษาให้แก่เด็กผิวเผือก เรื่องแปลกประหลาดจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่นั้น

ผู้แต่ง

ก้อนเมฆฤดูฝน

เรื่องย่อ

สารบัญ

Nightmares in the hell-01 | ความผิดของเด็กผิวเผือก,Nightmares in the hell-02 | เด็กน้อยที่ชื่อว่า ฟราย,Nightmares in the hell-03 | ชุมชนคนผิวเผือก,Nightmares in the hell-04 | รอยเย็บและเด็กชายที่ชื่อว่า โซ

เนื้อหา

03 | ชุมชนคนผิวเผือก

เพดานไม้ผุพังไร้การซ่อมแซม สัมผัสผ้าปูที่นอนที่ไม่ได้ซักมาหลายคราและแสงไฟจากเทียนเล่มหนึ่งซึ่งถูกหลอมละลายจนเหลือเพียงน้อยนิด


ร่างบางกวาดสายตาไปมองรอบๆ ปรากฏสภาพห้องนอนอันแสนคุ้นตา มันไม่เคยเปลี่ยนไปตั้งแต่เด็กจนโต ไม่แปลกที่จะรู้ได้ในทันทีว่าเป็นห้องนอนของป้าอีฟ หญิงสาววัยทำงานที่มักช่วยเหลือเธอทุกครั้งหลังบาดเจ็บ


เมื่อตระหนักได้แล้วว่าตนนั้นอยู่ที่ไหน ฟรายก็ไม่รีรอที่จะลุกไปขอบคุณเจ้าของบ้านแต่ดันถูกพิษจากบาดแผลเล่นงานเข้าเสียก่อน เธอจึงล้มลงนอนอีกครั้งพลางเม้มปากแน่นสะกัดกั้นความเจ็บแสบเอาไว้


“เจ็บชะมัด” ฟรายบ่นพึมพำพลางขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเริ่มสังเกตร่างกายตัวเองในตอนนี้ พบว่ามีผ้าพันแผลและพาสเตอร์มากมายติดเต็มทั่วร่าง ดูเหมือนคราวนี้จะได้แผลมามากกว่าเก่า เธอไม่ชอบมันเลย


ร่างเล็กมุ้ยหน้าอย่างไม่ชอบใจแต่ก็รู้ว่าตนคงทำอะไรไม่ได้จึงยอมแพ้และเลือกนอนเฉยๆอยู่บนเตียง


“อึก”


ไม่ลืมหยีตาลงเมื่อความรู้สึกเจ็บจี๊ดเล่นงานอีกครั้ง


“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงหวานใสจากหญิงสาวดังให้เธอหันเหไปสนใจ


ฟรายพยายามจะดันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่กลับต้องทนกับความปวดร้าวจนมีสีหน้าบิดเบี้ยว เมื่อสามารถลุกขึ้นนั่งได้ตามที่ใจอยากแล้ว ฟรายก็ลอบมองผู้มาเยือนใหม่ที่ยืนอยู่บริเวณประตู


มันปรากฏหญิงสาวเรือนร่างเบาะบางผู้มีผมสีทองอร่ามและนัยน์ตาสีฟ้าใส เป็น ‘ป้าอีฟ’ ไม่ผิดแน่ ฟรายจึงกล่าวขอบคุณอย่างทุลักทุเล


“ขอบคุณที่ช่วยอีกครั้ง...”


ป้าอีฟจ้องไปที่ฟรายโดยไม่กล่าวอะไร ก่อนจะตัดสินใจรีบเอ่ยธุระของตนให้เสร็จสรรพ “ได้เวลาทำงานแล้ว วันนี้ฟรายต้องส่งของแทนไนท์ อย่าช้าล่ะ”


กล่าวสั่งแล้วค่อยจากไป


“ ... ”


ฟรายจ้องมองทุกการกระทำของป้าอีฟนิ่ง... บาดแผลเธอยังไม่หายดีเลยและสภาพในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยผ้าพันแผลกับพลาสเตอร์ หากเธอไปทำงานตามที่หล่อนบอก จะไม่เป็นการฝืนตัวเองมากไปเหรอ?


แต่ช่างเถอะ... เธอคงไม่เป็นไรหรอก เธอต้องหาเงินมาให้แม่ สิ่งนั้นสำคัญกว่า แค่นี้ไหว!




“ฟังและจำให้ดีนะฟราย เธอต้องไปส่งอาหารที่ซอย 60 บ้านเลขที่ 60/120 ห้ามทำอาหารหกเลอะเทอะเป็นอันขาด เข้าใจ๊?”


ป้าอีฟยื่นกล่องบรรจุอาหารมาให้พลางกล่าวย้ำให้เธอฟังไปหลายรอบ เธอก็พยักหน้าให้ไปหลายรอบเช่นกัน ป้าอีฟเห็นเป็นเช่นนั้นจึงปล่อยวางธุระนี้ให้เธอทำ ส่วนนางไปทำอาหารให้ลูกค้าภายในร้านต่อ ฟรายจึงละความสนใจไปเอาจักรยานและเทียนถือเผื่อไปด้วย


จริงสิ เธอยังไม่บอกใช่ไหมว่าเธอมาทำงานกับป้าอีฟ ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะได้ล้างจานและทำความสะอาดภายในร้าน แต่เพราะครั้งนี้คนที่ทำหน้าที่นี้เขาไม่สบาย เธอเลยต้องทำและเสิร์ฟอาหารแทน ส่วนเรื่องชุด เธอไม่ได้ใส่ชุดเก่าของตัวเองหรอกแต่เป็นชุดทางร้านป้าอีฟที่ยอมให้ใส่เฉพาะแค่วันนี้ มันเป็นชุดเรียบง่ายที่เน้นไปในทางสีขาว ป้าอีฟบอกว่าสีขาวคือสีที่แสดงถึงความสะอาดสะอ้านเลยเลือกสีนี้


ตั้งแต่ที่เธอได้รู้จักป้าอีฟมา หล่อนเป็นคนดีคนนึงที่ยอมทำดีกับเธอ ทั้งใจดีทั้งอ่อนโยนและมักช่วยเหลือเธอบ่อยๆ ทุกครั้งที่เธอบาดเจ็บก็มีป้าอีฟเนี่ยแหละที่ช่วยรักษาให้ ป้าอีฟเป็นคนดีคนหนึ่งที่เธอจะไม่มีวันลืมเลย


ฟรายอมยิ้มเล็กน้อยให้กับความโชคดีเล็กๆของตน เธอมองไปทางข้างหน้าและเริ่มชื่นชมแสงไฟจากภายในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสว่างมากมาย ที่นี่ดีกว่าในหมู่บ้านของเธอมาก เพราะมันมีเสาไฟส่องแสงให้ตลอดทางและแสงภายในบ้านที่ส่องสว่างออกมาถึงข้างนอก


สภาพบ้านเมืองที่นี่ดีกว่า รวมไปถึงเครื่องแต่งกายต่างๆด้วย เธอก็อยากมาอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่แม่เธอเป็นคนผิวดำ... ถ้าพามาคงโดนประณามหรือเหยียดสีผิวแน่ๆ เธอไม่สามารถทำแบบนั้นกับแม่ได้ลง ไม่มีทางแน่นอน


เพราะมัวแต่คิดอะไรอยู่ในหัวมากมาย จนเธอเกือบเลยป้ายซอย 60 ไป ดีที่ฟรายดันเหลือบเห็นป้ายทันพอดี ไม่งั้นคงได้วนไปอีกรอบ ฟรายจึงเลี้ยวเข้าซอยไป


เมื่อถึงบ้านเลขที่ 60/120 ฟรายก็หยุดยืนมองสภาพบ้านอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันดูเก่าและผุพังไม่ต่างจากบ้านร้าง มันชวนให้รู้สึกขนลุกยังไงชอบกลจนดูไม่น่าจะมีคนมาสั่งอาหารได้ มันแตกต่างจากบ้านหลังอื่นๆที่เธอผ่านมาอย่างชัดเจน


เพราะเป็นบ้านหลังสุดท้ายในซอยรึเปล่า? เลยไม่มีใครอยากอยู่... แต่ไม่เป็นไร เธอจะเข้าไป ในเมื่อลูกค้าสั่งอาหาร เธอก็ต้องส่งมันให้ถึงที่


“เอาอาหารมาส่ง”


ฟรายลองตะโกนเรียกเผื่อมีคนอาศัยอยู่ในบ้าน แต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับมา แม้จะรู้สึกหวั่นใจอยู่หน่อยๆแต่เธอก็ต้องเรียกต่อไปจึงลองมันอีกครั้งก็ยังได้ความเงียบตอบกลับมาเช่นเดิม


ฟรายยังคงไม่ยอมแพ้เรียกเจ้าของบ้านอีกหน ผลลัพธ์ก็เหมือนอย่างเคย ท้ายที่สุด... ฟรายจึงจำใจเลือกเดินเข้าไปในตัวบ้าน ผ่านรั้วไม้เตี้ยๆหน้าบ้านที่เธอสัมผัสมันเพียงครั้งเดียวก็พังลงมาทันใด เธอกล่าวขอโทษเจ้าของบ้านในใจและเปิดประตูเข้าสู่ตัวบ้าน


แอ๊ดดดด


“ขอรบกวนหน่อยได้ไหม เอาอาหารมาส่ง”


ฟรายชะเง้อแอบมองมิหนำซ้ำยังไม่ยอมแพ้ที่จะให้ใครก็ตามตอบกลับมา แต่สิ่งแรกที่เห็นทำเอาเธอตาโตเท่าไข่ห่าน มันปรากฏหยักใย่ใยแมงมุมมากมายติดตามแต่ละพื้นที่ทั้งเพดาน ตรงหน้าต่าง หรือตรงบริเวณสิ่งของเครื่องใช้


ยังไม่หมดแค่นั้น ยังมีความเละเทะของพนังกำแพงและพื้นกระเบื้องที่แตกกระจาย ความพังพินาศของเครื่องใช้ภายในบ้าน มันดูแย่มากกว่าบ้านเธอซะอีก ยิ่งเห็นสิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ชวนคิดว่าไม่มีทางที่จะมีใครอาศัยอยู่แน่ๆ


หรือป้าอีฟบอกบ้านเลขที่ผิด?


เธอคงทำได้เพียงแค่คิด แต่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจมากที่สุดคงเป็นอะไรสักอย่างที่มีสีดำๆและมีด้ามจับ มันถูกวางเอาไว้บนโซฟาสีไข่ที่มีรอยขาดหลายจุด เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร และด้วยความสงสัยฟรายจึงวางอาหารพร้อมเทียนลงก่อนหยิบมันขึ้นมาดู


“มันเรีนกว่า ‘ปืนพก’ เก็บเสียง”


เสียงอันแสนเหย่อหยิ่งดังมาจากทางบันไดที่มีไว้ขึ้นไปยันชั้นสอง ฟรายสะดุ้ตกใจรีบหันมองหาพลางกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบเข้ากับผู้หญิงในเงามืดกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงนั้น


เธอไม่สามารถเห็นหน้าตาของหล่อนได้ เพราะผมสีชมพูของหล่อนมันปกปิดใบหน้าไว้ มันลากยาวไปถึงพื้น หล่อนสวมเสื้อยืดคอกลมตัวยาวสีขาว มีรูปหัวใจอยู่ตรงกลาง ดูจากส่วนสูงคงอายุมากกว่าเธออยู่หลายปี


“คุณเป็นใคร?”


“ไม่สำคัญหรอกหน่า” หล่อนกล่าวตัดความสงสัยเธอทิ้ง ยิ่งทำให้ฟรายขมวดคิ้วสงสัยเข้าไปใหญ่ หล่อนไม่สนใจว่าเธอจะคิดยังไงจึงชี้นิ้วมาที่สิ่งที่เรียกว่าปืน


“ลองใช้มันดูสิ”


หล่อนเอ่ยชักชวนให้ลองสิ่งของแปลกๆนี่ ฟรายได้ยินงั้นก็หันมองปืนอย่างงงๆ เธอไม่เคยใช้มันและไม่รู้วิธีใช้


“ใช้ไม่เป็น”


“ลองเล็งปืนไปที่หนูตัวนั้นและพูดว่า ‘ยิง’ สิ”


ฟรายทำหน้างงงวยพลางเล็งไปที่หนูตัวนั้นและ–


“ยิง”


ปัง!


โดนเต็มๆ


ฟรายมองดูสภาพหนูตัวนั้นในตอนนี้ที่เริ่มส่งเสียงร้องลั่นอย่างทรมาณ มันพยายามดิ้นหนีไปให้ไกลแต่ก็แทบจะขยับไปไหนไม่ได้ จนท้ายที่สุด หนูตัวนั้นก็ปล่อยให้เลือดไหลอาบกองกับพื้นพร้อมหยุดเคลื่อนไหว ก่อนจะนิ่งสนิท


ฟรายไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันคืออะไร เธอเห็นหนูตัวนั้นเลือดออกเหมือนตอนเธอบาดเจ็บ แต่แค่ไม่นิ่งเหมือนหนูตัวนั้น


มันนอนหลับอยู่งั้นเหรอ?


เธอไม่เข้าใจ...


ฟรายจึงมีสีหน้าสงสัยกะว่าจะเอ่ยถามหญิงสาวคนนั้น แต่พอหันไปหาหล่อน หล่อนกลับไม่อยู่แล้ว แต่เสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากหล่อนกลับเป็นคำว่า ‘‘เปลี่ยน’  พูดเพื่อเปลี่ยนมัน’ หล่อนทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วหายไป...


ฟรายจึงลองทำตามที่หล่อนพูดและสิ่งที่เรียกว่า ‘ปืน’ ก็ถูกเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกำไรติดกับข้อมือเสียอย่างนั้น มันยิ่งเพิ่มคำถามในหัวเธอมากยิ่งขึ้น


“คุณยังอยู่รึเปล่า? ไม่เอาอาหารเหรอ? ”


ฟรายพยายามเอ่ยถามเผื่อผู้หญิงคนนั้นจะตอบกลับแต่ก็ไร้วี่แววของหล่อน เธอจึงมีสีหน้ากังวลและไม่เข้าใจ เธอคิดว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะให้ปืนเธอ ส่วนเรื่องอาหารเธอควรทำยังไงกับมันดี? ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้ด้วยสิ...


วูบ!


เสียงผ่านอากาศเข้ามาในระยะใกล้ ไม่ทันที่ฟรายจะได้ตั้งตัวก็ถูกผ้าเช็ดหน้าจากที่ไหนไม่รู้เข้ามาประชิดและปิดจมูกเธอเอาไว้ ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด ฟรายจึงพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่กลิ่นแปลกๆที่มาจากผ้าเช็ดหน้าชวนให้ร่างกายเธออ่อนแรงลงทุกที


ฟรายจึงพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองสลบ แต่เปลือกตามันกลับไม่ยอมฟัง มันค่อยๆปิดสนิทลงอย่างช้าๆ ก่อนร่างเล็กจะหมดสติไปในที่สุด


“ฝันดีนะเด็กน้อย”


เป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอได้ยิน




“ยินดีต้อนรับเข้าสู่สถานที่ที่เรียกว่า ‘ชุมชนคนผิวเผือก’”


ชายวัยทำงานผู้สวมชุดสูทสีดำสะอาดตา เขามีผมสีดำถูกเซ็ตให้เรียบและมีนัยน์ตาสีเดียวกัน กำลังยืนอยู่ด้านหน้าโดยมีเด็กผิวเผือกทั้งหลายยืนมองเขาอยู่ รวมถึงฟรายที่ปนอยู่ในนั้นด้วย


เขาคนนั้นกวาดสายตามองเด็กๆทุกคน แล้วกระเทาะไม้เท้าทีนึงก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างช้าๆไปทีละคำ “สถานที่แห่งนี้มีไว้เพื่อมอบการศึกษาให้กับเด็กผิวเผือก ซึ่ง... มีเด็กแบบพวกเราหลายคนที่ถูกละเลยเพียงเพราะ แปลกแยก”


เขากระแทกน้ำเสียงตรงคำว่า ‘แปลกแยก’ เพื่อให้เด็กทุกคนที่อยู่ที่นี่ตระหนักถึงสิ่งที่ผู้คนข้างนอกกระทำกับคนผิวเผือกอย่างเราๆ ก่อนกระเทาะไม้เท้าอีกครั้งพลางเชิดหน้าและกดเสียงต่ำลง


“ฉัน– ที่ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้จึงสร้างที่นี่ขึ้นมาเพื่อเด็กผิวเผือกทุกคน ฉันปราถนาดีกับพวกเธอ อยากให้พวกเธอได้รับการศึกษาเท่าเทียมกับเด็กทั่วไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเธอถูกส่งตัวมายังที่นี่”


“แต่ไม่ต้องห่วง... พวกเราได้เจรจากับผู้ปกครองของพวกเธอแล้ว พวกเขาตอบตกลงกันทุกคน ดังนั้น พวกเธอจะได้เรียนที่นี่และจบการศึกษาเท่านั้นจึงจะกลับไปหาผู้ปกครองของเธอได้”


“....”


ทุกคนเงียบและฟังเขาพูดอย่างตั้งใจ ชายคนนั้นจึงเอ่ยต่อ “ฉันชื่อ ‘นิคโคลส’ เป็นคนจััดตั้งสถานที่แห่งนี้ขึ้น”


“ฉันหวังว่าพวกเธอทุกคนจะตั้งใจให้สมกับที่ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่นี้มา ขอให้พวกเธอโชคดี” เขากล่าวสิ่งนั้นทิ้งท้ายก่อนกระเทาะไม้เท้าแล้วเดินจากไป


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


ฟรายขมวดคิ้วสงสัยท่ามกลางความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจากเด็กๆอีกหลายคน