ฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ครอบครัว,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,รั้วโรงเรียน,ดรามา,ตลก,พี่น้อง,โรแมนติก,พ่อแม่ลูก,เด็กน้อย,รักข้างเดียว,ครอบครัว,ย้อนเวลา,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฉันดัน 'ย้อนเวลา' กลับมาเป็นลูกพ่อฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองได้โอกาสจากพระเจ้า.. ความสับสนมึนงงกับสถานการณ์ไม่เกิดขึ้นในใจราวกับถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ฉันอ้าปากหาวจนน้ำตาเล็ดขณะที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า เหม่อมองป้ายหลุมศพของผู้หญิงที่ได้ให้กำเนิดฉันมา ฉันกับแม่ไม่สนิทกันเท่าไหร่เหมือนที่พวกพี่ๆ ของฉันก็ไม่สนิท การที่ฉันเพิ่งโดนแทงตายและลืมตาขึ้นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่ควรเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนก ทว่าฉันในวัยสามขวบกลับกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของคนเป็นพ่อ
พ่อยืนมองป้ายหลุมศพด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ถึงจะไม่ได้มีความรักให้กันก็มีลูกด้วยกันถึงสี่คน แน่นอนว่าฉันเป็นลูกหลงคนที่ 4 ซึ่งมีอายุห่างกับพี่ๆ ถึง 10 ปี ซึ่งหลายคนเชื่อว่าแม่คบชู้ถึงได้มีฉัน และเพราะนิสัยและใบหน้าที่ไม่ได้คล้ายคลึงกับคนในครอบครัวทำให้ความคิดนั้นดูน่าเชื่อเข้าไปกันใหญ่ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ตรวจดีเอ็นเอเพราะให้เกียรติภรรยา แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆ รวมถึงตัวเขาเองเชื่อว่าฉันเป็นลูกของเขา เพราะขนาดตัวฉันเองก็ยังไม่คิดแบบนั้นเลย
แต่ยังไงก็เถอะนะ.. สักวันฉันก็จะไปจากตละกูลนี้อยู่แล้ว ฉันไม่เข้าใจเลยว่าการย้อนกลับมาในวัยนี้จะมีประโยชน์อะไร นอกจากนั่งกินนอนกิน ฉันก็ทำอะไรมากไม่ค่อยได้เพราะอยู่ในร่างเด็กสามขวบ รู้งี้ฉันน่าจะโน้ตเลขลอตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งไว้ในหัว จำให้ขึ้นใจทุกงวดแล้วเป็นคนรวยได้โดยไม่ต้องทำงาน ลองนึกๆ ดูแล้วชีวิตครั้งก่อนฉันก็ได้แต่เก็บตัวเงียบๆ พยายามไม่ทำตัวเด่นสะดุดตาหรือเป็นที่เดือดร้อนให้ใคร ก็สงบสุขดีถึงจะตัวคนเดียวก็เถอะนะ.. ไม่เข้าใจเลยว่าพระเจ้าจะส่งฉันมาในช่วงเวลานี้ทำไม แต่จะบ่นมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะหาว่าเนรคุณ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ท่านทำให้ฉันได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งดีกว่า
ระหว่างที่นั่งอยู่ในความสงบ จู่ๆ ก็มีแมวดำตัวอ้วนเดินต้วมเตี๊ยมผ่านหน้าครอบครัวเราไป ถึงตอนนั้นฉันก็ลุกขึ้นเดินพร้อมกับเมินนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทั้งสี่คู่ที่จ้องมองมา เพราะพวกคนใช้ไม่อยู่ก็เลยไม่รู้จะใช้ใครอุ้มฉันสินะ เหอะๆ ทำอย่างกับว่ายัยฟ้าใหม่คนนี้อยากโดนอุ้มตายละ ฉันเดินตามแมวไปด้วยขาสั้นๆ โชคดีที่จู่ๆ มันก็หยุดเดินฉันจึงอุ้มมันทัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะตัวมันอ้วนเกินไปหรืออะไร ฉันจึงยกได้เพียงท่อนบนลำตัวขณะที่ขาหลังทั้งสองข้างของมันแตะอยู่บนพื่น ฉันมีแรงไม่มากพอจะอุ้มแมวด้วยซ้ำ บัดซบจริงๆ
"บอกให้น้องปล่อยมันไป แมวจรสกปรก"
น้ำเสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษ์เอ่ยสั่ง ฉันช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าที่ยังดูไม่แก่ของคนเป็นพ่อนิ่งๆ แม้จะมีลูกมาถึงสี่คนแต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูแก่ลงเลย ท่าทางเหมือนพวกนักธุรกิจผู้สุขุม อยากรู้จังว่าสีหน้ายามที่อีกฝ่ายตกใจเป็นอย่างไร คิดได้ดังนั้นฉันก็ก้มหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์ ขอโทษนะเจ้าดำ ทันใดนั้นฉันก็อ้าปากงับหัวแมวที่เขาหาว่ามันสกปรกนักสกปรกหนา ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของพี่ทั้งสาม ก็ทำไมฉันจะงับหัวแมวไม่ได้ละ ฉันเป็นเด็กอายุสามขวบเองนะจำได้ไหม ฉันช้อนสายตาขึ้นมองดูสีหน้าของคนเป็นพ่ออย่างสนใจ ทว่าก็ต้องผิดหวังที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทำเพียงขมวคเรียวคิ้วเล็กน้อย และคนที่เข้ามาห้ามฉันไว้ก็คือพี่ชายคนที่สาม ปั้นหนึ่งในวัยสิบสามปีดึงแมวออกจากฉัน พลางเอาเสื้อตัวนอกของตัวเองเช็ดปากที่ติดขนแมวของฉัน
"ฟ้าอยากหม่ำๆ แล้วเหรอ แต่แมวมันกินไม่ได้นะรู้ไหม"
ปั้นหนึ่งว่าอย่างขบขัน ก่อนที่พี่สาวคนที่สองและพี่ชายคนโตสุดจะมองฉันด้วยสีหน้าขยะแขยง ฉันไม่ได้จะกินแมวสักหน่อย
"กลับกันเถอะ"
คำนี้ทำให้พวกพี่ๆ มีสีหน้าดีขึ้น ราวกับว่าอยากจะออกไปจากสุสานตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้าพูด ฉันเดินไปหาเจ้าแมวตัวที่ตัวงับหัวอีกครั้ง ตั้งใจจะเอามันกลับไปด้วย ทว่ามีคนปากไม่นิ่งเอ่ยฟ้องขึ้นทันที
"คุณพ่อคะยัยฟ้าเอาแมวมาอีกแล้วค่ะ"
ณรินทร์หรือก็คือพี่สาวของฉันที่ตอนนี้อายุสิบเจ็ดปี เธอเป็นประเภทที่หากไม่พอใจก็จะเอ่ยพูดขึ้นมาทันที เพื่อนส่วนมากที่คบหาด้วยก็มีแต่พวกไม่จริงใจ ต้องการเพียงผลประโยชน์จากเธอทั้งนั้น ก่อนที่ภายหลังจะไม่ได้โง่แถมยังประสบความสำเร็จในงานด้านแฟชั่นที่ตัวเองชื่นชอบและหลงไหล จากอายุที่ห่างกันมากเกินไป ทำให้แม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สนิทขึ้นมาเลยสักนิด เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้แม้จะต้องเป็นสีดำล้วน แต่อีกฝ่ายก็สามารถทำให้มันดูโดดเด่นและสวยงามราวกับพร้อมที่จะถ่ายแบบ
"หม่ำๆ "
ฉันพูดออกมาเป็นคำแรก
"จาหม่ำๆ "
"พ่อครับเหมือนน้องจะหิวนะครับ ไม่ใช่ว่าพี่เลี้ยงให้อาหารเธอไปแล้วก่อนออกมาเหรอ" เอ๊ะ.. พอพูดถึงอาหาร ฉันก็เพิ่งสังเกตว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกหิวขนาดนี้ พี่ธันในปีนี้อายุย่างเข้ายี่สิบ ยิ่งโตมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนพ่อ ฉันแกล้งพูดว่าหม่ำๆ แต่คราวนี้เริ่มอยากจะหม่ำๆ จริงๆ ขึ้นมาแล้ว และไม่รู้ว่าเป็นเด็กหรือเปล่าฉันถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ จึงร้องไห้ออกมาด้วยความหิว ฉับพลันตัวฉันก็ลอยขึ้นจากพื้น คนที่อุ้มฉันก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นร่างสูงใหญ่ของคนเป็นพ่อ เขามองฉันด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมา ทันทีที่เขาหันหลัง ฉันก็โวยวายพร้อมกับชี้ไปที่แมว
ปั้นหนึ่งที่เห็นดังนั้นหลุดหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที
"พี่บอกแล้วไงว่าแมวมันกินไม่ได้น่ะ!"
"ถึงนายพูดแบบนั้นแล้วยัยฟ้าจะเข้าใจหรือไง!"
"ทุกคนที่นี่มันสุสานนะช่วยอยู่ในความสงบด้วย!" แต่ตัวเองก็ตะโกนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ฉันหยุดร้องไห้และกระพริบตาปริบๆ ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าคล้ายจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพวกพี่ๆ พูดคุยกันมากขนาดนี้ ปกติแล้วทั้งสามพี่น้องสงบปากสงบคำกันจะตาย ฉับพลันเสียงถอนลมหายใจก็ดังขึ้น ฉันเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน
"เอาแมวตัวนั้นกลับไปด้วย"
ตลอดทางพี่รินบ่นจนหูแทบเปื่อยว่าแมวจรน่ะสกปรกและสามารถเป็นอันตรายกับเราได้มากขนาดไหน แต่แทนที่เธอจะให้คนใช้อุ้มมัน เธอกลับอุ้มและให้มันนั่งบนตักของเธอไปตลอดทางจนถึงบ้าน บ้านหรือก็คือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ฉันอาศัยมาครึ่งค่อนชีวิต ทันทีที่ลงจากรถฉันก็ถูกส่งให้พี่เลี้ยงทันที
"เธอหิวแล้ว"
แหม.. ไม่ต้องบอกให้หรอก เพราะยังไงฉันก็พูดคำว่าหม่ำๆ เองได้อยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าดำของฉันล่ะ อาจเป็นเพราะฉันแทบจะหมุนคอมองหาแมวแบบ 360 องค์ศาล่ะมั้ง คนเป็นพ่อถึงได้ตอบกลับมาแบบนี้
"เราต้องเอามันไปทำความสะอาดและตรวจหาโรคก่อน"
เพราะขี้เกียจจะพูดคำอื่นที่พูดไปก็คงจะไม่ชัด ฉันจึงยกยิ้มให้เห็นฟันซี่เล็กๆ แทน ในที่สุดฉันก็จะได้เลี้ยงแมวแล้ว คนเป็นพ่อมองหน้าของฉันค้างอยู่สักพัก ก่อนจะเบือนไปทางอื่นแล้วเดินจากไป จริงสินะ วันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของแม่.. บางทีเขาอาจจะรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว พี่เลี้ยงก็อุ้มฉันมาวางไว้บนเตียง ความหิวทำให้ท้องร้องจ๊อกๆ ฉันเฝ้ารอเวลาที่พี่เลี้ยงที่นั่งอ่านนิตยสารแฟชั่นตรงมุมห้องจะลุกไปหาของกินมาให้ ทว่าก็ไม่มีวี่แววว่าเธอคนนั้นจะลุกขึ้น ฉันในวัยสามขวบเมื่อชีวิตก่อนจำไม่ได้หรอกว่าถูกใครเลี้ยงดูมายังไง กว่าจะจำความได้ก็เป็นตอนที่อายุเริ่มย่างเข้าเจ็ดขวบ จริงสินะ.. นี่ฉันลืมเรื่องที่เหล่าคนใช้ปฏิบัติกับฉันไม่ค่อยดีได้ยังไง
เอาล่ะ.. มาลองทำอะไรดูสักตั้งดีกว่า
ฉันเดินไปหาสาวใช้ซึ่งรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของฉัน ตอนอยู่ต่อหน้าพ่อของฉัน เธอก็ดูเป็นพี่เลี้ยงใจดี ตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจกับนิสัยของเธอ เพราะงั้นต้องลองทดสอบดูก่อน มือเล็กๆ ของฉันเอื้อมไปกระตุกดึงชายกระโปรงของเธอเบาๆ อีกฝ่ายปรายตาลงมามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปอ่านนิตยสารในมือต่อ
"จาหม่ำๆ "
"...."
โอเค ยัยนี่ไม่ผ่านบททดสอบของฉัน นี่อย่าบอกนะว่าฉันโดนปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่สามขวบแล้วน่ะ ก็ว่าทำไมถึงได้ตัวเล็กกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันนัก ฉับพลันความรู้สึกน้อยใจก็แทรกเข้ามาและเกือบจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา อย่าร้องไห้นะฟ้าใหม่ อย่าลืมสิว่าตอนนี้เธอคือผู้หญิงที่ใช้ชีวิตมาจนอายุยี่สิบเจ็ด เพราะงั้นเธอไม่ใช่เด็กสามขวบธรรมดา
ฉันรอจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน เป็นไปตามคาดว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง อาการแสบร้อนกลางอกคล้ายจะเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร นี่เธอคนนี้ละเลยเด็กสามขวบมากขนาดไหนกันเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนเลวๆ แบบนี้อยู่ด้วย ยัยพี่เลี้ยงออกไปแล้ว และไม่ได้ล็อคประตูห้องด้วย ฉันรอเวลาอีกสักเล็กน้อยก่อนจะเอาหนังสือนิทานเล่มหนามาต่อกันเป็นขั้นบันไดแล้วเปิดประตู เมื่อเปิดสำเร็จฉันก็วิ่งสุดฝีตีนเพื่อไปห้องที่อยู่ฝั่งตะวันตก เวลานี้คนเป็นพ่อคงจะกำลังทำงานอยู่ในห้องทำงาน ฉันเดินขึ้นลงบันไดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหนื่อยล้าและร้อนๆ หนาวๆ เหมือนไข้จะขึ้น แต่เพราะเดินไปอีกนิดก็จะถึงห้องทำงานของเขาแล้ว ฉันจึงกัดฟันทน
มือเล็กๆ เคาะประตูสองสามครั้ง
ได้ยินคนข้างในบอกให้เข้ามา ฉันก็อยากทำนะแต่แบบว่า.. มือฉันเอื้อมไม่ถึงลูกบิดประตู ฉันจึงลงมือเคาะอีกครั้ง อยากเคาะเป็นจังหวะสามช่าประชดชีวิตจริงเลย ไม่นานเกินรอประตูก็เปิดออก ฉันเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่อ่านไม่ออก ดวงตาพร่ามัวไปหมดราวกับถูกพิษไข้ครอบงำ
"หม่ำ.. หม่ำ"
ฉับพลัน โลกเบื้องหน้าก็ดับวูบไปเลย