ฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ครอบครัว,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,รั้วโรงเรียน,ดรามา,ตลก,พี่น้อง,โรแมนติก,พ่อแม่ลูก,เด็กน้อย,รักข้างเดียว,ครอบครัว,ย้อนเวลา,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฉันดัน 'ย้อนเวลา' กลับมาเป็นลูกพ่อฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ฉันกับพี่มะลิเดินกลับมาที่ห้องด้วยสภาพที่ดูไม่จืดนัก ฉันไม่ได้โดนตีตูด แต่แย่กว่านั้นตรงที่ว่าพ่อรู้จุดอ่อนของฉันแล้ว จุดอ่อนนี้มีชื่อว่ามะลิ ก่อเรื่องวุ่นจะเท่ากับเธอถูกไล่ออก แต่ถ้าอยู่สงบเสงี่ยมให้สมกับเป็นเด็กสามขวบก็ไม่มีปัญหาอะไร ฉันถูกพี่มะลิพาไปอาบน้ำพร้อมกับกินอาหารเที่ยงและเตรียมตัวนอนกลางวัน ก่อนนอนฉันก็ขอโทษพี่มะลิไปด้วยความรู้สึกผิด แต่เธอไม่โกรธฉันเลยแถมบอกว่าเข้าใจ ขณะที่กล่อมนอนหนังตาของฉันก็เริ่มหย่อน ข้อดีของการเป็นเด็กก็คือการใช้เวลาไปกับการนอนมากกว่าการใช้ชีวิต
"สุดสัปดาห์นี้พี่จะกลับบ้าน ไว้พี่จะเอาสระเป่าลมสมัยเด็กของพี่มาให้คุณหนูเล่นนะคะ"
"คิกคิก..ขอบคุงก้ะ"
ไม่นานหลังจากนั้นฉันก็ผล็อยหลับไปในที่สุด ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ถูกเรียกตัวให้ไปร่วมมื้อเย็นทั้งที่ปกติเด็กเล็กแบบฉันจะอยู่ห้องทานอาหารคนเดียว เพราะวันนี้เล่นเยอะกว่าปกติก็เลยหลับเพลินไปหน่อย พี่มะลิช่วยแต่งตัวให้ฉันด้วยชุดโปรงที่หน้าตาเหมือนๆ กันหมดต่างกันแค่สี อยากจะเห็นหน้าคนซื้อซะจริง แต่เอาเถอะ.. ดีกว่าไม่มีอะไรใส่แล้วเดินแก้ผ้า กระทั่งถึงห้องทานอาหารกว้างใหญ่ ฉันก็ถูกอุ้มให้นั่งลงบนเก้าอี้เด็ก พี่ธันกับพี่รินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนคนที่ฉันไม่ได้เห็นหน้าทั้งวันอย่างปั้นหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนคนเป็นพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ แถมยังใกล้กับฉันด้วย..
แต่อย่าไปสนใจให้เสียเวลา แล้วโฟกัสกับอาหารบนโต๊ะดีกว่า โต๊ะยาวหรูถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม ทว่าระยะห่างของคนในครอบครัวนั้นแลดูอบอุ่น มันก็หลายปีแล้วที่ไม่ได้แตะอาหารหรูและเลิศรสแบบนี้ตั้งแต่ที่ออกจากตระกูล และเพราะไม่ได้เงินหรือต้นทุนอะไรไปต่อชีวิตนอกจากนาฬิกาข้อมือเรือนเดียว ฉันจึงต้องกัดฟันทนจนมีงานทำและเลี้ยงตัวเองได้ ฉันไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นอะไรเหมือนกับพี่ๆ ฉันเป็นคนธรรมดาที่ถ้าไม่มีนานสกุลที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลต่อท้ายชื่อ ก็ไม่มีใครนับหน้าถือตาหรือรู้จัก.. ส่วนนาฬิกาเรือนนั้นที่เอาไปเป็นต้นทุนต่อชีวิตนั่นก็เป็นนาฬิกาที่เคยเก็บเงินค่าขนมซื้อให้พ่อในวัยมัธยม คิดว่าเขาน่าจะชอบ แต่พอเห็นของขวัญชิ้นอื่นๆ ที่พวกพี่ๆ ซื้อให้พ่อแล้ว นาฬิกาหลักหมื่นของฉันก็ดูจะจืดไปเลย จนไม่กล้าให้เพราะกลัวว่าเขาจะไม่อยากได้
เพราะอยู่ในสถานที่ๆ เต็มไปด้วยความทรงจำหรือเปล่า ความทรงจำในชีวิตที่แล้วจึงผุดขึ้นมาอย่างกับเห็ด
มื้ออาหารเริ่มต้นขึ้นเมื่อคนเป็นพ่อเริ่มทาน ฉันเองก็รอให้เขากินก่อนอย่างลืมตัว จริงๆ เป็นเด็กสามขวบไม่จำเป็นต้องทำตามธรรมเนียมก็ได้ สาวใช้ที่มีหน้าที่เสิร์ฟอาหารประจำโต๊ะ เอาแต่เมนูที่ฉันไม่อยากกินมาให้ ฉันน่ะอยากกินเนื้อวากิวที่อยู่ตรงนั้น แต่ดูที่ตักมาให้สิ แกงจืดหมูสับเนี่ยนะ เมนูที่หากินได้ตลอดทั้งชีวิตแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก ได้ยินไหมเด็กสามขวบคนนี้อยากรับประทานวากิวเว้ยยย!!
เฮ้อ.. ยิ่งไม่อยากจะพูดอยู่ด้วย แต่ต้องพูดสินะ
"หม่ำๆ อันนั้น หนูจะหม่ำๆ " ฉันชี้นิ้วป้อมๆ ของตัวเองไปที่เนื้อ
"เลือกกินตั้งแต่เด็ก"
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่นทำฉันชะงักไปเล็กน้อย ก..ก็มันทำไมเล่า ฉันจะกินเนื้อวากิวกับเขาบ้างไม่ได้หรือยังไง ฉับพลัน เนื้อวากิวบนจานก็ถูกฉกไปโดยเจ้าของรอยยิ้มที่กระตุกขึ้นตรงมุมปากเล็กน้อย ไอ้พี่ธันมองหน้าฉันแล้วเอาเนื้อวากิวเข้าปากตัวเองและเคี้ยวให้ฉันดูอย่างตั้งใจ นี่อย่าบอกนะว่าเอาคืนเรื่องไอติมกับเด็กสามขวบ! ตอนนี้เอ็งยี่สิบแล้วนะเว้ยเฮ้ย!! ขอถอนคำพูดเรื่องที่อีกฝ่ายนิสัยเหมือนพ่อให้หมดเลย เพราะไม่ว่าพ่อจะเป็นคนยังไง แต่ก็ไม่เคยแกล้งฉันแบบนี้ แถมยังเป็นเรื่องอาหาร! โมโหชะมัด! ไม่รู้ซะแล้วว่าความแค้นเรื่องของกินน่ะมันน่ากลัวขนาดไหน
ฉันค่อยๆ กินอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกอัดอั้น พี่มะลิก็ไม่อยู่จะใช้ให้หยิบเนื้อให้หน่อยก็ไม่ได้ ฉันจ้องพี่รินที่นั่งกินกุ้งมังกรอยู่ด้วยสายตาอิจฉา ก่อนเธอจะรู้สึกตัวแล้วหัวเราะขำฉันออกมากลางโต๊ะอาหาร พลางเอ่ยถามอย่างยียวน
"แกงจืดหมูสับอาหย่อยไหมยัยมอมแมม"
คนเดียวที่ไม่ได้แกล้งฉันก็มีเพียงปั้นหนึ่งที่กำลังจริงจังกับการแอบก้มอ่านการ์ตูนในเวลาอาหารอยู่ สนุกจนวางไม่ลงเลยหรือยังไง งั้นมาลองเอื้อมมือเองดูดีกว่า จากระยะนี้ฉันน่าจะหยิบปีกไก่ทอดเองได้ แต่ฉันไม่ได้อยากกินไก่ทอดนี่หว่า สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น
"คุณหนูกินอาหารที่เหลือบนจานให้หมดก่อนคะ ถึงจะหยิบชิ้นอื่นได้"
ไปสั่งเด็กสามขวบบ้านป้าเถอะค่ะ ฉันชักหงุดหงิดแล้วนะ เดี๋ยวเอาช้อนส้อมที่ทำจากไม้นี่แทงซะเลย ฮื่อ...รู้สึกนับวันตัวเองก็ยิ่งน่ากลัว แต่ก่อนที่ความอดทนจะหมดลงแล้วแหกปากร้องไห้ จานใส่เนื้อวัวย่างพริกไทยที่ถูกหั่นออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก็วางลงตรงหน้า แล้วคนที่หั่นเนื้อย่างหอมกรุ่นนี่ให้ฉันก็คือคนๆ เดียวกันกับที่บ่นว่าฉันเลือกกินตั้งแต่เด็ก พ่อจะทำสีหน้าเรียบนิ่ง พลางสั่งให้ฉันรีบๆ กินเข้าไป
ขณะที่นิ่งอึ้ง เนื้อวากิวกับกุ้งมังกรที่ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำก็ถูกวางลงตรงหน้าโดยฝีมือของพีธันกับพี่ริน
ความรู้สึกอุ่นวาบที่น้อยครั้งจะปรากฎแล่นตั้งแต่ปลายนิ้วมือไปจนถึงหัวใจ
"ข..ขอบคุงก่ะ"
ฉันยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ แต่ตอนก้มหน้าดันก้มเยอะไปหน่อย หัวก็เลยจุ่มลงไปในแกงจืดเรียบร้อยแล้ว
กระทั่งวันต่อมาก็มีพวกช่างคนงานอะไรไม่รู้มาที่คฤหาสน์ พ่อออกคำสั่งห้ามทุกคนไปที่สวนหลังคฤหาสน์เพราะจะมีการก่อสร้าง แต่ไม่ได้บอกว่าก่อสร้างอะไรฉันมองผ่านหน้าต่างของห้องนอนมาครึ่งวันแต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ากำลังจะทำอะไร เพราะนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในห้องจนเบื่อแล้ว ฉันจึงเดินไปห้องสมุด รู้ว่าเป็นที่ๆ พี่ธันจะมาสิงอยู่ทั้งวัน ฉันขอให้พี่มะลิไปพักแล้วบอกว่าเดี๋ยวจะให้คนเป็นพี่ชายดูแลฉันต่อเอง พี่มะลิก็ทำตามอย่างว่าง่ายขณะที่ฉันแอบย่องเข้าไปโดยไม่ให้คนที่นั่งอยู่กลางห้องสมุดนั้นมองเห็น
พลางวิ่งเข้าไปหลบอยู่ตรงช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือ ห้องสมุดที่นี่ใหญ่มาก มีทั้งชั้นบนและล่าง ฉันไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านหรอกเพราะสำหรับฉันตอนนั้น หนังสือเป็นเหมือนยานอนหลับ และตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ฉันออกแรงวิ่งให้เกิดเสียงตึกๆๆ พลางกลั้นหัวเราะ มาดูกันว่าเจ้าหนอนหนังสือที่นั่งอ่านอย่างจดจ่ออยู่นั่นจะกลัวผีหรือเปล่า
"ใครน่ะ?"
ตึกๆๆๆ
"ฉันถามว่าใคร" เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเป็นสัญญาณบอกให้ฉันต้องรีบย้ายที่ ตอนนี้ร่างสูงโปร่งอยู่ในจุดที่เกิดเสียงครั้งแรกแล้ว ฉันย่องเบาๆ ไปอีกฝั่งของห้องสมุดและทำเสียงวิ่งตึกๆๆ อีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงฝีเท้าตามมาอีก ฉันจึงแอบเหลือบมองผ่านช่องตรงชั้นหนังสือ ทว่ากลับมองไม่เห็นใครเลย เดินออกจากห้องสมุดเพราะกลัวจนหัวหดไปแล้วหรือเปล่านะคิกคิก
จากนั้นฉันก็เดินออกเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในห้องสมุดอยู่จริงๆ ระหว่างนั้นฉันก็เดินไปมองวิวตรงนอกหน้าต่าง ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าพี่ธันกำลังยื่นคุยกับพวกช่างตรงบ่อน้ำพุหินอ่อน
แล้วคนเมื่อกี้ที่ฉันเห็นคือใครกันล่ะ? ไม่มีทางที่พี่ธันจะเดินลงไปถึงที่นั่นเร็วขนาดนี้ได้ ต่อให้วิ่งเร็วแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี แถมเสียงที่ตะโกนขึ้นเมื่อกี้ก็เป็นเสียงของพี่ธัน ฉับพลัน เสียงประตูใหญ่ของห้องสมุดก็ปิดอย่างแรง ฉันกรีดร้องจนสุดเสียงและพยายามวิ่งไปเปิดประตูที่ตัวเองเอื้อมลูกบิดไม่ถึง
วินาทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าฉันก็ผวาและหวาดกลัว อย่างที่ไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลยว่าชีวิต
"ฮึกป้อจ๋า ฮื่อ! ป้อจ๋าจ้วยหนูต้วยฮื่อๆๆ"
ไม่รู้ว่าฉันร้องเรียกพ่ออยู่อย่างนั้นกี่นาที แต่ความรู้สึกเหมือนมันนานเป็นชาติ มือเย็นๆ สัมผัสไปทั่วร่างกายขณะที่ฉันได้แต่ขดตัวและหลับตาปี๋
วินาทีถัดมาประตูก็เปิดออก! พร้อมกับสัมผัสเย็นที่หายไปอย่างฉับพลัน
"ฟ้าใหม่.."
เป็นครั้งแรกที่ฉันโล่งใจที่ได้ยินเสียงของพ่อขนาดนี้ มือแกร่งเข้ามาอุ้มฉันที่นอนขดตัวสั่นหงึกอยู่กับพื้น ฉันกอดพ่อแน่นและร้องไห้สะอึกสะอื้นสมกับเป็นเด็กวัยสามขวบ ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของชั้นสองสอง ซึ่งห้องสมุดนั่นอยู่บนชั้นสาม
คนแรกที่โดนตำหนิอย่างรุนแรงคือพี่มะลิที่ปล่อยให้ฉันเข้าไปในห้องสมุดตามลำพัง ฉันยังผวาไม่หายอยู่บนตักคนเป็นพ่อ จึงยังไม่สามารถพูดช่วยอะไรเธอได้ ขณะที่ทั้งสามพี่น้องทำสีหน้าเป็นกังวลว่าเกิดอะไรขึ้น
"ฮึก.. ป้อหนูกัว ฮื่อๆ "
นั่นเป็นความรู้สึกของฉันจริงๆ ตอนนี้สติสตังหายไปหมดแล้ว
"มีกล้องวงจรปิดอยู่ในห้องสมุดเราน่าจะไปเปิดดูนะครับ" พี่ธันเอ่ยอย่างใจเย็น
"ด..ดิฉันเห็นคุณธันอยู่ในห้องสมุดค่ะ คุณหนูเองก็เห็นเลยให้ดิฉันไปพักแล้วเข้าไปหาคุณธันค่ะ"
"เป็นไปไม่ได้หรอกเพราะวันนี้ผมยังไม่ได้เข้าห้องสมุดเลย"
ฉันได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้หนักกว่าเก่า ยัยพี่รินทำสีหน้าขนหัวลุกก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง คนที่นิ่งสุขุมคือปั้นหนึ่งกับพ่อที่ดูจะไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ จนกระทั่งได้เปิดดูกล้องวงจรปิด
"ไปตามบาทหลวงหรืออะไรก็ได้มาจัดการซะ ก่อนจะเป็นฉันเองที่ทำลายมันทิ้งให้สิ้นซาก"