ฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ครอบครัว,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,รั้วโรงเรียน,ดรามา,ตลก,พี่น้อง,โรแมนติก,พ่อแม่ลูก,เด็กน้อย,รักข้างเดียว,ครอบครัว,ย้อนเวลา,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฉันดัน 'ย้อนเวลา' กลับมาเป็นลูกพ่อฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
"ลูกหายไปไหนมา บอกพ่อ"
หัวใจของฉันเต้นตึก คิดว่าตัวเองคงจะต้องหูฝาดหรือไม่ก็คงจะเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ที่จู่ๆ คนตรงหน้าก็แทนตัวเองว่าพ่อขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปกันล่ะ ฉันเลือกที่จะเมินเฉยแล้วชี้ไปที่ยัยป้าที่ร้องไห้กระซิกๆ อยู่กับพื้นห้อง พร้อมกับพยายามพูดให้ชัดที่สุด
"ป้าพาหนูไปในสวน หนูหยงทางหยู่ในต้นไม้"
"น้องคงจะหลงอยู่ในวงกตกุหลาบน่ะครับพ่อ"
ดีมากเจ้าล่ามแปลภาษาปั้นหนึ่ง
"ดิฉันไม่ได้พาเด็กคนนี้ไปที่นั่นเลยนะคะคุณนิธิศ! เธอโกหก! เป็นเด็กเป็นเล็กหัดพูดจาให้ร้ายผู้ใหญ่" ฉันที่หมดคำจะพูดทำเพียงซบอกแกร่งของคนเป็นพ่ออย่างเหนื่อยใจ ไม่อยากพูดหรือคุยกับใครทั้งนั้น ทุกคนเห็นท่าทางที่ซึมไม่ร่าเริงของเด็กสามขวบก็ทำสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"คุณนิธิศเชื่อดิฉันเถอะนะคะ ดิฉันรับใช้ตระกูลนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก และดิฉันจงรักภักดีกับตระกูลนี้ไม่น้อยกว่าใคร ดิฉันไม่มีทางทำแบบนั้นค่ะ" สิ้นเสียง ความเงียบก็เกิดขึ้นในบรรยากาศ ป้าแม่บ้านที่คุกเข่าขอให้เชื่อเริ่มรู้สึกหวาดกลัวนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ที่จ้องลึกเข้าไปในแววตา ขนาดเป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องยังรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก แล้วคนที่ถูกจับจ้องตัวจริงไม่หนักกว่านั้นหรืออย่างไร ฉับพลัน เสียงท้องร้องจ๊อกๆ ของร่างเล็กก็ดึงความสนใจจากคนเป็นพ่อ เขาเอ่ยสั่งให้เตรียมอาหารก่อนจะบอกว่าจะกลับมาจัดการเรื่องนี้ทีหลัง
ฉันท้องร้องก็จริง.. แต่รู้สึกกินอะไรไม่ลง ตอนนี้หัวใจมันปวดหนึบ ฉันอยากร้องไห้กับเรื่องทั้งหมดนี้ แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทั้งสี่คู่ที่จ้องมองอยู่ไม่ห่างทำให้ฉันร้องไห้ไม่ออก จนกระทั่งเนื้อที่ฉันชอบมาเสิร์ฟ ฉันก็แตะมันไปแค่นิดเดียว หลังจากนั้นก็เข้ามานอนในห้องโดยมีพี่มะลิปลอบอยู่ไม่ห่าง
"หนูอยากโตจังเย้ยพี่มะยิ"
"ทำไมล่ะคะคุณหนู"
"จาได้ออกจาดบ้านหยังนี้เย็วๆ "
คนเป็นพี่เลี้ยงได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้านิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดร้องไห้โดยไม่ให้ฉันเห็น ดูเหมือนเธอเองก็รู้ว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาฉันโดนปฏิบัติอย่างไร และเธอเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ต่อให้เธอจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม
"พี่เอาสระน้ำเป่าลมมาแล้วนะ ไว้พรุ่งนี้เราไปเล่นกัน" ฉันยกยิ้มบางเบาพร้อมกับพยักหน้า
ก่อนนอนคืนนั้นฉันฝันถึงความทรงจำในอดีต แต่พอตื่นมาก็จำอะไรไม่ได้ พี่มะลิบอกว่ามื้อเช้าวันนี้พ่อให้ฉันไปร่วมโต๊ะด้วย จริงๆ ฉันก็ไปร่วมโต๊ะเองอยู่บ่อยๆ โดยไม่ต้องรอให้มีคนเชิญ แต่วันนี้ฉันไม่อยากไป จึงให้พี่มะลิบอกไปว่าฉันจะกินมื้อเช้าคนเดียวที่ห้อง ทว่าดูเหมือนว่าฉันจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ พี่เลี้ยงทำสีหน้าลำบากใจแล้วอุ้มฉันไปที่ห้องอาหาร ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแต่ฉันก็เลือกที่จะก้มหน้างุดไม่สบตากับใคร แล้วนั่งกินข้าวเงียบๆ เพราะเมื่อวานกินข้าวน้อยไปหน่อย วันนี้ฉันก็เลยยัดเข้าปากให้เต็มที่ พร้อมกับดื่มนมตามไปอีกแก้ว
ท่ามกลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เงียบกว่าปกติ ฉันก็ตัดสินใจพูดขึ้น
"คุกกี้.."
พ่อเลิกคิ้วคล้ายกับได้ยินไม่ชัด พี่ธันกับพี่รินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบอกให้พูดอีกรอบ ส่วนปั้นหนึ่งนั้นได้ยินชัดไม่ผิดเพี้ยน
"น้องพูดว่าคุกกี้ครับ"
เจ้าของนัยน์ตาดุดันหันไปหาสาวใช้ที่ยืนรอคำสั่งอย่างรู้งาน แต่อิพี่ธันเหมือนจะว่างมากและไม่ยอมให้ฉันได้กินคุกกี้ง่ายๆ จึงลากมาที่ห้องครัวแล้วสวมหมวกสำหรับเชฟให้กับฉัน พลางพูด
"คุกกี้ที่ทำจากโรงงานพวกนั้นจะไปอร่อยเท่าคุกกี้ที่ทำเองได้ยังไงล่ะ ใช่ไหมพวกเรา" พวกเราที่ว่าก็มีฉัน มีพี่ปั้นหนึ่งและยัยพี่รินที่โดนลากมาแบบงงๆ ฉันทำสีหน้าเอือมระอาขณะที่ถูกจับให้นั่งอยู่บนเก้าอี้สูง ทำให้ไม่ต้องยืนก็สามารถเห็นวัตถุดิบทั้งหมดบนเคาน์เตอร์ครัวหรู
"ยัยฟ้าอยากกินคุกกี้แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย คุกกี้คุณภาพดีที่ฉันสั่งมาไว้กินเองคนเดียวก็มีเยอะแยะ ฉันจะแบ่งให้สักชิ้นก็ได้จะเอาไหมล่ะ" ยัยพี่รินว่าด้วยน้ำเสียงกึ่งๆ บ่น ได้ยินไหมว่าเธอจะแบ่งคุกกี้ของตัวเองให้ฉันตั้งชิ้นนึงแหน่ะ โคตรใจบุญเลย
"ชิ้นหนึ่งจะไปอิ่มได้ยังไง ขนาดไอติมยังต้องกินถึงสองแท่งเลยนะ"
"อ๋อ.. ไอติมที่ยัยมอมแมมเอามาอาบตัวน่ะเหรอ เข้าปากกี่เปอร์เซ็นต์ไม่ทราบคะคุณพี่" น้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะขบขัน สามพี่น้องตรงหน้าหัวเราะหนักกว่าเก่าเมื่อเธอเอาภาพที่ถ่ายตรงหน้าห้องดนตรีวันนั้นออกมาให้ดู หน้าของฉันแดงก่ำด้วยความโมโห ก่อนจะอาละวาดโดนการวิ่งเอาไม้พายไล่ตีทุกคน
คุกกี้จะเสร็จกี่โมงกันเนี่ย!?
และแล้วในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือการเอาแม่พิมพ์กดลงไปบนแผ่นแป้ง แม่พิมพ์มีตั้งแต่รูปสัตว์ไปจนถึงแมลง เอ่อ..แมลงที่น่ารักๆ อะนะ ถึงตอนนี้ปั้นหนึ่งกำลังพยายามหาแม่พิมพ์แปลกๆ มาทำคุกกี้ก็เถอะ ร่างสูงโปร่งผู้ซึ่งเป็นพี่ใหญ่มีความสามารถเยอะที่สุดในบรรดาพี่น้อง แต่ไม่คิดว่าแม้แต่การทำขนม เขาก็ทำให้ทุกอย่างที่เกือบเละตุ้มเป๊ะกลับมาเป็นคุกกี้ได้ แป้งที่ติดอยู่บนตัวและคราบช็อคโกแลตที่ติดอยู่บนปากเป็นเครื่องพิสูจน์ความตั้งใจของฉัน
แต่คนเงอะงะยิ่งกว่าเด็กสามขวบก็นู้นคนนู่น ยัยพี่รินที่ทำถุงแป้งแตก ทำไข่ตก กำลังทำสีหน้าเข็ดขยาดกับการเข้าครัว พี่ปั้นหนึ่งเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นก่อนจะเช็ดคราบช็อคโกแลตบนปากให้ ไม่นานคุกกี้ทั้งหมดที่ทำออกมาได้สามถาดก็ถูกอบ ฉันนั่งรออยู่หน้าเตาขณะที่คนอื่นๆ เตรียมจะเดินออกไปอาบน้ำ
"ยัยมอมแมมไม่ไปอาบน้ำหรือไง คุกกี้มันจับเวลาไว้แล้วเดี๋ยวก็สุกแหละน่า" ยัยพี่รินว่าพลางเดินเข้ามามองหน้าฉัน
"หนูไม่อาบ หนูจะไปเย่นน้ำกับพี่มะยิ"
"ยัยฟ้าไม่ได้หัวเลอะแป้งเหมือนเธอซะหน่อย คนที่ควรรีบไปอาบน้ำน่ะคือเธอ"
"ก็ฉันจะบ่นพี่มีปัญหาเหรอ"
"ผมว่าพวกพี่สองคนสนใจกลิ่นไหม้ตอนนี้ก่อนไหม"
ฉับพลัน ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่านั่นเป็นกลิ่นไหม้จริงๆ พี่ธันทำสีหน้าตื่นตกใจ พลางรีบเปิดเตาอบออกมาดู เจ้าของใบหน้าหล่อคมคายยกมือขึ้นนวดขมับ พวกเราสี่คนจดจ้องคุกกี้ไหม้เกรียมที่ต่อให้โกหกว่าเป็นคุกกี้ช็อคโกแลตก็ยังไม่รอด
"เฮ้อ.. สงสัยจะตั้งไฟแรงเกินไป มาตกม้าตายตอนจบได้ยังไงกันล่ะเนี่ย"
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น.. พลางเลือกชิ้นที่ยังพอกินได้ออกมา สรุปแล้วคุกกี้ที่พอจะกินได้มีอยู่สี่ชิ้น เพื่อความเท่าเทียมเราจึงแบ่งไปคนล่ะชิ้น ก่อนฉันจะแยกตัวออกมาจากเสียงบ่นของยัยพี่รินที่ดูจะเสียดายคุกกี้กว่าใครเพื่อน(ตอนแรกบอกไม่อยากกิน) ก้าวเล็กๆ ที่ตรงไปห้องของตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นอีกทาง ในมือถือคุกกี้รูปหัวใจไว้อย่างระมัดระวัง กระทั่งถึงที่หมาย.. ฉันก็แปลกใจที่ประตูมันไม่ได้ปิดอยู่อย่างปกติ แต่แง้มไว้ให้เข้าไปได้โดยไม่ต้องเคาะ
พ่อไม่อยู่ที่นี่แฮะ..
ปกติจะนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานตลอดทั้งวันแท้ๆ แต่ช่างเถอะ ฉันเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงาน ก่อนจะปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ เพื่อความอนามัยขึ้นมาหน่อย ฉันจะวางคุกกี้ไว้บนกระดาษทิชชูก็แล้วกัน ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงทำแบบนี้น่ะเหรอ.. ไม่รู้สิ.. ฉันก็แค่อยากตอบแทนที่ช่วยหันเนื้อให้ทุกครั้งที่อยากกินก็เท่านั้นเอง คุกกี้นี่ก็เป็นคุกกี้ที่พวกลูกๆ ตัวจริงของพ่อช่วยกันทำ ฉันคิดว่าเขาต้องไม่รังเกียจที่จะกินมันแน่
หลังจากวางเสร็จแล้วฉันก็รีบวิ่งออกจากห้อง และไปเล่นสระน้ำเป่าลมที่พี่มะลิเตรียมเสร็จแล้ว และที่เสร็จแล้วอีกอย่างก็คือสระว่ายน้ำที่เหลือเพียงเติมน้ำลงไป วันนี้พวกคนงานหายไปหมดแล้ว ฉันจึงมานั่งเล่นสระน้ำเป่าลมตรงสวนหลังคฤหาสน์ได้ สระน้ำเป่าลมอันนี้อันนี้มันไม่ใหญ่นักหรอก แต่ขนาดเหมาะกับเด็กวัยสามขวบ พี่มะลิเติมน้ำเข้าไปก่อนจะห้ามไม่ให้ฉันลงไปก่อน ฉันทำสีหน้างุนงงเมื่อเห็นเธอยกหม้อน้ำร้อนใหญ่มา
"อากาศวันนี้ไม่ค่อยดี ต้องผสมน้ำก่อนค่ะจะได้ไม่เป็นหวัด"
อ๋อ..งี้นี่เอง คิดว่าจะโดนหลอกมาต้มแล้วซะอีกฮ่าๆๆ พอผสมน้ำเสร็จเธอก็ให้ฉันลงไปแช่ได้ ตอนนี้ชุดที่ฉันใส่อยู่เป็นชุดกระโปรงสีชมพูตัวเดียวกันกับที่ใส่ไปทำคุกกี้ พอเห็นภาพที่พี่มะลิถือหม้อน้ำร้อนหนักๆ เมื่อกี้แล้วก็คิดว่าน่าจะหักคุกกี้หัวใจมาให้เธอ จะหาพี่เลี้ยงที่รักเราแบบนี้ได้ที่ไหนอีก
"น้ำอุ่นสบายไหมคะคุณหนู"
"อุ่งๆ ขอบคุงค่ะพี่มะยิ"
ฉันจุ่มหัวลงไปดำน้ำเล่นโดยมีพี่มะลิคอยดูแลด้วยอยู่ไม่ห่าง ความสุขสบายในตอนนี้ทำให้ความรู้สึกเครียดกังวลหายไปจนหมด ฉันพลิกตัวขึ้นมานอนแช่แล้วมองท้องฟ้า ช่วงนี้ฉันนอนมองมันบ่อยมาก เมื่อวานที่วงกตกุหลาบเองก็ได้มองเหมือนกัน และทุกครั้งที่มอง ความคิดก็จะแล่นไปเรื่อยๆ เหมือนได้เอาชีวิตที่ผ่านมายี่สิบเจ็ดปีมานั่งทบทวน และคิดวางแผนจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ยังไง ไม่นานนักความเป็นเด็กก็ทำให้ผล็อยหลับไปอีกแล้ว ทว่าก่อนจะหลับ ฉันรู้สึกเหมือนมีเงาของใครไม่รู้ตกกระทบลงบนตัว แต่เพราะฉันง่วงมากกว่าจะอยากรู้ว่าเจ้าของเงาเป็นใคร ฉันจึงหลับคาสระน้ำเป่าลมเด็ก
ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าอยู่ในห้องนอนของตัวเอง เสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นชุดใหม่แล้ว ดูเหมือนพี่มะลิจะเป็นคนอุ้มฉันขึ้นมา เวลาตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำหรับนอนกลางวัน แต่เพราะหลับก่อนเวลา ฉันจึงตื่นเร็วกว่าเวลาปกติอย่างช่วยไม่ได้ วินาทีถัดมาสายตาฉันก็สะดุดกับกล่องคุกกี้อย่างดีบนลิ้นชักข้างเตียง