ฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ครอบครัว,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,รั้วโรงเรียน,ดรามา,ตลก,พี่น้อง,โรแมนติก,พ่อแม่ลูก,เด็กน้อย,รักข้างเดียว,ครอบครัว,ย้อนเวลา,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฉันดัน 'ย้อนเวลา' กลับมาเป็นลูกพ่อฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
หลังจากที่ได้กลับบ้าน ฉันก็เข้ามาเก็บตัวอยู่ในห้องนอนคนเดียว แม้แต่พี่มะลิฉันก็ไม่ให้เข้ามา รู้อะไรไหม.. ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมได้ถ้ายังอยู่ในบ้านหลังนี้ อยู่ในความทรงจำแย่ๆ ที่นับว่าไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตครั้งใหม่ มีแค่ฉันที่จำเรื่องทุกอย่างได้และผูกใจเจ็บอยู่คนเดียว และที่น่าตลกคือลึกๆ แล้วฉันต้องการความรักความสนใจจากคนพวกนี้
ฉันกลัวตัวเองจะกลับไปเป็นเหมือนเด็กที่อยากได้รับความรักจริงๆ อีกครั้ง ทั้งที่ควรจะปล่อยวางและใช้ชีวิตให้มีความสุขเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีความสุขขึ้นได้จริงไหม น้ำตาที่กลั้นเอาไว้เอ่อล้นออกมาไหลลงบนหมอนนุ่ม ผ้านวมผืนหนาแม้จะอบอุ่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเลือนหาย มันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตอนที่เปิดประตูเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ที่เงียบเหงาของตัวเองหลังเลิกงานซะอีก
วินาทีถัดมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เมื่อฉันเงียบ คนหลังประตูก็เปิดเข้ามาโดยพละการ ฉันไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าเป็นใคร พลางยกผ้าห่มผืนนุ่มขึ้นปิดหน้าเอาไว้ หากไม่ใช่พี่มะลิ ก็คงเป็นคุณปู่พิรัชต์ ทว่าเสียงถาดบางอย่างที่วางบนโต๊ะข้างเตียงกำลังส่งกลิ่นหอม เป็นกลิ่นของคุกกี้ช็อคโกแลตชิพที่คล้ายจะเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ก่อนจะรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงข้างเตียง จะเอาขนมมาล่องั้นเหรอ ..จะว่าไปก็หิวจังเลยแฮะ อ๋อ..เพราะมีแค่ไอติมที่ตกถึงท้องสินะ แล้วนี่มันตีเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย
คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงยังนิ่งเงียบ ฉันที่แอบผวาว่าจะเป็นผี จึงเลือกที่จะแอบเหลือบมอง ทว่าก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังกว้างที่นั่งหันหลังให้อยู่ เป็นแผ่นหลังที่คล้ายกับพี่ธันแต่ฉันรู้ว่าคนๆ นี้ไม่ใช่เขา จนแล้วจนรอดความหิวก็เอาชนะทุกสิ่ง ฉันคลุมตัวด้วยผ้าห่มพลางกระดึ๊บเข้าไปใกล้โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะยื่นมือออกจากผ้าห่มไปหยิบคุกกี้มาเท่าที่มือของเด็กสี่ขวบจะหยิบได้ ซึ่งก็คือสามชิ้น
ฉันกินคุกกี้เงียบๆ ก่อนจะสำลักเพราะคุกกี้มันฝืดคอ วินาทีถัดมาก็มีนมยื่นมาให้ ฉันรับมือดื่มเงียบๆ อีกครั้ง นัยน์ตาคมสีน้ำตาลไหม้กำลังจับจ้องฉันอยู่ไม่ห่าง แต่เพราะฉันไม่อยากจะสบตาจึงเอาแต่ก้มหน้างุด นี่นับเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาเข้ามาในห้องนอนของฉัน
"เอาอีกไหม"
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามไม่ดังไม่เบา ฉันพยักหน้าขณะที่อีกฝ่ายถือจานใส่คุกกี้มาให้ฉันหยิบได้ง่ายขึ้น
"ลูกอาบน้ำแล้วเหรอ"
ฉันพยักหน้าตอบ
"อาบเองคนเดียว?"
ฉันก็พยักหน้าตอบอีกรอบ ไม่เข้าใจว่าพอจะถามไปทำไม
"กินเสร็จแล้วอย่าลืมแปรงฟันก่อนเข้านอน" สิ้นเสียง ฉันก็นึกว่าเขาจะเดินออกจากห้องไป ทว่ากลับนั่งรอจนฉันกินเสร็จและไปแปรงฟัน ยาสีฟันรสสตรอเบอร์รี่ของฉันถูกฉกไปบีบใส่แปรงสีฟันและยื่นมาให้ สายตาของพ่อที่มองดูวิธีการแปรงฟันของฉัน ทำให้เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่น ฉันคิดว่าตัวเองแปรงสะอาดแล้วนะ จะเอาอะไรกับเด็กที่ฟันหน้าหายไปสองซี่ด้วยเนี่ย แปรงเสร็จแล้วก็วิ่งออกจากห้องน้ำแล้วกระโดดขึ้นเตียงทันที
ร่างสูงใหญ่ของพ่อเดินไปปิดไฟให้ ขณะที่ฉันยังเปิดโคมไฟข้างเตียงทิ้งไว้เหมือนเดิม ทว่าเขากลับไม่เดินออกจากห้องแต่ขึ้นมานอนบนเตียงกับฉันแทน ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ รู้สึกระแวงกับท่าทีที่เปลี่ยนของคนเป็นพ่อ พ่อนอนตะแคงข้างและหันหน้ามาทางฉัน สายตายังคงจับจ้องใบหน้าที่เริ่มเกร็งของฉันตลอดเวลา ฉันจึงเลือกที่จะเอ่ยถามเพื่อดับความอึดอัด
"พ่อไม่กลับห้องเหรอคะ"
"เดี๋ยวก็กลับ"
"อ๋อค่ะ.."
ความเงียบโปรยลงมาอีกครั้ง ขณะที่ในหัวกำลังนึกถึงเรื่องที่จะพูด จะว่าไปฉันควรถามหาแมวตัวนั้นจากพ่อดีไหม หรือมันจะเป็นโรคร้ายจึงเอามาเลี้ยงไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่ทันได้เอ่ยถามสิ่งใดคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้น
"ลูกไม่กลัวเลยเหรอ"
"กลัวอะไรคะ"
"พ่อเห็นในกล้องวงจร ลูกวิ่งเข้าไปช่วยพี่สาวของลูกแล้วก็ขึ้นรถไป ทำไมลูกถึงทำแบบนั้น และลูกไม่มีความกลัวเลยงั้นเหรอ" คำถามของพ่อทำให้ฉันที่เหม่อมองเพดานอยู่หันไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ของเขาเล็กน้อย หัวใจสั่นระรัวเพราะคล้ายจะเห็นความอ่อนไหวบางอย่างที่พาดผ่านนัยน์ตาคู่นั้นไป
"หนูกลัวค่ะ.. กลัวว่าจะไม่ได้เจอพี่อีกก็เลยต้องตามไป"
"..."
"แต่หนูช่วยอะไรพี่รินไม่ได้เลย"
"ช่วยสิ ลูกช่วย"
"ยังไงคะ"
"เพราะถ้าลูกไม่โทรมาใบ้ที่อยู่ให้ ณรินทร์อาจจะได้กลับบ้านช้ากว่านี้" น้ำเสียงที่คล้ายจะนุ่มนวลขึ้นไม่ว่าเปล่าแต่เข้ามาใกล้มากขึ้นพร้อมกับมือแกร่งที่ลูบลงบนหัวอย่างอ่อนโยน น้ำตาที่พยายามไม่ให้ใครได้เห็นเอ่อล้นออกมา ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนนั้นเป็นสัมผัสที่ฉันไม่เคยได้รับจากคนๆ นี้เลยในชีวิตก่อน
"พรุ่งนี้หยุดเรียนสักวันดีไหม"
"ฮึก.. พรุ่งนี้วันเสาร์ค่ะพ่อ"
"..." พ่อชะงักไปเล็กน้อย ฉันจึงหลุดหัวเราะขำออกมาแทน พ่อพูดเป็นเชิงคล้ายกับอยากให้รางวัลอะไรกับฉันสักอย่างหนึ่ง และตอนนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่อย่างที่ฉันอยากได้ "แล้วแมวของหนูล่ะคะ" สิ้นเสียง เรียวคิ้วเข้มก็เลิกขึ้นเล็กน้อยราวกับแปลกใจที่ฉันยังจำได้ทั้งที่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว
"แมวตัวนั้นอยู่ที่ห้องพี่สาวลูก"
ฉันเบิกตากว้างอย่างตกใจ นี่อย่าบอกนะว่ายัยพี่รินเอาไปเลี้ยงไว้ในห้องตัวเองมาตลอดเลย! จากความตกใจแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ พ่อที่อ่านสีหน้ามุ่ยๆ ของฉันออก พูดขึ้นทันที
"แมวโตเต็มวัยมันต้องการความสงบ แบบลูกควรจะเลี้ยงลูกหมามากกว่า" ฉันไม่ได้พูดตอบอะไรพลางหันหน้าไปทางอื่น จะบอกว่าฉันซนเหมือนลิงเลยควรจะเลี้ยงหมาใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ได้ซนซะหน่อยก็แค่ต้องเล่นให้เป็นการออกกำลังกายไปในตัวเพื่อที่ร่างกายจะได้แข็งแรงและโตเร็วๆ ต่างหาก เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกขณะที่ฉันเองก็เริ่มรู้สึกฝืนให้ตัวเองตื่นต่อไม่ไหว คืนนั้นฉันหลับปุ๋ยโดยมีพ่อนอนอยู่ข้างๆ ถามว่ารู้ได้ไงว่าเขานอนอยู่ข้างๆ ฉันทั้งคืน นั่นก็เพราะเมื่อตื่นขึ้นมา ฉันก็พบว่าเขานอนหลับอยู่ข้างกายขณะที่ขาทั้งสองข้างของฉันวางพาดอยู่บนลำตัวของคนเป็นพ่อ
เป็นเช้าที่สยองขวัญมาก เพราะอะไรจู่ๆ เขาถึงมานอนกับฉันได้เนี่ย!? ฉันค่อยๆ เอาขาลงแล้วลงจากเตียงนอน ตลอดทั้งชีวิตฉันไม่เคยนอนเตียงเดียวกับพ่อเลย แต่การย้อนเวลากลับมาครั้งนี้ทุกอย่างกลับผิดแปลกไม่เหมือนเดิม และแน่นอนว่ามันคงเป็นเพราะการกระทำที่เปลี่ยนไปของฉันด้วย ฉับพลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อคนเป็นพ่อปรือตาขึ้นตื่น ไม่วายใช้มือคลำหาฉันที่แอบมองเขาอยู่ตรงปลายเตียง
"ฟ้าใหม่?"
น้ำเสียงที่ติดงัวเงียนั่นก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ฉันไม่ได้ขานรับ แต่ค่อยๆ มุดผ้าห่มจากปลายเตียงเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโผล่หัวออกมาอ่านสีหน้า เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นขณะที่ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยราวกับยังไม่ตื่นดีทำให้ฉันหลุดหัวเราะ
"ขำอะไร"
"หน้าพ่อ"
"..."
พอเห็นพ่อนิ่งเงียบไปทั้งอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกตลกกว่าเดิม ฉันเคยคิดว่าพ่อค่อนข้างน่ากลัว แต่ตอนนี้ก็ไม่คิดแบบนั้นแล้ว ตลอดทั้งวันฉันกับยัยพี่รินไม่พูดกันเลย ส่วนหนึ่งเพราะฉันเองก็คิดว่าดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น เพราะไม่มีทางที่พี่สาวผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีจะยอมเอ่ยพูดอะไรกับฉันก่อน เธอดูจะโกรธกับเหตุการณ์ที่ฉันทำไปเมื่อวานนี้ พี่ธันกับพี่ป้้นหนึ่งเองก็คล้ายจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเหตุการณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้น ทว่าก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันสงสัย
พวกพี่ๆ เคยโดนลักพาตัวมาแล้วทุกคนเลยงั้นเหรอ? แล้วทำไมฉันถึงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยโดนจับตัวไปกันล่ะ ฉับพลันก็นึกออก.. คงเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนคนในตระกูลนฤวัตปกรณ์งั้นสินะ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ หลายวันต่อมาเมื่อเห็นวันที่บนปฏิทินที่ฉันมาร์คเอาไว้ ฉันก็แอบไปหาพ่อพร้อมกับขอร้องให้เขาทำบ้างอย่างให้ ซึ่งนับว่าเป็นคำขอร้องที่ต่อให้เป็นพวกพี่ๆ เองก็ยังยากที่จะทำให้ได้
นั่นคือการขอให้พ่อจัดงานวันเกิดให้ยัยพี่ริน ไม่ต้องใหญ่มาก จัดแค่สำหรับคนในครอบครัว เพราะฉันรู้ว่าพวกกลุ่มเพื่อนเหลี่ยมจัดของยัยพี่รินวางแผนจะแกล้งลืมวันเกิดของเธอ ไม่รู้ว่าเจ้าพวกนั้นจัดการยังไงกับเรื่องที่ฉันขู่ว่าจะแฉ บางทีอาจจะรู้แล้วว่าฉันไม่ได้มีคริปอยู่จริงๆ ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม.. ต่อให้พวกจอมปลอมนั่นเลือกเซอร์ไพรส์วันเกิดยัยพี่ริน ฉันก็อยากจะช่วยให้พ่อทำให้เธอมีความสุขกว่าการได้ของขวัญกับเค้กจากยัยพวกกุหลาบเน่า!
"ไม่ได้ วันเกิดก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ตระกูลเราไม่เคยมีการจัดวันเกิดให้ใครทั้งนั้น" สิ้นเสียง ฉันก็หวนนึกถึงความทรงจำวัยสิบสองขวบของตัวเองขึ้นมา เป็นวันที่เพื่อนร่วมห้องถูกเซอร์ไพรส์วันเกิดในห้องเรียน สีหน้าและแววตาที่ดูมีความสุขจนน้ำตาไหลนั่นทำให้ฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกของยัยพี่ริน
"ตอนนี้พ่อกักบริเวณพี่สาวของลูกเรื่องโดดเรียนจนทำให้เกิดเรื่องใหญ่ แต่อีกไม่นานก็จะครบกำหนด ถึงอย่างนั้นเราก็จะไม่จัดงานวันเกิด"
"ทำไมคะ?"
"ตระกูลนฤวัตปกรณ์ไม่มีธรรมเนียมแบบนั้น" เขาหัวแข็งสมกับเป็นผู้นำตระกูลผู้ไม่รู้จักผ่อนปรนต่อสิ่งใด แต่ธรรมเนียมอะไรนั่นมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ
"หนูคิดว่าต่อให้มีหรือไม่มีงานวันเกิด ตระกูลนฤวัตปกรณ์ ก็คือตระกูลนฤวัตปกรณ์"
"..."
"พ่ออึ้งเพราะหนูพูดชัดใช่ไหมล่า~ ฮ่าฮ่าๆ แล้วพ่อจะตกใจกว่านี้อีกถ้าได้ฟังเสียงหนูร้องเพลงวันเกิด"
คนเป็นพ่อทำสีหน้าอ่อนใจออกมาเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่ได้มีแววหงุดหงิดให้เห็น ก่อนจะพูด
"งั้นก็ตั้งใจร้อง"