ฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ครอบครัว,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,รั้วโรงเรียน,ดรามา,ตลก,พี่น้อง,โรแมนติก,พ่อแม่ลูก,เด็กน้อย,รักข้างเดียว,ครอบครัว,ย้อนเวลา,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เมื่อฉันดัน 'ย้อนเวลา' กลับมาเป็นลูกพ่อฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
แม้คนพวกนี้จะงุนงงกับคำว่าน้องสาว แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าจะเข้าใจเมื่อคุณนิธิศ หรือก็คือพ่อของฉันเดินลงมาดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ถึงอีกฝ่ายจะเอาแต่พูดแก้ตัวว่าไม่ได้ทำอะไรฉัน แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงๆ นั่นแหละนะ ฉันยังคงรู้สึกสับสนและนิ่งอึ้งกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของร่างบาง คิดว่าเธอจะอายที่มีฉันเป็นน้องซะอีก.. แต่ยามนี้กลับแสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ว่าต่อให้ยัยพี่รินจะถูกมองว่าเป็นพวกเอาแต่ใจ หรือทำตัวแย่ยังไง แต่เธอก็ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่อยากได้รับการยอมรับ และห่วงสายตาที่มองมายังตัวเองของคนอื่น บางครั้งถึงได้ยอมทำเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ
และฉันเองก็รู้ว่าการที่เธอทำแบบนี้ มันจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอเองไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าเธอมารู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองทีหลัง.. เธอจะเกลียดฉันหรือเปล่านะ
"ผมเห็นพวกพี่เขาพูดไม่ดีกับน้องครับคุณอานิธิศ"
จู่ๆ คนข้างกายที่เพิ่งจะหาวง่วงนอนก็พูดขึ้น ฉันหัวใจเต้นตึกตักอย่างหวาดหวั่นเพราะเดาไม่ถูกเลยว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร พ่อที่เดินไปกั้นกลางระหว่างยัยพี่รินกับกลุ่มยัยกุหลาบ ปรายสายตาเย็นเยียบไปยังกลุ่มเพื่อนของยัยพี่รินที่ทำหน้าซีดเผือด ฉันมองไม่เห็นสีหน้าของพี่สาวที่กำลังก้มงุด ก่อนเธอจะวิ่งเข้าไปข้างใน ฉันที่คิดอะไรไม่ออกตัดสินใจวิ่งตามเธอไป
ยัยพี่รินวิ่งเข้าห้องตัวเองพร้อมกับปิดประตูเสียงดังปัง ฉันได้แต่ยืนนิ่งอยู่หลังประตูเพราะไม่กล้าเคาะเรียก วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ ฉันว่าแล้ว.. ว่าเธอจะเสียใจ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่ฉันยืนจมในความคิดอยู่ตรงนี้ ทว่าฉันก็ต้องหลุดจากภวังค์และตกใจกับอุ้งมือแมวที่ลอดผ่านช่องประตูออกมาเขี่ยเท้าของฉัน ไม่นานนักประตูก็เปิดออก
"โอเลี้ยงตะกุยอะไรของแ-" เจ้าของดวงตาที่บวมเป่งเบิกกว้าง จังหวะที่ยัยพี่รินจะปิดประตู ฉันก็เข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว เธอชะงักไปเมื่อเห็นฉันเข้ามาอย่างหน้าตาย พลางเดินไปเล่นกับเจ้าดำที่ดูมีความสุขดี ชื่อโอเลี้ยงก็น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย
"เข้ามาทำไมเนี่ย"
นั่นสินะ.. จริงๆ ฉันเองไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ร่างบางไม่ได้ไล่ฉันออก พลางขยับขึ้นไปนอนบนเตียงใหญ่ ตุ๊กตาหมีถูกใช้เป็นที่ปิดหน้า ฉันเล่นกับแมวเสร็จก็เดินไปหยุดมองเธออยู่ตรงข้างเตียง หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ เธอคงคิดว่าตุ๊กตาตัวนี้จะปิดบังใบหน้าไว้ได้หมด
"พี่ร้องไห้เพราะพวกนั้นใช่ไหม"
"...."
"อย่าร้องเลยนะ ถึงพี่จะไม่มีเพื่อนคบแล้วแต่เดี๋ยวหนูจะเป็นให้เอง"
"ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะเรื่องนั้น.."
รู้สึก.. ไม่ชอบน้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะร้องไห้นี่ชะมัด แล้วก็ไม่ชอบด้วยที่ต้องเห็นคนที่ปกติจะเชิดหน้าชูตาอย่างมีศักดิ์ศรีทำตัวอ่อนแออย่างนี้ สู้ให้เธอโกรธหรือไม่ก็ด่าฉันจะดีกว่า ฉันย่อตัวลงพร้อมกับเอาคางเกยขอบเตียงเอาไว้เพื่อรอให้เธอพูด เสียงเครื่องปรับอากาศดูจะดังยิ่งกว่าเสียงลมหายใจของเราสองคนรวมกันซะอีก
และเพราะคิดว่าต่อให้รอต่อไปยัยพี่รินก็คงจะไม่ปริปากพูดอะไร ฉันจึงขยับตัวหมายจะเดินออกจากห้อง แต่ยัยพี่รินก็เอ่ยขึ้นก่อน
"ฉันไม่ได้ตั้งใจ.."
"?"
"ที่เรียกเธอว่าลูกคนใช้น่ะ ฮึก.. ขอโทษนะ" สิ้นเสียง ฉันก็ใจสั่น.. คำขอโทษจริงใจที่มาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้นั้นบ่งบอกว่าแท้จริงแล้วเรื่องที่เธอกำลังกังวลอยู่ ไม่ใช่เรื่องของเพื่อนตัวเองแต่เป็นเรื่องของฉัน รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนฉันจะปีนขึ้นเตียงไปนอนมองเพดานอยู่ข้างกายของยัยพี่สาวขี้แย
"พูดมาสิว่ายกโทษให้"
"อืม.. หนูยกโทษให้"
"เธอจำใจพูดใช่ไหมยัยมอมแมม"
ฉันส่ายหน้าเอือมๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมกอดอบอุ่น เป็นครั้งแรกในชีวิต..ที่ยัยพี่รินกอดฉัน
และมันก็รู้สึก..
แปลกจนอยากจะร้องไห้
"ต่อไปนี้เธอจงภูมิใจในนฤวัตปกรณ์ จงมั่นใจว่าตราบใดที่เธอยังอยู่ในตระกูลนี้ ก็จะไม่มีใครหน้าไหนดูหมิ่นหรือทำร้ายเธอได้ ใครถามก็บอกไปเลยว่า ณรินทร์ นฤวัตปกรณ์ คนนี้เป็นพี่สาวของเธอ และฉันเองก็จะบอกให้รู้เหมือนกันว่าเด็กหญิงนภัสกานต์ นฤวัตปกรณ์ เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของฉัน" สิ้นเสียงที่แลดูมั่นคงยิ่งกว่าครั้งใดๆ ฉันก็หันหน้าเหลือบมองดวงหน้าหวานที่กำลังแดงก่ำไปทั่วทั้งหน้า พลันหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ วินาทีถัดมายัยพี่รินที่กำลังเขินอาย ก็แสดงอารมณ์ผ่านการโมโหและโวยวายออกมา เธอเองก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
หลังจากนั้นการทะเลาะและไม่พูดคุยกันก็สิ้นสุดลงตรงนั้น ยัยพี่รินก็กลับมาเป็นยัยพี่รินของฉันอีกครั้ง แต่ที่เปลี่ยนแปลงไป คือความรู้สึกระหว่างเราพี่น้องที่แนบแน่นยิ่งขึ้น
กระทั่งการเซอร์ไพรส์วันเกิดมาถึง ก็ยังมียัยพี่รินอยู่คนหนึ่งที่ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป ฉันไม่คุ้นหน้าเท่าไหร่แต่เพื่อนคนนี้เป็นผู้ชาย เขาบอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะอยู่ขอโทษยัยพี่รินให้ได้ ใบหน้าของเขาดูอ่อนกว่าวัย.. เอ่อ..ก็วัยรุ่นอายุสิบเจ็ดนั่นแหละ ดวงตาที่ฉายความขี้ขลาดให้เห็นทำฉันรู้สึกแปลกใจ อีกฝ่ายดูท่าจะเป็นคนหัวอ่อนมากๆ คนหนึ่ง แต่ทำไมถึงกล้าที่จะทนการขับไสไล่ส่งจากเจ้าของตระกูลอย่างนี้ แต่เพราะแบบนั้นฉันจึงยอมให้อีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งในงานเลี้ยงวันเกิดนี่ด้วย
ทุกๆ สี่โมงเย็น ยัยพี่รินจะต้องเดินลงมาซ้อมดนตรีในห้องนี้ และแล้วจังหวะที่เธอเปิดประตูเข้ามา พวกเราทั้งหมดก็ดึงพลุกระดาษออกพร้อมกับพูดว่า 'สุขสันต์วันเกิด!!' หนังสือโน้ตดนตรีในมือของยัยพี่รินตกลงกับพื้นด้วยความอื้ออึ้ง ฉันจึงยิ้มแป้นแล้ววิ่งไปดึงเธอเข้ามา
"น..นี่อะไรกันคะ"
"งานวันเกิดลูก ฟ้าใหม่ขอให้จัดตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว" พ่อเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะที่ตัวเองรับไมค์โครโฟนมาจากปู่พิรัชต์ พลางส่งมาให้ฉันที่ทำสีหน้างุนงง
"เค้กมาแล้ว ร้องเพลงสิ"
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะยังจำได้อยู่ ทุกสายตากำลังจับจ้องฉันด้วยความคาดหวัง ขณะที่ยัยพี่รินหยิบกล้องขึ้นมาด้วยสีหน้าทะเล้นอีกแล้ว เค้กที่ป้าแม่บ้านถือมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบาง ก่อนฉันจะจำใจร้อง
"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู ยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู ยู " หลังจากนั้นทุกคนยกเว้นพ่อที่ยกยิ้มมุมปากอย่างเบาบาง ก็ประสานเสียงร้องเพลงพร้อมกันกับฉัน ยัยพี่รินที่ยืนอยู่กัดฟันกลั้นน้ำตาอย่างหนัก ฉันเกือบจะหลุดขำเพราะรู้ว่าเธอคงจะเขินมากแต่ก็ดีใจมากเช่นกัน พี่ธันเอ่ยบอกให้อธิษฐานก่อนเป่าเทียน ขณะที่พี่ปั้นหนึ่งกับไอ้พี่กุมภ์กำลังจองน้ำตาลปั้นบนเค้ก
ท่ามกลางบรรยากาศวันเกิดที่สนุกและครึกครื้นกว่าที่จินตนาการไว้ ฉันก็หยุดยืนมองบรรยากาศเหล่านั้น ก่อนจะเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คู่สวยที่กำลังมองไปยังลูกสาววัยสิบเจ็ดอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาคู่นั้นค่อยๆ เลื่อนไปยังพี่ธันที่หัวเราะและร่าเริงมากกว่าในความทรงจำ และพี่ปั้นหนึ่งที่คล้ายจะเป็นตัวเองมากขึ้น ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใส แต่จริงๆ แล้วเขายอมทำอย่างนั้นเพราะอยากให้ทุกคนร่าเริงซะมากกว่า ก่อนสายตาคู่นั้นจะจ้องมายังฉัน ความอุ่นวาบแทรกขึ้นกลางใจ.. รอยยิ้มของฉันพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างบางเบา
และแล้วช่วงเวลาที่เปิดของขวัญก็มาถึง โดยของขวัญที่จะเปิดในงานจะนับแค่ของคนในครอบครัว ยังไม่นับรวมของคนอื่นที่ส่งมาให้ ซึ่งก็มีของฉัน พ่อ พี่ธันแล้วก็พี่ปั้นหนึ่ง ยัยพี่รินเปิดของพี่ธันก่อนเป็นลำดับแรก เธอทำสีหน้าแบบที่ฉันคิดไว้เป๊ะตอนเห็นคุกกี้ช็อคโกแลตชิพ ฉันหัวเราะขำจนปวดท้อง ขณะที่พี่ธันถามว่าคุกกี้ตัวเองไม่ดีตรงไหน
ชิ้นต่อมาคือของพี่ปั้นหนึ่ง ซึ่งเปิดออกมาก็เจอกับหนังสือที่หนาจนสามารถทุบหัวคนตายได้ สีหน้าผิดหวังของวัยรุ่นอายุสิบเจ็ดปี ไม่สิ.. สิบแปดแล้ว ทำให้ปั้นหนึ่งต้องอธิบาย
"เล่มนี้มันดีมากเลยนะ เป็นเล่มโปรดของผมเลย"
"อืม.. ขอบใจ"
กล่องของพ่อเล็กที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน ฉันเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กับคนอื่นๆ ก็มองอยู่ และเมื่อของขวัญถูกเปิดออก ฉันก็สรุปได้เลยว่า ทั้งสามหนุ่มในครอบครัวนี้ ไม่มีใครละเอียดอ่อนเลยสักคน ของขวัญของพ่อคือเงินปึกหนึ่ง พ่อจะเอาเงินให้กับคนที่ไม่ต้องการทำไมล่ะคะ!? เอามาให้หนูนี่!
"ขอบคุณค่ะพ่อ งั้นของยัยมอมแมมก็น่าจะเป็นเนื้อไม่ก็ไอติมสินะ"
ฉับพลัน ร่างบางก็นิ่งเงียบไปเมื่อเห็นของขวัญด้านใน ฉันยกยิ้มกรุ่มกริ่มขณะที่เธอหยิบสายสำหรับวัดตัวออกมา..
"อ่านกระดาษข้างในนั้นด้วยสิคะ"
ยัยพี่รินทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย เธอเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นมัน กระดาษใบเล็กๆ นั้นเป็นกระดาษสัญญาสร้างห้องใหม่ให้เธออีกห้อง เป็นห้องตัดเย็บและออกแบบเสื้อผ้าที่ฉันตั้งใจมากๆ ที่จะสร้างมาให้เธอ พ่อแม้จะยังไม่ได้ยอมรับในสายงานที่ยัยพี่รินอยากจะทำ แต่ก็ยอมให้สร้างเพราะมันเป็นงานอดิเรกที่เธอรักและหลงใหล ฉันรู้ว่าต่อจากนี้เธอจะทำได้ดีกว่าเคย
"ขอบใจนะยัยมอมแมม พี่ชอบมันมากเลย"
"โห่ยัยรินลำเอียง พอทีกับของขวัญพี่ทำไมไม่ยิ้มกว้างๆ แบบนั้นบ้าง"
"ของพี่ฉันก็ชอบเหมือนกันนั้นแหละน่า"
ภาพนั้นของทั้งพี่น้องทำให้คนอื่นๆ หลุดขำ ไอ้พี่กุมภ์ที่จิ๊กแหวนเพชรของฉันไปเป็นของขวัญแล้วบอกจะชดใช้คืนเดินเข้ามาใกล้ พลางถาม
"แล้วจะเอายังไงกับเพื่อนของพี่รินที่นั่งหลบมุมอยู่ตรงนั้นล่ะ?"