ฉันตายและย้อนกลับมาในวัยที่ตัวเองเกลียดมากที่สุด เป็นวัยเด็กที่ทุกคนตราหน้าว่าเป็นลูกชู้ แต่เหมือนคุณพ่อ.. จะอ่อนโยนมากขึ้นหรือเปล่านะ?
ครอบครัว,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,รั้วโรงเรียน,ดรามา,ตลก,พี่น้อง,โรแมนติก,พ่อแม่ลูก,เด็กน้อย,รักข้างเดียว,ครอบครัว,ย้อนเวลา,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฉันไม่รู้ว่าในหัวของเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อโญคิดอะไรอยู่ ถึงตอบรับข้อเสนอแสนไร้สาระของฉันทันที อาจเพราะเห็นว่าฉันเองก็ตัวคนเดียวหรือเปล่า ในตอนกลางวันเราแอบขึ้นไปกินข้าวกันบนดาดฟ้าที่เขาแปะป้ายชัดเจนว่าห้ามขึ้นมา แต่ถ้าห้ามขึ้นมาจริงๆ ทำไมถึงไม่ล็อคประตูไว้ล่ะ ถ้าล็อคไว้ฉันก็ไม่ขึ้นมาหรอก(สรุปโบ้ยความผิดให้คนไม่ล็อคประตู) โญเป็นเด็กวัยสิบสามที่หน้าตาสะสวย หางตาตกนิดๆ ทำให้เวลาสบตาเธอจึงดูเหมือนสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ขี้กลัวและไม่มั่นใจในตัวเอง
บนดาดฟ้ามีรั้วตาข่ายสูงเท่าอกเป็นราวกั้น เพราะดูไม่ค่อยปลอดภัยนี่เองถึงได้ห้ามขึ้นมา ติดกันกับประตูทางขึ้นดาดฟ้าเป็นห้องเก็บของ เพราะเมฆที่มีมากกว่าปกติทำให้ข้างบนนี้ไม่ร้อนเลยสักนิดแถมยังมีลมพัดอยู่ตลอดเวลา
"ทำไมเราถึงไม่ไปกินกันที่โรงอาหารเหมือนกันกับคนอื่นเขาล่ะ"
"แล้วทำไมเราต้องทนนั่งกินข้าวอย่างแออัดในโรงอาหารด้วยล่ะ" ฉันตอบกลับไปด้วยคำถาม ส่วนมือก็เปิดถุงที่เต็มไปด้วยอาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อในโรงเรียน ฉันยื่นข้าวปั้นสามเหลี่ยม.. น่าจะเป็นไส้ไข่กุ้งไปให้โญที่นั่งอย่างเรียบร้อยบนพื้นดาดฟ้า พลันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ที่พาเธอมาลำบากแบบนี้
"เอ่อ.. แม่บอกว่าอาหารสำเร็จรูปพวกนี้ไม่ควรกินนะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ"
"ไม่ได้กินบ่อยไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่ได้กินนานแล้วด้วยส่วนมากจะกินบ่อยก็ช่วง.."
"ช่วง?"
ทำโอที.. พอนึกถึงชีวิตที่แล้วก็แอบเศร้าเหมือนกันแฮะ หลังจากที่ออกจากตระกูลฉันก็แทบจะฝากท้องไว้กับอาหารพวกนี้อยู่ตลอด กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกินจริงๆ เลยตัวฉัน
"เอาเป็นว่ากินๆ เข้าไปเถอะ ฉันหิว"
โญค่อยๆ แกะข้าวปั้นไปกินอย่างมีมารยาท ทำให้ฉันที่มีข้าวติดอยู่ตรงแก้มรู้สึกถึงความห่างชั้น เพราะเคยคิดว่าเป็นเด็กก็ต้องทำตัวให้สมกับเป็นเด็ก ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเด็กจริงๆ แถมมารยาทเริ่มจะติดลบ โญที่จ้องหน้าฉันนิ่งๆ ยกมือขึ้นหยิบเม็ดข้าวที่ติดตรงแก้มออกให้ ก่อนจะยกยิ้มอ่อนหวานส่งมา
น่ารัก..
ยัยเด็กชื่อโญน่ารักแบบตะโกน
ฉับพลัน เสียงประตูห้องเก็บของบนชั้นดาดฟ้าก็เปิดออก เราสองคนสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในนั้น แถมยังมีกันถึงสามคน ฉันจ้องมองผู้ชายที่น่าจะเป็นรุ่นพี่ พวกนั้นเองทำสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเรา ดูท่าทางจะแอบขึ้นมาทำอะไรไม่ดีแหงๆ ท่าทางกร่างๆ ของทั้งสามทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วมอง
ตัวเป็นอันธพาลตามแก๊งการ์ตูนไปได้
ฉันเผลอหาวขณะที่โญกระตุกแขนเสื้อให้รีบลุกขึ้น
"เด็กใหม่เหรอ ไม่รู้รึไงว่าบนนี้มันถิ่นใคร" ผู้ชายที่น่าจะเป็นหัวโจกเอ่ยขึ้น พลางยืนกอดอกข่มเหงโญที่ดูอ่อนแอที่สุดและแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนว่ากำลังกลัว ฉันเก็บอาหารใส่ถุง ขณะที่ผู้ชายอีกคนเดินมาฉกถุงอาหารของฉัน สงสัยจะหิวข้าวมาก
"ฟ..ฟ้าใหม่เราไปกันเถอะ"
ฉันทำตามอย่างว่าง่าย แม้จะแอบเคืองเรื่องถุงอาหารกลางวันถูกแย่งไป แต่แก้ปัญหาด้วยการหลีกเลี่ยงมันก็ดูเป็นผู้ใหญ่ดีนะฉันว่า เกือบจะดีแล้วเชียวถ้าไอ้หัวโจกที่เหมือนจะเก่งแค่กับผู้หญิงไม่มาขวางประตูทางออกเอาไว้
"ปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้มันก็ไม่สนุกสิ"
โญเกาะแขนฉันแน่น ขณะที่ฉันพยายามจูนสมองว่าไอ้เบื๊อกตรงหน้ามีอะไรน่ากลัว หรือเพราะตัวใหญ่และสูงกว่า หากไม่ใช่เพราะถูกพี่อัลป์ฝึกมาอย่างดี ฉันอาจจะไม่มั่นใจว่าทำอะไรพวกนี้ได้ ก่อนอื่นสำรวจไอ้หัวโจกที่ไม่ค่อยกล้าจะสบตากับฉันนี่ก่อน เครื่องแบบนักเรียนถูกระเบียบก็จริงแต่แอบใส่ถุงเท้าสีแดง อีกคนใส่สีเขียวและคนสุดท้ายใส่สีขาวปกติ หากเป็นตัวฉันในวัยสิบสามอาจจะสั่นหงึกเหมือนโญ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกตลกซะมากกว่า
หึ.. การกลั่นแกล้งงั้นเหรอ
ไม่คณามือฉันผู้ผ่านสมรภูมิรบในฐานะพนักงานออฟฟิศคนนี้หรอก ถ้าทั้งสามตรงหน้าไม่ได้จิตผิดปกติขั้นรุนแรงอะนะ
"พวกเราจะไปแล้วค่ะ และจะไม่ขึ้นมาอีก" โญโพล่งขึ้นแทนฉันที่นิ่งเงียบ ส่วนฉันก็จ้องหน้าไอ้ถุงเท้าแดงที่เริ่มจะหงุดหงิด
"มองอะไรนักหนาวะ หน้าฉันเหมือนพ่อเธอรึไง"
"ม่ายอะพ่อฉันหล่อกว่าเย๊อะ"
เพื่อนสองตัวด้านหลังหลุดขำคิกคัก ก่อนอีกฝ่ายจะโมโหแล้วเข้ามากระชากคอเสื้อ แต่เสือกไม่ใช่คอเสื้อของฉันเนี่ยสิ โญกรี๊ดด้วยความตกใจ ฉันเลิกคิ้วไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้หัวโจกถุงเท้าแดงนี่จะกล้ากระชากคอเสื้อเด็กผู้หญิงที่โคตรจะน่ารัก ไม่ใช่ว่าเด็กวัยนี้มันจะต้องเริ่มสนใจเพศตรงข้ามกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แล้วหรือไง กับโญยังรุนแรงขนาดนี้ แล้วคนหน้าตาดีอย่างฉันจะไปเหลืออะไร
"ลองพูดกวนประสาทฉันดูสิ ไม่งั้นเพื่อนเธอได้เจ็บตัวแน่"
"ใครบอกว่าเธอเป็นเพื่อนฉันล่ะ"
"ห๊ะ?"
"ยัยนี่น่ะเบ๊ของฉันเอง" ฉันตอบด้วยน้ำเสียงยียวน ไอ้หัวโจกถุงเท้าแดงผงะไปเล็กน้อย แววตาที่ฉายให้เห็นถึงความหวาดหวั่นเหลือบมองไปยังเพื่อนสองคนด้านหลัง แล้วพูด
"ไอ้สองคนนั้นก็เบ๊ฉันเหมือนกัน"
"หึ้ยเปล่าสักหน่อยใครเป็นเบ๊นายกัน"
"นั่นดิ ใครจะยอมเป็นเบ๊"
ฉันหลุดหัวเราะขำ แต่วินาทีถัดมาก็หยุดหัวเราะแล้วจ้องไอ้หัวโจกที่อ้าปากพะงาบราวกับพูดอะไรไม่ออก ต้องขอบคุณพ่อที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้วิธีการใช้สายตากดคนให้ตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่า มือของอีกฝ่ายผละออกจากเบ๊แสนน่ารักของฉัน ขณะที่บรรยากาศรอบตัวมาคุจนน่าอึดอัด ฉันก็เดินผ่านพวกถุงเท้าสามสีไปยังทางออก ก่อนจะพบว่า..
"ประตูมันล็อค"
ไอ้ถุงเท้าเขียวเดินมาบิดดูเพราะไม่เชื่อคำพูดฉัน ก่อนจะหันหน้าซีดๆ ไปแล้วพูด
"ถูกล็อคจริงๆ ด้วยอะ"
โญรีบคลำหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ก่อนจะบอกว่าลืมไว้ในกระเป๋านักเรียน ส่วนฉันอย่าว่าแต่เอาโทรศัพท์มาเรียนเลย ฉันลืมไว้ที่บ้านยัยพี่รินมาสองวันแล้ว หวังว่ายัยมอมแมมจะไม่เอาไปจุ่มใส่โหลปลาทองนะ เพราะงั้นความหวังของเราจึงตกไปอยู่กับอันธพาลฝึกหัดสามคน ที่หนึ่งในนั้นพกมันมาด้วย แต่กลับมีแบตอยู่แค่สามเปอร์เซ็นต์
"ท..โทรตามใครมาดี แต่ถ้าครูรู้ว่าขึ้นมาบนนี้พวกเราได้จบเห่แน่"
"แล้วยังไง ถ้าครูรู้แล้วพวกนายจะตายรึไง"
"ยัยนี่พูดกับรุ่นพี่ไม่มีหางเสียงเลย"
"เอามายี่สิบแล้วเดี๋ยวจะเติมคะขาให้"
ไอ้ถุงเท้าแดงทำสีหน้าสลดกว่าใครทั้งหมดแล้วพูด
"ค่าขนมเดือนนี้ถูกตัดอีกแน่"
"ก็ทำตัวเองทั้งน้านนน"
อีกฝ่ายทำท่าจะเถียงแต่เถียงไม่ออก ก็เลยหันไประบายกับฝุ่นด้านหลัง ฉันที่กำลังจะฉกโทรศัพท์มาโทรเองชะงักไปเมื่อจู่ๆ มันก็ดับไปต่อหน้าต่อตา ความซวยยังไม่จบลงเมื่อฝนห่าใหญ่ตกลงมาเหมือนกลั่นแกล้งกัน ฉันจับมือโญแล้ววิ่งเข้าไปในห้องเก็บของเก่าที่ข้างในไม่ได้มีข้าวของเยอะอย่างที่คิด แต่ก่อนที่ไอ้พวกถุงเท้าหลากสีจะเข้ามาด้วยฉันก็ยกขาขึ้นยันประตูอีกฝั่งเป็นการขวางทาง พลันถูกโวยวายใส่ทันที
"ทำอะไรของเธอเนี่ย ออกไปนะพวกเราเปียกหมดแล้ว!"
"อืมเห็นแล้ว"
ฉันว่าพลางยกยิ้มอารมณ์ดี เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของพี่ธันกับยัยพี่รินตอนเห็นฉันดิ้นพล่านเพราะถูกแกล้ง ไม่แน่หลังจากได้เจอหน้าหมอนั่นฉันอาจจะมีอะไรสนุกให้ทำอีกเยอะเลย ไม่นานนักฉันก็ยอมปล่อยให้เข้ามาโดยมีข้อตกลงว่าต้องคืนของกินมาให้ฉันทั้งหมด โญมองฉันด้วยแววตาเลื่อมใสหลังจากทำให้รุ่นพี่สามคนนั่งสั่นหงึกเนื้อตัวเปียกชุ่ม
"เปิดสวิตช์ไฟทีสิ"
ไอ้ถุงเท้าแดงใช้ฉันที่ยืนอยู่ใกล้สวิตช์ไฟ ฉันกดปุ่มอย่างไม่คิดอะไรพลางสำรวจที่ๆ เจ้าพวกนี้ใช้มั่วสุม มันสะอาดสะอ้านไปทั่วทุกตารางนิ้ว โทรทัศน์ขนาดกลางวางอยู่บนกล่องไม้ เครื่องเล่นดีวีดีที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ววางอยู่บนพื้น บนชั้นวางติดผนังมีแผ่นหนังรักโรแมนติกกับตลกคอมเมดี้วางเรียงเป็นระเบียง พื้นห้องมีเบาะรองนั่งนุ่มๆ สามอัน
"ถ้าในนี้มีไฟฟ้างั้นเราก็ชาร์จแบตโทรศัพท์ได้น่ะสิ"
"มันก็ใช่ แต่สายชาร์จอยู่ในกระเป๋าข้างล่าง"
ให้มันได้อย่างนี้สิ..
นี่ฉันเอาตัวเองมาติดอยู่บนชั้นดาดฟ้า ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนเลยเหรอวะเนี่ย..